รถสปอร์ตราคาที่ซื้อบ้านในกรุงเทพฯ ได้สบาย ๆ รสนิยมดีไม่แพ้เจ้าของกำลังแล่นไปยังจุดหมายซึ่งอยู่อีกด้านของถนนใหญ่ เมื่อเกือบเที่ยงวันรถก็เริ่มจะติด ยังดีที่อาจารย์ปล่อยเร็วทำให้เขาไม่หงุดหงิดกับการจราจรมากนัก อีกทั้งคนข้างตัวก็ไม่มีปัญหาเพราะหลับสบายใจเฉิบไม่ขอรับรู้ว่ารถจะติด แดดจะออก คันหน้าปาดจนเกือบชนก็ไม่สนใจ ชีวิตนี้ขอแค่นอนก็พอใจคนตัวเล็กแล้ว
น้ำอิงถูกปลุกเมื่อถึงหอพักของเธอแล้ว คนตัวเล็กหาวหวอด ๆ แล้วนำร่างสูงไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เธอฝากท้องตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มของการอยู่หอ
“อะไรอร่อยบ้าง”
“มีแต่ก๋วยเตี๋ยว สั่ง ๆ ไปเหอะอร่อยทุกอย่างเลย” พูดแค่นั้นเธอก็กวักมือเรียกลูกจ้างของร้านซึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรอสั่งออเดอร์ “เอาอะไรสั่งพี่เขาเลย”
“บะหมี่หมูต้มยำครับ”
“หนูเอาเส้นเล็กหมูน้ำตก ไม่เอาตับ ไม่ใส่ถั่วงอก แล้วก็ไม่ใส่ผักโรยค่ะ”
เธอพูดก่อนฉีกยิ้มให้กับพี่สาวชาวพม่าที่วนแป้งทานาคาเต็มแก้มทั้งสองข้าง เมื่อจดเรียบร้อยหญิงสาวก็เอาไปให้ป้าร่างท้วมที่กำลังวุ่นวายกับลูกค้าที่ทยอย ๆ เข้าร้านมาไม่ขาดสาย
ได้ยินเมนูที่คาดว่าคงเป็นเมนูประจำของคนตัวเล็ก นธีก็อดกดยิ้มมุมปากนึกตลกอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เลือกกินแบบนี้ไง ตัวเลยเท่าลูกแมว”
“แล้วนายอ่ะ...กินไม่เลือกเหรอสูงอย่างกับเปรต” นธีหุบยิ้มทันทีก่อนจะทำหน้าไม่พอใจ เห็นหน้าคนตรงข้ามทำหน้าแบบนั้นน้ำอิงถึงกับหัวเราะแห้ง “สูงอย่างกับเสาไฟฟ้าก็ได้”
การเปลี่ยนคำพูดไม่ได้ทำให้สีหน้าเขาดีขึ้นมาเลย ใบหน้าหล่อเอือมระอากับคำพูดคำจาที่ไม่เข้ากับใบหน้าที่จัดว่าสวย
“พูดให้มันดี ๆ หน่อย แบบนั้นมันทำให้เธอสวยน้อยลงมาก”
“แล้วฉันต้องดูสวยในสายตานายด้วยเหรอ” น้ำอิงไม่เข้าใจ ปกติเธอก็เป็นแบบนี้
ดวงตาใสแจ๋วกะพริบมอง มือก็หยิบแก้วน้ำสเตนเลสซึ่งภายในนั้นมีน้ำแข็งก้อนใหญ่ปักด้วยหลอดสีใสโดยที่เด็กในร้านเอามาบริการเลื่อนไปใกล้เขาแล้วแกะขวดน้ำที่วางอยู่ชิดติดกำแพงเทใส่ให้
ถ้าการที่เธอพูดแบบนี้กับเขามันทำให้สวยน้อย งั้นหากเขาได้ยินเธอพูดกับเพื่อนตอนมัธยมฯ คงจะช็อกตาย
“เป็นผู้หญิงพูดให้มันเพราะ ๆ คนอื่นจะได้เอ็นดู พูดจาหยาบ ๆ ใครจะอยากคุยด้วย” เธอกลอกตาเมื่อรับรู้ถึงความย้อนแย้งของอีกฝ่าย
“ตอนนายอยู่กับเพื่อนคนอื่นนายหยาบคายกว่านี้อีก สมองกลับป่ะเนี่ย?”
นธีพรูลมหายใจหงุดหงิดเมื่อน้ำอิงถามคำถามที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง รู้แค่ว่ายังไงเธอเป็นผู้หญิง ผู้หญิงก็คือผู้หญิง
“ฉันขี้เกียจคุยกับเธอแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเถอะ”
นธีละความสนใจจากคนที่มองเขาตาแป๋วไปยังก๋วยเตี๋ยวที่เพิ่งได้มา ถอนถอยใจเล็กน้อยอย่างรู้สึกปลงกับตัวเอง
น้ำอิงดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อยจะตาย ไม่รู้ทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ ทั้งที่ทุกอย่างที่เธอแสดงออกมากลับตรงกันข้าม แต่เขาก็ยังปักใจว่าเธอน่าจะเรียบร้อย และมันคงจะดีหากเธอพูดจาที่มันเข้ากับหน้าตาเรียบร้อย ๆ ของเธอหน่อย
เจ้าของร่างเล็กคีบลูกชิ้นหมูเข้าปาก ไม่วายเหลือบมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงข้าม ใบหน้ายังติดไม่ชอบใจกับเรื่องที่เราคุยกันเมื่อซักครู่นี้
“เหมือนนายกำลังพยายามควบคุมคนอื่นอยู่เลย”
คิ้วหนาเลิกขึ้นกับประโยคที่เอ่ยออกมาจากปากเล็กเสียงแผ่วเบา ไม่รู้ว่าตั้งใจพูดให้ได้ยินหรือพึมพำกับตัวเองกันแน่ แต่เขาได้ยินมันเต็มสองรูหู
“ไม่ได้ควบคุม แต่บอกสิ่งที่มันเหมาะกับเธอมากกว่า”
“อยากให้คนอื่นพูดดีด้วย ก็พูดดีกับคนอื่นก่อนสิ”
“ก็พูดดีด้วยตลอด ยกเว้นตอนที่เธอทำตัวไม่ดี”
สำหรับในสายตาเขาน้ำอิงคือผู้หญิง แม้เธอจะห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนผู้ชาย และไม่ว่าเขากับเพื่อนจะหยาบคายกันเองขนาดไหน แต่ทุกคนก็จะปฏิบัติตัวกับเธอแตกต่างออกไป ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาคนตัวเล็กใช้ชีวิตมาแบบไหน แต่พวกเขานั้นก็เห็นใจเธอไม่น้อย
“อิง”
“หือ?” คนที่ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าด้วยความหิวโหยเงยหน้าตอบรับ
“เธอไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอที่ต้องมาอยู่กับกลุ่มผู้ชายมากกว่ากลุ่มผู้หญิงที่ควรจะเป็น”
คะแนนของมหาวิทยาลัยสูงมาก และแน่นอนว่าวิศวะเครื่องกล เลื่องชื่อด้วยคะแนนที่สูงติดท็อปประเทศ ถึงไม่ได้ออกเกณฑ์ว่ารับผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิงแต่สรุปแล้วด้วยการเรียนที่หนักมากในทางปฏิบัติและการแข่งขันต่าง ๆ ผู้ชายเลยเยอะกว่าผู้หญิงไปโดยธรรมชาติ และสิ่งที่โชคร้ายกว่านั้นคือเธอดันเป็นผู้หญิงแท้เพียงคนเดียว ทั้งที่ปีอื่นอาจจะมีหลุดออกมาเฉลี่ยสามถึงห้าคน
ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอหาเพื่อนยากมาก ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่เลย ก็เลยเป็นไข่ในหินของกลุ่มไปโดยปริยาย
คำถามของนธีทำให้น้ำอิงชะงักมือที่คีบตะเกียบอยู่ สายตาของคนถามเหมือนกับมันเป็นเรื่องที่เขาน่าจะสงสัยมานานแล้ว เธอจึงคว้าแก้วน้ำมาดื่มแล้วยิ้มบาง ๆ
“ฉันไม่ได้รู้สึกแปลก ปกติฉันก็ไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงอยู่แล้ว” ผู้หญิงที่ทำตัวเป็นเพื่อนจริง ๆ น่ะ “ฉันไม่มีดวงกับเพื่อนผู้หญิง ขนาดเข้ามหาลัย เพื่อนในภาคยังไม่มีผู้หญิงเลย เศร้าเนอะ”
“มัธยมฯ ก็อยู่กับผู้ชายเหรอ”
“อืม”
“ทำไมล่ะ”
ยิ่งได้คำตอบที่ไม่เข้าใจ ความสงสัยก็ยิ่งทวีคูณขึ้นจนเขาเผลอถามออกไปโดยที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นแววตาที่แปลกไปของเธอที่มันเริ่มไร้แววสดใสไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้
“ก็บอกว่าไม่มีดวงไง”
ใบหน้าสวยก้มลงไปกินก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าเงียบ ๆ ร่างสูงเห็นว่ามันคงมีอะไรบางอย่างแต่เป็นบางอย่างที่เธอคงไม่อยากพูดถึง จึงไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงต่อ เอาเป็นว่าเธอโอเคกับการอยู่ร่วมกับเพื่อนผู้ชาย ไม่ใช่ว่าอึดอัดอย่างที่เขากังวลตอนแรกก็แล้วกัน
ในขณะที่น้ำอิงจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นาน เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของคุณป้าซึ่งลามือจากหน้าหม้อน้ำซุปเวียนให้ลูกจ้างไปอยู่แทน กำลังก้ม ๆ เงย ๆ พูดคุยกับลูกจ้างคนอื่นในร้านเสียงเครียด การกระทำนั้นเรียกความสนใจจากทั้งคู่ให้หันไปทันที
“มีอะไรกันเหรอคะ ป้า” ขณะที่ป้าบัวเจ้าของร้านเดินผ่านโต๊ะซึ่งในมือถือนมโรงเรียน เธอก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“เด็กมันไปเจอแมวที่ไหนมันแอบมาคลอดลูกอยู่ที่หลังร้านไม่รู้น่ะสิหนู นี่เหลือแต่ลูก แม่มันหายไปไหนไม่รู้เหมือนกัน” ป้าถอนหายใจเหมือนกับจะบอกว่าเหนื่อยใจที่จะต้องเป็นภาระแกอีก “พวกป้าไม่ได้นอนที่นี่ ก็ไม่รู้ว่ากลางค่ำกลางคืนพวกมันจะทำยังไง”
“แมวกินนมวัวไม่ได้นะครับ” ทั้งเธอทั้งป้าหันไปมองคนที่เอ่ยขัดออกมาตาก็จ้องอยู่ที่กล่องนมโรงเรียนที่คนร่างท้วมถือ “ต้องกินนมแพะครับป้า นมวัวจะทำให้พวกมันท้องเสีย”
“อ้าวเหรอ แล้วจะไปหานมแพะจากไหนล่ะทีนี้”
น้ำอิงมองนธีสลับกับป้าบัว ที่ป้าแกทำท่าทางเซ็ง ๆ อาจเป็นเพราะมันไม่ใช่หน้าที่ที่แกจะต้องมารับผิดชอบลูกแมวหลง และถ้าจะต้องออกเงินซื้อนมแพะและคอยป้อนมันก็เหมือนเป็นภาระแกอีกนั่นแหละ
“หนูช่วยออกเงินได้นะคะ รบกวนป้าให้เด็กในร้านไปซื้อให้ได้ไหมคะ เซเว่นน่าจะมี”
เธอหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่ง เนื่องจากไม่เคยเลี้ยงสัตว์จึงไม่เคยไปดูโซนอาหารสัตว์จริงจังซักทีว่าราคาจะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้ รอนี่ก่อนนะ”
เขาว่าแบบนั้นก่อนลุกหนีออกไป ส่วนป้าที่เพิ่งโดนเตือนว่านมวัวใช้ไม่ได้ก็เอาไปวางทิ้งไว้ เมื่อร้านคนเริ่มน้อยแกก็เดินไปนั่งตากพัดลมคล้ายกับรอนมจากนธีที่กำลังไปซื้อให้อยู่
“เกิดมาอาภัพแท้ แม่คลอดแล้วทิ้ง ตัวยังแดง ๆ อยู่เลย” ป้าทำหน้าเห็นใจ แต่พูดซ่ะเสียงดังเหมือนกับว่าให้ใครได้ยินแล้วรับไปเลี้ยงยังไงยังงั้น “อีหนูเอาไปเลี้ยงไหมล่ะ”
นั่นปะไร!
“หนูยังเลี้ยงตัวเองไม่รอดเลยนะป้า” เธอตอบกลับไปด้วยสีหน้าเจือน ๆ โชคดีที่นธีวิ่งมาขัดจังหวะพอดี ป้าก็เลยเลิกสนใจเธอ
เห็นหลังเขาไว ๆ เดินไปหลังร้านกับถุงใส่นมหลายแพ็คที่ซื้อมา ส่วนเธอก็นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ได้เดินเข้าไปดูด้วย พักใหญ่กว่าจะเห็นเขาเดินกลับออกมาที่โต๊ะ
“มีตั้งสี่ตัวแน่ะ” เขาหันหน้ามาบอกเธอขณะล้างมือหน้าซิ้งค์น้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะ “ไม่ไปดูเหรอ”
เธอส่ายหน้าพรืด
“ไม่เอาอ่ะ”
เธอพูดออกไปตามตรง เพราะคิดว่ายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะเลี้ยงอะไรได้จึงไม่ค่อยจะอยากเข้าไปยุ่ง เกิดผูกพันกับเจ้าพวกนั้นถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมาคงกระทบจิตใจมาก
ร่างสูงกลับมานั่งที่โต๊ะ แล้วเห็นว่าถึงเธอจะปฏิเสธแต่ก็ลอบมองไปหลังร้านตลอด
“จริง ๆ แล้วมีห้าตัวนะ แต่หัวใจหยุดเต้นไปแล้วหนึ่งตัว ดูเหมือนจะไม่ค่อยแข็งแรง”
“บอกทำไมให้รู้สึกไม่ดีเนี่ย สงสารมากนายก็เอาไปเลี้ยงสิ”
“บ้านเลี้ยงหมาใหญ่ไว้ เอาไปเลี้ยงน่าจะโดนขย้ำเละตั้งแต่หน้าประตูแน่” เขาว่าแบบนั้นแล้วถอนลมหายใจเหมือนกับสงสาร
“เดี๋ยวคนแถวนี้ก็คงช่วยกันเลี้ยงแหละมั้ง”
เห็นท่าทางนธีแล้วเธอก็อดขำไม่ได้ เขาดูเศร้ามากที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ปกติเขาทำตัวเป็นคนที่แข็ง ๆ ทื่อ ๆ แต่แล้วก็ดูเป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวพอสมควร
“ไปกันเถอะ” เธอลุกขึ้นก่อนที่จะเป็นคนสแกนจ่ายค่าอาหารทั้งหมดของตัวเองและเขา เห็นว่าเขาจ่ายค่านมแมวไปน่าจะหลายบาทพอสมควร
“เธอใจแข็งมากเลยว่ะ”
เขาพูดขณะที่เราทั้งคู่เดินไปเกือบถึงใต้ตึกหอพักที่เขาเอารถไปจอดไว้ คำพูดตำหนิเหมือนกับว่าการที่เธอเมินเฉยต่อสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารเป็นเรื่องที่โคตรจะรับไม่ได้สำหรับเขา
“จะว่าอะไรก็เชิญ สุดท้ายแล้วทั้งคนใจดีอย่างนาย และคนใจร้ายแบบฉันก็ไม่สามารถเลี้ยงเจ้าพวกนั้นได้ทั้งคู่นั่นแหละ” เธอหันไปพูดกับเขาที่ทำหน้าติดเศร้าไม่หาย “นายคิดว่าตัวเองจะสามารถช่วยทุกสิ่งที่น่าสงสารทุกอย่างบนโลกได้หรือไง ความเป็นจริงมันทำไม่ได้หรอก การรู้วิธีจัดการกับตัวเองต่างหากที่สำคัญ”
เขาช่วยทุกอย่าง รวมถึงเธอด้วย พอเห็นว่าใครน่าสงสารเข้าหน่อยก็พร้อมช่วยเหลือ ในส่วนของความเป็นเพื่อนมันก็ดี เพราะถ้าหากมองในมุมอื่นนอกจากนี้ละก็ คงไม่มีใครรู้สึกดีที่ได้รับความใส่ใจเพราะสงสารหรอก
โชคดีจริง ๆ ที่เราเป็นเพื่อนกัน