หยาดฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าตั้งแต่พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ภีมพิมลอุ้มลูกชายที่หลับอยู่ในผ้าห่อตัวสีฟ้า เธอสวมหมวกคลุมศีรษะ ปิดหน้าด้วยผ้าพันคอเดินฝ่าความมืดมาจนถึงหน้าประตูคฤหาสน์ด้วยหัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก
เธอวางลูกลงในตะกร้าทรงยาวบุผ้านุ่ม วางขวดนมและผ้าห่มสำรองไว้ข้างๆ ก่อนจะหยิบซองจดหมายออกมาวางบนอกลูก
หญิงสาวอ่านข้อความที่เขียนด้วยตัวเองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะเขียนรายละเอียดของเขาครบถ้วนแล้ว ก่อนที่น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าจะร่วงลงบนตัวอักษรจนหมึกเริ่มเปื้อน จากนั้นเธอก้มลงจูบหน้าผากลูกเบาๆ
“แม่ขอโทษนะลูก…แต่แม่ไม่มีทางเลือกจริงๆ”
เสียงกระซิบสั่นเครือทำให้ลูกชายขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังไม่ทำให้ตื่น ใบหน้าของเขายังสงบนิ่งและไร้เดียงสา เพราะไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกโหดร้ายแค่ไหน
เมื่อเอ่ยคำลากับลูกชายแล้ว ภีมพิมลก็กดกริ่งหน้าประตูหนึ่งครั้งแล้วรีบถอยออกมา เธอหลบหลังพุ่มไม้ข้างถนนรอจนเห็นไฟในตัวบ้านสว่างขึ้น และมีเงาร่างคนเดินออกมาเปิดประตูเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นในความเงียบของฝน
“…นี่มันอะไร”
เธอมองเพียงแผ่นหลังกว้างนั้นไกลๆ เห็นเขาก้มลงอุ้มลูกขึ้นมาในอ้อมแขนแล้วพึมพำบางอย่างออกมาแต่เธอก็ได้ยินไม่ชัดนัก
ฝนเริ่มตกหนักมากขึ้นทุกขณะ เขาจึงได้พาเด็กเข้าไปในบ้าน ภีมพิมลหันหลังให้ภาพนั้น แล้วกัดฟันก้าวเดินออกไปในความมืด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ายังคงไหลอาบสองแก้มจนผ้าพันคอเปียกชุ่ม
ทุกย่างก้าวเหมือนเหยียบลงบนหัวใจตัวเอง แต่เธอตัดสินใจแล้วว่านี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้ลูกมีชีวิตรอด
แม้ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะไปอยู่ที่ไหนหรือจะหลบหนีได้อีกนานเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยตอนนี้ลูกของเธอก็ปลอดภัยแล้ว
สี่ปีที่บอกไป...เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาหาลูกอย่างที่รับปากหรือไม่ แต่หากเขาเลี้ยงดูลูกของเธอจนถึงอายุสี่ปี เขาก็คงจะพอมีความผูกพันกับลูกอยู่บ้าง ต่อให้เขาจะแต่งงานมีครอบครัวใหม่ก็คงไม่ทิ้งขว้างลูกคนนี้
และสี่ปีมันคงจะนานพอให้คนพวกนั้นเลิกติดตามเธอเสียที หรือไม่มันก็อาจจะช่วยทำให้เธอมีความมั่นคงในชีวิตได้มากกว่านี้และพร้อมจะเลี้ยงลูกได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องหวังพึ่งพ่อของลูกอีก
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้...ภายในบ้านของเธียรทรรศน์
หมอหนุ่มกำลังนั่งอ่านเอกสารการบริหารโรงพยาบาลอยู่ในห้องทำงาน กระทั่งเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น ซึ่งมันน่าประหลาดอยู่ไม่น้อยเพราะปกติเขาไม่ค่อยมีแขกมาหา หรือหากเป็นคนในครอบครัวทุกคนก็จะโทรมาบอกก่อนเข้ามาอยู่แล้ว แต่นี่ไม่มีใครแจ้งว่าจะมา
เขาขมวดคิ้ว ลุกจากเก้าอี้ และเดินออกจากห้องทำงาน เสียงฝนที่ดังชัดขึ้นทุกย่างก้าวทำให้เขาเดาว่าใครบางคนอาจกำลังรอท่ามกลางอากาศเย็นจัด
เมื่อเขาเปิดประตูรั้วอัตโนมัติออกไป แสงไฟจากโคมติดเสาเผยให้เห็น…ตะกร้าสานใบเล็กวางอยู่ตรงพื้น
ในตะกร้ามีร่างเล็กๆ ของเด็กทารกนอนหลับสนิท ผ้าห่มสีฟ้าอ่อนคลุมครึ่งตัว ใบหน้ากลมมนแดงระเรื่อเพราะอากาศเย็น ริมฝีปากเล็กขยับเหมือนกำลังดูดนมในฝัน
บนตัวเด็กมีซองจดหมายสีขาววางแนบอยู่...
เธียรทรรศน์ก้าวเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ภาพร่างเล็กตรงหน้าดึงดูดสายตาอย่างประหลาดราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เขาก้มลงหยิบจดหมาย เปิดมันออกด้วยมือที่มั่นคง แต่ยิ่งอ่าน ดวงตาสีเข้มก็เบิกกว้างขึ้นทีละบรรทัด
เด็กคนนี้ชื่อธรณ์ค่ะ เขาเกิดวันที่ 8 สิงหาคม อายุ 3 เดือนแล้ว เขาเป็นลูกของคุณหมอเธียรทรรศน์ ธัญญาวัฒนา ได้โปรดช่วยเลี้ยงเขาให้เติบโตอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ
และในวันเกิดอายุครบสี่ขวบของเขา ฉันจะมารับเขากลับไปดูแลต่อเอง ขอให้เชื่อว่าฉันรักเขามาก…และที่ต้องยอมจากไปก็เพื่อปกป้องชีวิตของเขาเท่านั้น
ตัวอักษรชัดเจน ไม่มีร่องรอยรีบร้อน แต่หมึกตรงมุมกระดาษมีคราบด่างเล็กๆ หรือจะเป็น...น้ำตา?
เขาเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ แต่ความมืดและฝนพรำปิดบังทุกอย่าง ไม่มีเงาของใครทั้งสิ้น สมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว...
ใครกันที่กล้าทิ้งเด็กไว้แบบนี้?
แล้วทำไมต้องเป็นหน้าบ้านเขา?
หรือจดหมายนี้คือเรื่องล้อเล่นที่โหดร้าย?
แต่ทันทีที่เบนสายตากลับไปยังใบหน้าของเด็กน้อย ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แล่นวาบในอก…โครงหน้าบางส่วนเหมือนเขาอย่างไม่น่าเชื่อ...โดยเฉพาะดวงตากลมโตที่ล้อมด้วยแพขนตายาว
เธียรทรรศน์ค่อยๆ อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ร่างเล็กอุ่นจัดในอ้อมแขน แม้ภายนอกจะเย็นเพราะฝน แต่ความอบอุ่นนี้กลับไหลเข้าสู่หัวใจเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
เด็กน้อยส่งเสียงครางเบาๆ ก่อนจะซุกหน้าลงกับอกเขาอย่างไว้วางใจ เพียงสัมผัสนั้นก็เพียงพอให้หัวใจชายผู้ไม่เคยคิดเรื่องการเป็นพ่อสั่นไหวอย่างรุนแรง
เขาอุ้มเด็กเข้ามาในบ้าน เรียกสาวใช้คนหนึ่งให้ช่วยจัดเตรียมผ้าขนหนูและบอกให้สาวใช้อีกคนออกไปซื้อของใช้สำหรับเด็กที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านมาอย่างเร่งด่วนที่สุด
ในระหว่างที่เช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าให้เด็กน้อย ความคิดมากมายก็พรั่งพรูเข้ามาในสมอง
ใครคือผู้หญิงในจดหมาย?
เป็นไปได้ไหมว่า…เธอคือผู้หญิงในคืนนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน? ผู้หญิงที่นอนอยู่ข้างกายเขาและหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน มีเพียงใบหน้าสวยหวานที่ยังติดตราตรึงใจมาถึงตอนนี้
เขามองหน้าเด็กที่แม่เรียกว่า ‘ธรณ์’ อีกครั้ง เด็กน้อยหลับสนิทในผ้าห่มใหม่ที่อบอุ่น ดวงตาปิดสนิทแต่คิ้วเล็กๆ ขมวดคล้ายไม่สบายใจ เธียรทรรศน์เอื้อมมือเกลี่ยคิ้วเล็กนั่นอย่างเบามือ ก่อนจะถอนหายใจยาว
“ไม่ว่าแม่ของหนูจะเป็นใคร…ฉันจะต้องหาความจริงให้ได้”
แต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องยืนยันข้อความในจดหมายให้แน่ใจด้วยการตรวจ DNA
เช้าวันถัดมา
หลังคืนที่พบเด็กน้อย เธียรทรรศน์แทบไม่ได้นอนเต็มตาเลยเพราะทุกครั้งที่หลับตาเขาก็เห็นภาพดวงตากลมโตคู่นั้น ดวงตาที่เหมือนของเขาเองในกระจก
แม้จดหมายจะระบุชัด แต่หมอผู้เชื่อในหลักฐานอย่างเขาย่อมไม่ปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวเป็นคำตอบ
เขาโทรหาเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าห้องแล็บของโรงพยาบาลธัญญาเวชทันที
(“โอม ฉันต้องการตรวจ DNA เด็กคนหนึ่ง…วันนี้เลย”)
(“เด็กที่ไหนวะเธียร? หรือว่ามีเรื่องอะไร?”)
(“…อาจจะเป็นลูกของฉันเอง”)
(“เฮ้ย! นี่เรื่องใหญ่เลยนะ นายบอกคุณลุงคุณป้ารึยังวะ”)
(“ยังหรอก รอให้ผลออกมาก่อนแล้วฉันค่อยบอกพวกท่านอีกที อีกเดี๋ยวฉันจะพาเด็กไปที่โรงพยาบาล ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยล่ะ จนกว่าจะรู้ความจริง ฉันยังไม่อยากให้มีใครรู้ทั้งนั้น”)
(“งั้นเอาอย่างนี้ เดี๋ยวฉันไปเก็บตัวอย่างที่บ้านนายดีกว่า อย่าเสี่ยงพาเด็กมาที่นี่เลย ไม่งั้นยังไงก็คงปิดไม่มิดหรอก”)
(“อืม แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน รีบมานะ”)
(“โอเค ขอเตรียมอุปกรณ์แป๊บ เดี๋ยวจะออกไปเลย”)
(“ขอบใจมาก”) แม้น้ำเสียงของเขาจะราบเรียบตามบุคลิกนิ่งขรึม แต่หัวใจเขากลับเต้นแรงเหมือนเครื่องกระทบจังหวะที่ผิดเพี้ยน
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเพื่อนของเขาก็มาถึงพร้อมกับกล่องอุปกรณ์เก็บตัวอย่าง เธียรทรรศน์นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ละสายตาแม้แต่วินาทีเดียวขณะที่เพื่อนใช้สำลีป้ายกระพุ้งแก้มเด็กน้อยอย่างเบามือ ทุกขั้นตอนเขามองตามราวกับกำลังผ่าตัดคนไข้สำคัญที่สุดในชีวิตและนี่ก็อาจจะเป็นความจริง
“เรียบร้อย ผลน่าจะออกไม่เกินเจ็ดวันนี้แหละ”
“ขอบใจ”
เจ็ดวัน…ฟังดูไม่นาน แต่สำหรับเขากลับเหมือนเจ็ดปี
แม้จะยังไม่รู้ผล แต่วันนั้นเธียรทรรศน์ก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่โรงพยาบาล เขาอยู่บ้านตลอดเวลาเพื่อเรียนรู้การอุ้มเด็ก การเปลี่ยนผ้าอ้อม การชงนมซึ่งทั้งหมดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ทำอะไรแบบนี้
ตอนแรกเขาก็เก้ๆ กังๆ จนแม่บ้านต้องช่วย แต่เพียงไม่นาน เขาก็เริ่มจับจังหวะได้ เวลาเด็กร้องไห้เขาจะเดินไปเดินมาแล้วตบหลังลูกเบาๆ จนเสียงร้องแผ่วลง เวลาเด็กหลับ เขาจะนั่งเฝ้าเงียบๆ ราวกับเกรงว่าลมหายใจของตัวเองจะปลุกเด็กให้ตื่น
ในความเงียบนั้นเขาก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น มันเป็นความทรงจำที่เลือนรางเต็มที แต่ก็มั่นใจว่าระหว่างเขากับผู้หญิงปริศนาไม่ใช่แค่การนอนกอดกันเฉยๆ อย่างแน่นอน เพราะแม้จะอยู่ในห้วงเวลาที่ไร้สติแต่เขากลับยังจดจำเสียงครางแผ่วราวกับเสียงสวรรค์ของเธอได้เป็นอย่างดี
เจ็ดวันต่อมา
เสียงโทรศัพท์จากเพื่อนดังขึ้น เพียงเสียงทักทายของอีกฝ่าย เขาก็รู้ว่าผลออกแล้ว
(“ยินดีด้วยว่ะ…เขาเป็นลูกนายจริงๆ”) คำพูดสั้นๆ นั้นเหมือนสัญญาณไฟที่เปิดสว่างในความมืด ไม่มีความลังเลอีกต่อไปเด็กคนนี้คือลูกของเขาเป็นเลือดเนื้อของเขาจริงๆ
เธียรทรรศน์ก้มมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังยิ้มไร้ฟันในอ้อมแขน
หัวใจเขาเต้นช้าลงอย่างประหลาด เหมือนเพิ่งเจอจุดหมายที่ไม่เคยคิดว่าจะตามหา
ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง...
การประชุมกับคณะกรรมการโรงพยาบาลต้องจัดให้เสร็จเร็วกว่าปกติ การออกตรวจคนไข้ถูกสลับเวลาเพื่อให้เขากลับมาชงนมตอนเย็นได้ทันเวลา
แม่บ้านบอกว่าไม่เคยเห็นเขายิ้มให้ใครบ่อยเท่านี้มาก่อนและพยาบาลในโรงพยาบาลก็เริ่มชินกับภาพผู้อำนวยการผู้เคร่งขรึม อุ้มลูกชายวัยไม่กี่เดือนมาด้วยในวันทำงาน แม้จะไม่มีใครรู้ว่าแม่เด็กเป็นใคร แต่เด็กน้อยก็ถูกยอมรับในฐานะทายาทอีกคนของธัญญาวัฒนาจากผลการตรวจ DNA ที่ถูกเปิดเผยเพื่อไม่ให้มีใครคลางแคลงใจในตัวของเด็กคนนี้
เธียรธรรศน์ตั้งชื่อเต็มให้ลูกว่า ‘ธรณ์เทพ’ แปลว่า เทวดาผู้รักษาแผ่นดิน ลูกชายของเขาเติบโตขึ้นตามลำดับจากร่างน้อยที่เอาแต่นอนทั้งวันกลายเป็นเด็กหัวเราะง่าย ชอบเล่นกับปากกาในกระเป๋าเสื้อกาวน์ของพ่อ ชอบคว้ามือพ่อแล้วกำแน่นจนเธียรทรรศน์รู้สึกเหมือนถูกยึดไว้ทั้งหัวใจ และทุกคืนก่อนนอน เขามักจะพึมพำกับตัวเองเสมอ
“ไม่ว่าแม่ของลูกจะเป็นใคร หรือมีเหตุผลอะไรที่จากไป…พ่อจะไม่ยอมให้ใครพรากลูกไปทั้งนั้น...ไม่มีวัน”
แม้จดหมายจะบอกว่าเธอจะมารับลูกคืนเมื่ออายุสี่ขวบ แต่เขาไม่เคยคิดปล่อยมือน้อยๆ ให้ออกห่างแม้เพียงเสี้ยวนาที
เพราะลูกชายได้กลายเป็นโลกทั้งใบของเขาไปแล้ว...