ตอนที่ 8 หนูยิ้มขอโทษ

1441 คำ
ตอนที่ 8 หนูยิ้มขอโทษ  เหล่านักศึกษาต่างพากันให้ความสนใจเรื่องการสมัครเป็นแอมบาสเดอร์ของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับหนูยิ้ม ในความจริงหนูยิ้มรู้มาก่อนแล้วว่าวาตะเป็นแอมบาสเดอร์ของมหาวิทยาลัยนี้ เธอตามข่าวของเขาไม่ได้เลยเพราะหนูยิ้มพบว่าเขาไม่เล่นโซเชี่ยล แต่อยู่ๆเธอก็ได้พบว่ามีโฆษณาของมหาวิทยาลัยโปรโมตออกอากาศทางโทรทัศน์และเวปไซด์ต่างๆ เธอจำวาตะได้ทันที และจากนั้นเธอก็ค้นหาข้อมูลของมหาวิทยาลัยนี้เพื่อต้องการเข้าเรียนที่นี่แม้จะมีช่วงคาบเกี่ยวที่จะได้เจอเขาอีก 1 ปี เพราะเขาอยู่ปี 4 แล้ว ด้วยความที่เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ราคาค่าเทอมจึงแพงเอามากๆเธอตัดสินใจบอกพ่อแม่และเก็บเงินด้วยตัวเองเพื่อเป็นทุนการศึกษา และตั้งแต่ย้ายไปที่ จ.น่าน กิจการร้านข้าวขาหมู หมูแดง หมูกรอบ และข้าวมันไก่ ขายดีในทุกวัน ทำให้พ่อแม่มีเงินที่จะสามารถส่งหนูยิ้มเรียนที่นี่ได้ “โอ้โห หนูยิ้มนี่มันคุณสมบัติเหรอ ยังกะจะไปประกวดมิสเวิลด์” น้อยหน่าที่เห็นคุณสมบัติการสมัครเอ่ยโวยวายออกมาทันที ซึ่งต่างจากหนูยิ้มที่ตอนนี้เธอคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะจากที่เห็นคุณสมบัติพวกนี้เธอสามารถเป็นได้อย่างง่ายดาย “นั่นสิ หนูยิ้มจะทำได้เหรอ นี่มีการใช้ภาษาด้วยนะ” ฝ้ายพูดพร้อมแสดงเหมือนตกใจออกมาเพราะตอนที่เรียน ม.ต้น ด้วยกันเรื่องภาษาอังกฤษเป็นปมหนึ่งที่หลายคนมักล้อเลียนหนูยิ้มว่าหน้าตาลูกครึ่งแต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เรื่องภาษาแค่นี้หนูยิ้มเก่งอยู่แล้ว” น้อยหน่าเอ่ยสวนฝ้ายออกไปอย่างไม่ชอบใจ น้อยหน้ารู้ดีว่าหนูยิ้มสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเพราะเรียน ม.ปลาย มาด้วยกัน น้อยหน่าผู้ซึ่งไม่ไว้ใจฝ้ายเพราะหลายครั้งที่ฝ้ายนั้นพูดเหมือนแซะหนูยิ้มตลอด “เอาเถอะ สมัครไปก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” “ก็ได้” น้อยหน่าที่ถูกเพื่อนสนิทห้ามปราม มองหน้าของฝ้ายอย่างไม่พอใจ ก่อนหันมาสนใจใบสมัครเหมือนกับที่หนูยิ้มกำลังให้ความสนใจอยู่ หลังจากกรอกใบสมัครเสร็จ รุ่นพี่ก็ให้น้อง ๆ นักศึกษาแยกย้ายกลับบ้าน โดยในตอนนั้นหนูยิ้มพยายามมองหาวาตะ แต่ก็ไม่เจอที่สำคัญตอนนี้เอมี่ก็หายไปแล้วด้วย หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ ไม่อยากคิดเลยว่าทั้งสองคนอาจจะไปด้วยกันแล้ว “หนูยิ้ม” “ห๊ะ ว่าไง” หนูยิ้มที่เหม่อมองหาใครบางคนอยู่เอ่ยออกมาก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าเพื่อนสนิท “มองหาอะไรอยู่เหรอ” “เปล่านะ” “งั้นกลับกันเถอะ” ทางด้านของวาตะ เมื่อเขาเห็นว่าหนูยิ้มลงสมัครแอมบาสเตอร์ของมหาวิทยาลัยชายหนุ่มก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา เพียงแต่เดินเลี่ยงหายออกไป โดยไม่บอกแม้แต่เอมี่ เขาไม่ได้ไปกับเอมี่นั่นเอง “ไปไหนมา มึงไปไสมา” เพื่อนสนิทอย่างโจฮันที่พูดภาษาถิ่นบางครั้งเอ่ยถามวาตะที่อยู่ ๆ ก็เดินหายออกไปจากกลุ่ม ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้พวกเขากำลังทดสอบเครื่องกลอยู่เพื่อทำโปรเจคจบ “ไปสูดอากาศมา” “ไปสูดอากาศ อารมณ์ไหนว่ะเนี่ย” ธามขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่อยากจะเชื่อในคำตอบของเพื่อนสนิท “หึ…โผล่ไปงานประชุมรับน้องปี 1 มา มึงก็แค่พูดตรง ๆ” อคิณณ์มองออกว่าเพื่อนของตัวเอง ไปงานรับน้องมาเช่นกัน “เชี่ย…กูแค่ไปเรื่องงานเท่านั้น ไปแจ้งเรื่องสมัครแอมบาสเดอร์ให้รุ่นพี่ไปบอกเด็กใหม่” วาตะที่ถูกเพื่อนจับได้ก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แค่เนี่ยจะโกหกเพื่ออะไรครับ หรือมีเป้าหมายเฉพาะ กูว่าแม่นแท้ๆ” โจฮันยังคงเอ่ยแซวเพื่อนสนิทของเขาไม่หยุด “เสือกจริง ๆ ตัวมึงเอาให้รอด” วาตะพูดจบก็หันไปสนใจเครื่องกลต่อ หลังจากวันที่หนูยิ้มกรอกใบสมัครไป ตอนนี้รุ่นพี่ที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องแอมบาสเดอร์ได้แจ้งให้คนที่สมัครไปคัดเลือกที่หอประชุม เพื่อแสดงความสามารถ ซึ่งวันนี้วาตะจะมาร่วมเป็นกรรมการคัดเลือกด้วยตัวเอง “วันนี้ขอให้น้อง ๆ แสดงความสามารถให้เต็มที่นะคะ ส่วนเรื่องผล พี่จะประกาศให้ทราบวันศุกร์” หลังจากรุ่นพี่ที่จัดงานแจ้งรายละเอียดเรื่องลำดับขั้นตอนการคัดเลือกให้กับน้อง ๆ เสร็จ การคัดเลือกก็เริ่มต้นขึ้น หนูยิ้มแสดงทักษะของเธอให้คนอื่น ๆ ได้เห็น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการพูดภาษาอังกฤษหรือแม้แต่การแสดงความสามารถด้านอื่น ๆ หนูยิ้มก็แสดงออกมาได้ดี ไม่ต่างจากเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ แถมเรื่องรูปร่างหน้าตาของหนูยิ้มก็ค่อนข้างโดดเด่น เรียกว่าได้เปรียบเพราะหนูยิ้มเป็นสาวลูกครึ่งเครื่องหน้าจัดว่าครบเครื่อง หน้าตาความสวยไม่แพ้คนอื่นๆเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นหนูยิ้มจะมีคู่แข่งที่เก่งแทบทุกอย่างไม่ต่างจากหนูยิ้ม นั้นก็คือเอมี่ ผู้หญิงที่ใครๆต่างมองว่าเป็นผู้หญิงของวาตะ ซึ่งระหว่างการแสดงความสามารถทั้งวาตะและเอมี่ ทั้งสองก็มีการส่งสายตากันอยู่ตลอดเวลา “หนูยิ้ม เก่งภาษาขนาดนี้เลยเหรอ ไม่น่าเชื่อเลยนะ” ฝ้ายเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นเมื่อหนูยิ้มเดินเข้ามาหาเพื่อนอย่างน้อยหน่าซึ่งอีกฝ่ายยืนอยู่ ข้าง ๆ กับตัวเอง “แล้วทำไม หนูยิ้มจะเก่งภาษาอังกฤษไม่ได้ ในเมื่อหนูยิ้มฝึกฝนมาตลอด” น้อยหน่าเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “น้อยหน่า” หนูยิ้มเรียกเพื่อนสนิทพร้อมใช้มือของตัวเองจับลงที่ข้อมือเพื่อเป็นการเตือนสติไม่ให้มีเรื่อง หนูยิ้มรู้ว่าฝ้ายหมายถึงเรื่องอะไร เพราะเธอเป็นลูกครึ่งก็จริง แต่เป็นลูกติดท้องของแม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อเป็นใคร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนประเทศอะไร ดีที่พ่อเลิศชัยคนนี้ยอมรับและรักหนูยิ้มเหมือนลูกคนหนึ่ง ซึ่งโรงเรียนเก่าหนูยิ้มโดนบูลลี่เรื่องนี้มาตลอด แต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจ แถมยังพยายามพัฒนาด้วยตัวเองมาตลอด จนทำให้ตอนนี้หนูยิ้มเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าเดิม “เราก็แค่ถาม ทำไมต้องโกรธด้วยก็ไม่รู้” ฝ้ายที่ต้องการตอกย้ำปมของหนูยิ้ม ได้แต่มองทั้งสองเล็กน้อยพร้อมแสร้งทำให้หน้าเศร้าออกมา “เดี๋ยวเรามานะ” หนูยิ้มเอ่ยออกมาก่อนรีบเดินเลี่ยงออกไป ทำให้น้อยหน่าที่ถูกทิ้งไม่ทันได้เอ่ยเรียกเพื่อนสนิท หนูยิ้มที่เห็นว่าวาตะกำลังจะกลับหลังจากกิจกรรมจบลง ซึ่งชายหนุ่มต้องเดินไปทางด้านหลังหอประชุมเพื่อกลับคณะ หนูยิ้มจึงรีบเดินไปเพื่อดักรอ “พี่วาตะ” วาตะตกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ หนูยิ้มก็โผล่ออกมาอย่างไม่ทันจะตั้งตัว “ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย ตกใจหมด” วาตะตวาดใส่หนูยิ้มออกมา ทำให้เจ้าของใบหน้าสวยก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด “คือหนู…” “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ” วาตะรู้ว่าหนูยิ้มมาดักรอเพราะอยากคุยกับเขา แต่เขาไม่อยากคุยกับเธอ “แต่พี่วาตะคะ หนูยิ้มอยากขอโทษ หนูยิ้มขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่านมา” หนูยิ้มเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลง จนสัมผัสได้ว่าตอนนี้คนตัวเล็กประหม่าแค่ไหน เธอเอ่ยออกไปทั้งที่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาวาตะเอาเสียเลย “ทำไมเงินที่ได้ไปไม่พอหรือไง หรือจะเอาอะไรอีก ฉันบอกเลยนะถ้าอยากได้อะไรอีก...อย่าฝัน” วาตะพูดจบก็เดินต่อทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลากับผู้หญิงที่เคยหักหลังเขามาก่อน หนูยิ้มที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินไปโดยไม่คิดจะสนใจเธอเลย หญิงสาวจึงพุ่งเข้าไปโอบกอดวาตะจากทางด้านหลังทันที สองมือของหนูยิ้มโอบเอววาตะไว้แน่นพร้อมแนบหน้าลงบนแผ่นหลังหนาและเอ่ยขอโทษออกมาอีกครั้ง “หนูยิ้มขอโทษ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม