ตอนแรกนางเคยคิดว่าฮ่องเต้ต้าโจวมีคุณธรรมอยู่บ้าง ละเว้นชีวิตชาวประชาของอ่านฮุ่ย แต่ทว่ากลับให้นางเดินเท้าจากประตูเมืองหลวงกุ้ยโจว ผ่านตลาดที่ผู้คนคึกคัก
นี่มิเท่ากับต้องการเหยียบให้นางจ่มธรณีตั้งแต่หน้าประตูเมืองเลยงั้นหรือ
เลือดเย็นนัก!
นี่เขาต้องการแสดงให้รู้ว่า อ่านฮุ่ย แค่เศษธุลีดินใต้เท้าของต้าโจวเท่านั้น!
เมื่อถึงประตูวังกลับยิ่งแล้ว นางได้รับคำสั่งให้ยืนรออยู่หน้าประตูวังเพื่อรับราชองโองการ
เดินจากหน้าประตูเมืองกว่าจะถึงวังหลังไม่ใช่ใกล้ ๆ ยามนี้แดดร้อนจ้าให้นางยืนรอท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา จนร่างอรชรเซไปมาหลายครั้ง แต่มิอาจขัดคำสั่งผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ได้
“องค์หญิง...ท่านไหวหรือไม่เพคะ” มีเพียงเสียงจากนางกำนัลรับใช้ของตนเท่านั้นที่ถามด้วยความห่วงใย แต่ไม่ว่าเมืองนี้หรือบ้านเดิม ล้วนมิมีผู้ใดห่วงใยนางอีกแล้ว
รอยยิ้มซีดเซียวดั่งคนขาดน้ำส่งให้กับนางกำนัลคนสนิท ลำคอแห้งผากเป็นผงราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ที่แสนแห้งแล้ง เพราะตั้งแต่ก้าวเข้าย่างมายังเมืองหลวง ยังมิได้รับอนุญาตให้ดื่มหรือกลืนกินสิ่งใด ทำให้กำลังกายที่มีอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที ส่วนกำลังใจนั้นเหือดแห้งไปนับตั้งแต่ต้องมาเป็นเชลยบรรณาการแล้ว
แต่นางก็ยังยิ้มสู้ไปพร้อมกับชะตาที่แสนบัดซบนี้!
“เจ้าก็อดทนเถิด ประเดี๋ยวคงได้รับพระราชโองการ”แม้นว่าตัวเองก็ไม่รู้เมื่อใด แต่ก็ฝืนให้กำลังใจแก่กันและกันไว้ก็ยังดี
ชีวิตก่อนหน้านั้น นางไม่เคยรู้สึกแค้นเคืองใจ หรือมีมีเรื่องบาดหมางสิ่งใดกับฝ่าบาทต้าโจว แต่ด้วยฐานะที่เป็นเพียงเชลย ก็พึงตระหนักดีแล้วว่า มิมีผู้ใดปรานีต่อนักโทษ แม้นางจะมิมีความผิดก็ตาม
เวลาผันผ่านทินกรลอยลับ ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว มีเพียงขันทีถือพระราชโองการพร้อมด้วยโคมไฟเพื่อส่องสว่างยามโพล้เพล้ เดินตรงเป็นระเบียบขบวนใหญ่มาหานาง
“องค์หญิงหนิงจิวฮวารับราชโองการ” เสียงกังวาลของฉีกงกง ปลุกให้สตรีที่ยืนขาแข็งโยกโคลงไปมาตื่นขึ้น เปลือกตาที่กำลังจะหลับมิหลับแหล่เบิกกว้าง พร้อมกับค่อย ๆ ย่อตัวลงคุกเข่ารับราชโองการอย่างงดงามไม่ผิดธรรมเนียม ทั้งกัดฟันอย่างเจ็บปวดเพราะเมื่อยและร้าวไปทั้งขา
“ด้วยโองการแห่งฟ้า องค์หญิงจิวฮวา รอนแรมมาไกลพันลี้ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น ฮ่องเต้มีบัญชาโปรดให้องค์หญิงแห่งอ่านฮุ่ยหนิงจิวฮวา แต่งเข้าจวนนิ่งอันโหวนับแต่บัดนี้...จบราชโองการ”
จิวฮวาพยายามประคองสติให้ดีที่สุด ทบทวนถ้อยคำจากปากขันที ที่กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำพลันหัวใจกระตุก
‘มิได้แต่งเป็นสนม แต่แต่งเข้าจวนนิ่งอันโหว ศัตรูตัวฉกาจของบิดา เช่นนี้มิเท่ากับโยนนางเข้าปากเสือหรือไม่?’
นางหลับตานึกถึงห้วงฝันก่อนที่จะถึงแคว้นโจว...ภาพค่อย ๆ ฉายทีละฉาก แต่มิอาจล่วงรู้ได้จบสิ้น เพียงแต่เหตุการณ์ข้างหน้าไม่กี่เหตุการณ์เท่านั้น
หากนางรู้จุดจบทีเดียวเลยย่อมดี ... นางจะได้คิดวิธีแก้ไขให้ชาตินี้ต่างจากชาติที่แล้ว...แต่นั่นคือข้อจำกัดของพรสวรรค์นี้ของนาง
ขณะที่กำลังคิดพิจารณาอยู่นั้น เสียงกุบกับของม้าที่ออกมาจากวังหลวง พร้อมกับรถม้าที่ติดตามมาหนึ่งคัน บนหลังอาชาเหงื่อโลหิตสีขนทอประกายสีทองสะท้อนกับโคมในตะเกียงระยับ ใบหน้าเชิดขึ้นหลุบตามองนางอย่างเย็นชา ไร้ความรู้สึก นางจดจำได้ดีตลอดหนึ่งเดือนที่เดินทางมาเมืองกุ้ยโจวแห่งนี้
ใบหน้าที่เมินเฉยต่อนาง
ดวงตาที่ว่างเปล่าไร้ความรู้สึก
เขาปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นนักโทษที่แท้จริง
‘บุรุษที่ต้องการเด็ดหัวบิดายืนอยู่ตรงหน้า ในฐานะสามีพระราชทาน นี่บุญกรรมอันใด ให้ชะตาย้อนกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง’
นางส่ายหน้าไปมาเบา ๆ คิดทบทวนสิ่งที่จะประสบในภายภาคหน้าที่เตือนห้วงฝันอย่างสิ้นหวัง
อีกแล้วหรือ?
ใช่มันเหมือนในฝันของนางอีกแล้ว
“องค์หญิงหนิงจิวฮวา ยังไม่รีบขอบพระทัยอีก” เสียงแหลมเล็กเอ่ยเตือน ราวกับกลัวว่าธรรมเนียมของสองแคว้นต่างกัน
นางพลันสติคืนกลับ ดวงตาที่เปล่งประกายราวหยดน้ำต้องแสงอาทิตย์ยามกลางวัน หันกลับมาสนใจกับกงกงผู้นำราชโองการมา แล้วกล่าวขอบพระทัยตามธรรมเนียม พร้อมยกมือชูขึ้นเหนือศีรษะรับพระราชโองการม้วนกระดาษที่วาดลายมังกรสีทองไว้ด้านหลังพร้อมกับลุกขึ้นยืน
จื่อฝูพยุงองค์หญิงขึ้น เพราะรับรู้ได้ว่าชีวิตข้างหน้ามิง่ายอีกต่อไป
เดิมฝ่าบาทหมายหมาดให้องค์หญิงแต่งเข้าวังหลังแห่งต้าโจว ยามนี้ผิดแผนเป็นแต่งเข้าจวนแม่ทัพไร้พ่ายนิ่งอันโหว เช่นนี้ชะตากรรมองค์หญิงหากมิตายอยู่ในจวนแม่ทัพ หนีออกไปก็ตายเช่นเดียวกัน
‘มิว่าทางเดินใด กลิ่นสาปความตายก็ตลบอบอวลรอบตัวนางและองค์หญิง’จื่อฝูคิดอย่างขนพองสยองเกล้า
“รีบขึ้นรถ...ข้ามิชอบทำอันใดชักช้า”
เสียงทุ้มที่ตวาดใส่นาง จนทหารและเหล่าขันทีที่ยังรีรอส่งท่านแม่ทัพและองค์หญิงด้านหน้าประตูวังพลันสะดุ้งสุดตัว ทั้งองค์หญิงเองก็ใจสั่นสะท้านเช่นกัน แต่ดึงสติมิให้ตกใจจนเสียกิริยาดั่งสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
เหมือนเดิม!!
คำนี้ผุดขึ้นในหัวของนาง
ความโหดเหี้ยมของนิ่งอันโหวย่อมไม่มีใครกล้าต่อกร
ไม่เพียงแต่เหล่าทหาร ทุกคนในใต้หล้านี้ย่อมรู้ดี นิ่งอันโหวที่ฟังเพียงคำสั่งโดยตรงจากฝ่าบาท หากนอกเหนือจากฝ่าบาทมิมีผู้ใดในแผ่นดินสั่งการได้
ใบหน้าหวานยิ้มขมขื่น นี่หรือที่เขาอ้อนวอนสวรรค์ขอแก้ไขอีกครั้ง แต่เขากลับจำไม่ได้ มีเพียงนางที่จดจำได้จากห้วงฝันลำพังคนเดียว มีประโยชน์อันใด...!
เอาเถิดเป็นตายหาใช่สิ่งกังวลใจแล้ว หากสวรรค์อยากให้นางตายอย่างทรมานอีกครั้ง นางก็หาได้เกรงกลัวไม่
ใบหน้าสวยหวานดังดอกท้อ อย่างสตรีนอกด่านต่างแคว้นขยับกายด้วยท่วงท่างดงาม จนทำให้นิ่งอันโหวเผลอมองไม่กะพริบตา
ยามก้าวเยื้องย่างน่ามอง แต่คนที่เพ่งพิศกลับคิดว่านางเหมือนสตรีอ่อนปวกเปียกเช่นนี้ ย่อมขัดใจคนที่ตกกระไดพลอยโจนได้เมียโดยไม่ตั้งใจ ทั้งยังเป็นลูกสาวของศัตรูอีกต่างหาก
เขาอยู่ในกองทัพเจอกับแต่ความแกร่งกร้าวดุดัน จนลืมความงามสตรีไปแล้วด้วยซ้ำ
‘หากเจ้าอยากแก้แค้น ความตายของฮ่องเต้ชิงสุนัขเกิดหาคู่ควรไม่...เพียงเจ้าย่ำยีกล่องดวงใจ เหมือนกับที่มันทำกับแม่เจ้าให้ตายทั้งเป็นมิดีหรือ...’
เสียงเหี้ยมกล่าวกับแม่ทัพของตนเองที่เป็นเพื่อนเล่นมาตั้งแต่เล็ก แน่นอนว่าต่อให้กล้ำกลืน เขาก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาท จึงต้องนำนางกลับไปด้วย แม้ทูลขอให้เปลี่ยนพระทัยตั้งแต่ฟ้าแจ้งยันฟ้ามืดก็ตาม
“เชื่อข้า...!!”
เชื่อหรือไม่หัวใจของหลัวอวิ๋นหยางรู้ดี เขาเกลียดมันผู้นั้นเข้ากระดูกดำ และไม่เคยปรานีต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของศัตรูเด็ดขาด
แววตาไร้ความรู้สึกปราดมองร่างนั้นอีกครั้ง กลับพบว่าก่อนนางจะเข้าไปในรถม้าหันมายกยิ้มแสยะให้อย่างรู้สึกหงุดหงิด จนเขาเผลอกัดฟันกรอดไม่เข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อ
อวดดี!!
เขาตีความเอาว่านางเย้ยหยันที่เขาหลีกหนีนางมิพ้น และต้องมีความสัมพันธ์ฉันสามีกับคนที่เขาประกาศกร้าวว่าเกลียดราวกับกิ้งกือไส้เดือน
‘จะตายยังกล้ามาแสยะยิ้มส่งให้ข้า เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะทำให้เจ้ายิ้มจนหุบไม่ลงเลยทีเดียว’ เขาคิดเอาคืนบนเตียงขณะเข้าหอโดยไม่รีรอให้นางได้พักผ่อน
แน่นอนว่าคนอย่างนิ่งอันโหว ไม่ใช่บุรุษสุภาพที่รักหยกถนอมบุปผา
บุญคุณต้องทดแทน แค้นของมารดาต้องชำระ...!