ตอนที่ 4 คนที่ถูกหักหลัง
ช่วงค่ำของวัน
เนื่องจากเป็นเวลาทุ่มกว่าแล้ว ยายนวลจันทร์ที่เห็นว่าหลานชายยังกลับไม่ถึงบ้าน ยายนวลจันทร์จึงตามมาที่บ้านของหนูยิ้มเพราะยายมั่นใจว่าวาตะต้องขลุกตัวอยู่ที่บ้านหนูยิ้มแน่นอน สำหรับวาตะแล้วปกติจะกลับบ้านก่อนหกโมงเย็นทุกวันแต่วันนี้ยายนวลจันทร์เห็นว่าหลานชายยังไม่กลับจึงมาตามด้วยตัวเอง
“เลิศ โฉม มีใครอยู่ไหม” เสียงที่ดังโวยวายอยู่หน้าบ้าน เรียกผู้เป็นพ่อและแม่ของหนูยิ้มด้วยท่าทีร้อนใจ
“มีอะไรเหรอยายนวลจันทร์” โฉมฉายที่เพิ่งเดินมาพร้อมกับสามีหลังจากไปตลาดกลับมาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทั้ง ๆ ที่เธอรู้อยู่ดีอยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายมาเพราะอะไร
“เห็นวาตะไหม” นวลจันทร์เอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ก่อนฉันกับพี่เลิศจะไปตลาดก็อยู่กับหนูยิ้ม คิดแต่ว่าจะกลับไปแล้ว”
“ยังไม่กลับไป”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปถามหนูยิ้มให้แล้วกัน” โฉมฉายเดินเข้าบ้านไปด้วยความรีบร้อน เสียงของเธอที่เรียกหาลูกสาวยังดังอย่างต่อเนื่อง แต่เพียงไม่นานเท่านั้น เสียงกรีดร้องของโฉมฉายก็ดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” นวลจันทร์เอ่ยถามเลิศชัยด้วยความร้อนใจ
“ผมก็ไม่รู้ เหมือนกัน” เลิศชัยพูดจบก็รีบเดินไปหาผู้เป็นภรรยาซึ่งตอนนี้อยู่ในห้องนอนของลูกสาว
“ตายแล้ว ตาวาตะ ทำอะไรลงไปเนี่ย” นวลจันทร์ที่เพิ่งเดินตามเลิศชัยมาเอ่ยด้วยความตกใจเมื่อเจอว่าหลานชายนอนอยู่บนเตียงของหนูยิ้ม
ภาพที่ทั้งสามคนที่เดินเข้าไปในห้องนอนของหนูยิ้มเห็นคือ เด็กหนุ่มสาวที่ร่างกายเปลือยเปล่านอนกอดกัน โดยที่หนูยิ้มกำลังหลับซบอยู่ในอ้อมแขนของวาตะ ซึ่งขณะนั้นทั้งสองคนหลับทั้งคู่
“วาตะตื่น ตื่นเดียวนี้ลูก” นวลจันทร์เดินเข้าไปปลุกหลานชายด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ
ทางด้านของโฉมฉายเธอก็เดินเข้าไปปลุกหนูยิ้มไม่ต่างจากอีกฝ่าย
“มีอะไรกันครับ” วาตะเอ่ยถามด้วยเสียงที่งัวเงียเพราะเพิ่งตื่น แถมตอนนี้เขายังปวดหัวอีก
“เกิดเรื่องขนาดแกยังจะมาถามอีกว่าเกิดเรื่องอะไร” วาตะมองใบหน้าของยายอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ยายของเขากำลังพูด
“หนูยิ้มลูก หนูยิ้ม” โฉมฉายเรียกลูกสาวของตัวเองที่ยังคงหลับใหลอยู่นาน และเพียงไม่นานหนูยิ้มก็ตื่นขึ้น
“แม่มีอะไรเหรอคะ”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูกับพี่เขา”
“จะอะไรก็ช่างเถอะ วาตะแต่งตัวแล้วกลับบ้าน” นวลจันทร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“กลับได้ยังไง ลูกของฉันเสียหายนะยาย” โฉมฉายเอ่ยออกมาเพราะเธอไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายไปทั้ง ๆ ที่ทิ้งลูกของเธอไว้แบบนี้
“เดี๋ยว ตอนเช้าค่อยมาคุยกัน ฉันจะให้พ่อกับแม่ตาวาตะมาด้วย” นวลจันทร์ไม่ได้จะปัดความรับผิดชอบ เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอต้องให้พ่อแม่ของหลานเป็นคนตัดสินใจ
วาตะและหนูยิ้มมองหน้ากันอย่างงงๆทั้งคู่ ทั้งสองคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากมื้ออาหารเย็นที่กินร่วมกันกับพ่อแม่ วาตะมองหนูยิ้มอย่างคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรกับเขา และหนูยิ้มเองก็มองวาตะอย่างรอคอยว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้าง
เช้าวันต่อมา
พ่อและแม่ของวาตะเข้ามาที่บ้านของหนูยิ้มตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้น ทศพลที่รู้เรื่องทั้งโกรธทั้งโมโหลูกชายที่สร้างเรื่องสร้างราวไม่หยุดหย่อน วาตะมาอยู่ที่นี่ได้ราวหกเดือนแล้ว
พ่อและแม่ที่ถามวาตะ วาตะก็เอาแต่บอกว่าไม่รู้เรื่องและไม่ได้ทำอะไรหนูยิ้มอย่างแน่นอน วาตะที่เอาแต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ ถึงพ่อแม่ของเขาจะยังลังเลที่จะเชื่อใจลูกชายแต่สำหรับยายของเขาก็เชื่อวาตะสนิทใจเพราะรู้จักคนบ้านนั้นดีว่าตอนนี้กำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน สองผัวเมียคู่นั้นกำลังอยู่ในช่วงเที่ยวยืมเงินของผู้คนในอำเภอโดยที่อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ
และช่วงเช้าพ่อแม่และยายของวาตะ ก็เดินทางมาที่บ้านของหนูยิ้มเพื่อตกลงเจรจาเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม
“เรื่องที่เกิดขึ้นเราต้องขอโทษด้วยนะคะ” เพ็ญประภาเอ่ยออกมาแทนผู้เป็นยายและพ่อของวาตะ
“แล้วพวกคุณจะเอายังไง” เลิศชัยเอ่ยถามด้วยท่าทีโมโห
“เอ่อคือว่า”
“มาถึงขั้นนี้แล้วพวกฉันว่าต้องแต่งงาน ให้เด็กสองคนแต่งงานกันเลย” โฉมฉายพูดเพราะตอนนี้เรื่องของทั้งสองก็คงกระจ่ายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
“แม่ ” หนูยิ้มเรียกแม่ออกมาอย่างตกใจในสิ่งที่แม่ของเธอเสนอออกมา
“ไม่ได้…วาตะยังเรียนไม่จบ อีกอย่างลูกคุณก็ยังเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ” แม่ของวาตะขัดข้อเสนอนั้น
“แต่ถ้าไม่รับผิดชอบเราจะแจ้งตำรวจ” เลิศชัยเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของเพ็ญประภา
“จะแจ้งได้ยังไงผมกับหนูยิ้มไม่ได้ทำอะไรเสียหาย” วาตะได้ยินแบบนั้นก็โต้ขึ้นมา เพราะเขาเชื่อว่าเมื่อวานตัวเองไม่ได้ทำอะไรเสียหาย และภาพที่เขาจำได้ตอนสุดท้ายก็เป็นตอนที่กินข้าวอยู่กับพ่อและแม่ของหนูยิ้ม
“หนูยิ้มบอกไปสิลูกว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น แล้วเราเป็นอะไรกับพี่เขา” แม่ของหนูยิ้มบอกให้ลูกสาวพูดออกมา
“เอ่อคือว่า…เมื่อวานนี้หนูยิ้มไม่รู้”
“งั้นเป็นอะไรกับวาตะ” เพ็ญประภาเอ่ยถามพร้อมมองใบหน้าของอีกฝ่าย
“แฟนค่ะ…ไหนๆก็เป็นแบบนี้แล้ว ให้หนูยิ้มแต่งงานกับพี่วาตะได้ไหมคะ” หนูยิ้มที่บอกสถานะตัวเองออกไปว่าเป็น ‘แฟน’ ทั้งที่วาตะยังไม่เคยบอกหนูยิ้มออกไปเลย เขาที่มีความรู้สึกดีๆให้แต่เนื่องจากหนูยิ้มยังเด็กมากเขาจึงยังไม่ได้คิดไปถึงขึ้นนั้น
“หนูยิ้ม” วาตะที่ได้ยินแบบนั้นทั้งโกรธทั้งโมโห เขาเดินออกไปจากบ้านหนูยิ้มด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ เพราะสิ่งที่หนูยิ้มบอกออกมานั้นเหมือนเป็นการยอมรับว่าทั้งคู่มีอะไรเกินเลยกันไปแล้ว
“ถ้าจะให้เด็กทั้งสองแต่งงานกันทางเราไม่ยอม แต่ถ้าให้เรื่องมันจบพวกคุณอยากได้เท่าไหร่ก็พูดมา” คำพูดของทศพลทำให้พ่อและแม่ของหนูยิ้มมองใบหน้ากันราวกับกำลังปรึกษาอยู่
“ สามแสน เรื่องนี้จะจบ” เลิศชัยคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกมา แต่เขาเชื่อว่าพ่อและแม่ของวาตะจ่ายให้พวกเขาได้
“ สามแสน บ้าหรือเปล่า มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ” ยายนวลจันทร์เอ่ยเพราะถ้าให้ทั้งสองแต่งงานกันคงจ่ายน้อยกว่านี้ อีกอย่างยายมั่นใจว่าหลานชายถูกสองผัวเมียคู่นี้จัดฉากอย่างแน่นอน
“ได้ แต่ลูกสาวคุณจะต้องห้ามเข้าใกล้ลูกชายของพวกเราอีกต่อไป” ทศพลอยากให้เรื่องทั้งหมดจบลง เขาจึงตอบตกลงแม้ว่าเงินที่อีกฝ่ายเรียกจะมาก็ตาม เขาไม่อยากจะเสียเวลาสักนาทีกับเรื่องนี้
“ตามนั้น” เป็นเสียงของเลิศชัยที่บอกออกไป
“ไม่นะคะ หนูยิ้มจะแต่งงานกับพี่วาตะ พ่อกับแม่อย่ารับเงินนั้น ฮือ ฮือ” หนูยิ้มที่ร้องไห้ออกมาอย่างผิดหวัง เสียใจ เสียงร้องของเธอดังออกมาเหมือนเด็กๆ
ผู้ใหญ่ทั้งห้าคนไม่ได้มีใครสนใจหนูยิ้ม หนูยิ้มตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านเพื่อตามหาวาตะ หนูยิ้มไปที่บ้านยายนวลจันทร์ก็ไม่เห็นวาตะ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปที่ที่คาดว่าเขาจะไปก็ไม่มีเงาของเขาเลย
“พี่วาตะ พี่อยู่ที่ไหน ฮือ”
เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว คือ พ่อแม่ของวาตะจบเรื่องนี้ด้วยเงินสามแสนบาท และห้ามให้หนูยิ้มติดต่อกับวาตะอีกเข็ดขาด
พ่อแม่ของวาตะจึงตัดสินใจพาวาตะกลับกรุงเทพฯในวันนั้นเลย วาตะที่กลับกรุงเทพฯ ด้วยความรู้สึกเหมือนคนที่ถูกหักหลัง คับแค้นใจ จนไม่สามารถให้อภัยครอบครัวนั้นได้เลย
วาตะจากไปโดยที่หนูยิ้มไม่มีโอกาสจะได้พูดกับวาตะเลย รู้อีกทีก็ตอนที่ได้ยินข่าวว่าวาตะกลับไปกรุงเทพแล้ว กลับไปตั้งแต่วันที่เจรจากันเรียบร้อยแล้ว
เรื่องข่าวฉาวของทั้งสองคนแพร่ไปทั่วทั้งหมู่บ้านจนทำให้หนูยิ้มถูกนินทาว่า ‘ถูกฟันแล้วทิ้ง’ โดยตั้งแต่นั้นมา หนูยิ้มมักจะโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้ออยู่ตลอด จนกระทั่งหนูยิ้มเรียนจม ม. 3
ด้วยความที่เป็นเด็กอยู่ หนูยิ้มได้แต่เก็บความเศร้าใจ ทุกข์ใจไว้คนเดียว ไม่สามารถเล่า ระบาย หรือปรึกษาใครได้เลย ช่องทางที่ติดต่อวาตะก็ถูกเขาบล็อกหมด มีความคิดที่แว๊บขึ้นมาอยากไปขอที่อยู่ของวาตะที่กรุงเทพฯจากยายนวลจันทร์แต่ก็คงไม่ได้เพราะยายนวลจันทร์ประกาศตัดขาดจากครอบครัวของเธอ
หลังจากที่เลิศชัยและโฉมฉายได้เงินก้อนนั้นมาแล้ว ทั้งคู่นำเงินหนึ่งแสนบาทไปปิดยอดกับเสี่ยที่กู้ยืมมา ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะกลับไปตั้งรกรากที่บ้านเกิดของเลิศชัยกับเงินอีกก้อนที่เหลืออยู่
ทั้งคู่รู้สึกผิดต่อหนูยิ้มแต่เพื่อความอยู่รอดของครอบครัวและตัวหนูยิ้ม ทั้งสองคนคงทนไม่ได้แน่ๆหากพวกเจ้าหนี้จะมาจับตัวหนูยิ้มไปขายเพราะพวกนั้นมีอิทธิพลและเป็นคนมีเส้นสาย
“หนูยิ้ม อาทิตย์หน้าย้ายไปอยู่ที่น่านกันนะลูก”
“ค่ะ” หนูยิ้มไม่เอ่ยถามอะไรออกมา เพราะว่าเธอรู้ว่าพ่อกับแม่ของเธอทำเพราะอยากพาหลีกเลี่ยงข่าวลือพวกนี้และตอนนี้หนูยิ้มเองก็เหมือนหมดกำลังใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว
หลังจากนั้นทั้งสองผัวเมียก็ได้พาลูกสาวไปเริ่มต้นใหม่ที่น่าน เพื่อหวังว่าชีวิตของหนูยิ้มจะดีขึ้นกว่าเดิมและเมื่อหนูยิ้มโตขึ้น สักวันหนูยิ้มจะได้เจอคนรักใหม่ทำให้ลืมวาตะไป เวลาที่ผ่านไปหนูยิ้มไม่ได้ติดต่อกับวาตะอีกเลย แต่หนูยิ้มยังมีความตั้งใจมุ่งมั่น
“หนูยิ้มสัญญาว่าจะตามหาพี่วาตะให้เจอ”