บทที่ 1 ฮูหยินเชลย 1

1572 คำ
ยามซวี(เวลา 19 : 00 น.) รถม้าของฮูหยินคนใหม่ของจวนนิ่งอันโหวเคลื่อนขบวนจากวังหลวงมาจนถึงประตูจวน โดยมีแม่นมจี้ฉง คอยจัดคนมาต้อนรับ แม้รู้ข่าวว่าวันนี้ท่านโหวกลับมาแล้ว แต่ต้องเข้าไปรายงานตัวที่วังหลวงก่อน จึงกลับมาถึงจวนล่าช้า แม่นมเฒ่าก็ยังรั้งรอไม่กลับเข้าไปพักจนได้ยินเสียงคนเฝ้าประตูตะโกนแจ้ง “ท่านโหวกลับมาแล้ว ท่านโหวกลับมาแล้ว” ร่างที่ชราวัยลงแต่ยังแข็งแรงไม่เสื่อมคลายลุกจากเก้าอี้ขึ้นมายืนต้อนรับหน้าประตูจวน “ท่านโหว” เสียงพร่าเอ่ยขึ้นอย่างสั่นเครือเนื่องจากท่านโหวจากไปคราวนี้ ทำศึกเนิ่นนานเหลือเกิน คนที่เลี้ยงดูดุจบุตรในครรภ์มาตั้งแต่ฮูหยินสิ้นชีพก็แสนจะคิดถึง ร่างกายกำยำ ใบหน้าหล่อเหล่างดงามดุจบัณฑิตผู้มีความรู้นั่งอย่างองอาจบนหลังม้า ยามเมื่อถึงหน้าประตูจวนเขาจึงวาดขาลงจากอาชาคู่ใจ ให้ทหารที่เลี้ยงม้านำไปเก็บหลังจวนที่มีคอกม้าโดยเฉพาะอยู่ แม้จะกรำแดดมายาวนาน แต่ผิวพรรณก็ยังผุดผ่องแม้ในยามค่ำมืดเช่นนี้ แม่นมจี้ฉง มองผ่านม่านน้ำตาอย่างรู้สึกปีติ ที่มีวันนี้ “แม่นมเหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่เล่า” หลัวอวิ๋นหยางนับถือแม่นมจี้ฉงไม่ต่างจากมารดากล่าวออกมา พร้อมทั้งเข้าไปประคองร่างที่ยังคงเรี่ยวแรงดี “ท่านไปนานเหลือเกินท่านโหว” มือหญิงชราลูบที่ใบหน้าของคุณชายน้อยของจวนสกุลหลัว กว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย นางต้องตบตีแย่งชิงทุกสิ่งที่เป็นของคุณชายคืนกลับจากอนุเฉียน กว่าจะทวงคืนทรัพย์สินของฮูหยินใหญ่ในอดีตได้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย วันนี้เห็นคุณชายน้อยเติบโตอย่างดี นางก็รู้สึกว่าไม่ผิดต่อฮูหยินใหญ่ในอดีตแล้ว ขณะที่เหล่าคนรับใช้กำลังเข้ามาห้อมล้อมท่านโหวอยู่นั้น คนอีกผู้ที่ร่วมขบวนมากับท่านโหว ก็โผล่ออกมาจากรถม้า สายตาของนางมองเขาที่มีคนรักใคร่ แล้วหันมองตัวเองที่ไม่มีอันใดเลย “องค์หญิงเชิญเสด็จเพคะ” จื่อฝูกระซิบเพียงเบา ๆ ไม่กล้าเอ่ยหนักปาก เพราะไม่รู้ว่าตระกูลนี้เป็นเช่นไรกัน แล้วจะปฏิบัติองค์หญิงของนางเช่นไรด้วย ร่างในชุดขาวสลับสีครามค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้าและมั่นคงลงมา ยืนรอเขาอยู่ด้านหลัง จนคนที่ถูกมองรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่เพ่งพิศตนอยู่และหันกลับไปมองเพียงหางตา ก็นึกขึ้นได้ แต่ก็สะบัดหน้าตรงไม่เหลียวแลนางที่ยืนอยู่จ้องมองมาทางเขา หึ! ก็แค่องค์หญิงเชลย! มีอันใดให้น่าสนใจ “แม่นมจี้ฉง นี่องค์หญิงจิวฮวา ฝ่าบาทพระราชทานให้แต่งเป็นฮูหยินจวนนิ่งอันโหว” เขายืนเอามือไพล่หลังแล้วเชิดหน้าตรงกล่าวออกมา เสียงฮือขึ้นหลังจากท่านโหวแจ้ง นับว่าบ่าวไพร่ส่วนใหญ่ก็มาต้อนรับท่านโหว รับรู้ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงเป็นอย่างมาก “นะ...นี่...คือ” “ใช่แล้ว องค์หญิงคือเชลยบรรณาการ บัดนี้เป็น ฮูหยินบรรณาการในจวนนิ่งอันโหว ทุกคนรับรู้ไว้ด้วย และปฏิบัติต่อนางให้ดี” จิวฮวาฟังคำสั่งของท่านโหวแล้วก็คลายใจได้กึ่งหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็ให้เกียรตินางในการเป็นฮูหยินไม่ทอดทิ้งให้นางหัวเดียวกระเทียมลีบ “เช่นนั้นจะจัดงานฉลองหรือไม่ท่านโหว” แม่นมจี้ฉง มองใบหน้าท่านโหว สลับกับองค์หญิงบรรณาการผู้นี้แล้วก็กล่าวออกมา “ไม่ต้อง ข้าไม่ชอบความรื่นเริง” เขาไม่ชอบงานรื่นเริงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตราบใดที่ยังล้างแค้นให้มารดามิได้ เขาก็ไม่หวังมีความสุขแม้เพียง 1 เค่อด้วยซ้ำ “แล้วเอ่อ...” “เรือนดอกท้อยังว่างอยู่ รีบให้คนไปปัดกวาด หลังเข้าหอที่เรือนใหญ่แล้ว นางจะไปพักที่นั่น” แม่นมจี้ฉงยกมือขึ้นทาบอก เรือนนั้นทั้งมืดมิดและวังเวงน่ากลัว จะให้ฮูหยินไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร แต่เมื่อมองใบหน้าที่เรียบนิ่งก็ไม่มีใครกล้าขัดจึงทำตามโดยดี “ให้ผูกผ้าแดงหรือไม่ท่านโหว” เสี่ยวหมิง คนสนิทของท่านโหว กล่าวขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าท่านโหวจะไม่จัดงานจริง ๆ ใช่หรือไม่ “ไม่ต้อง เข้าหอมีอะไรให้รื่นเริง...ทำให้จบไปตามพระราชโองการ” หลัวอวิ๋นหยางยกมือขึ้นสะบัดชายเสื้อแล้วตรงเข้าไปในเรือนพักของตน โดยมิเชื้อเชิญนางให้เข้าไปในจวนด้วยซ้ำ ความรู้สึกชอกช้ำระกำใจถาโถมสาดเข้ามาเหมือนคลื่นทะเลกระทบชายฝั่งที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง ตราบใดที่ยังมีลม ‘เขาไม่ปรารถนาจะมีข้าในหัวใจสักชาติภพเลยหรือ’ แม้หวังให้เขาจดจำได้ แต่ว่าสวรรค์คงไม่ให้บททดสอบที่แสนง่ายดายเช่นนี้ อยากรู้เสียจริง เทพชะตาเซียนซื่อมิ่งนั้นจะเขียนให้นางมีชีวิตที่ง่ายสักช่วงหนึ่งได้หรือไม่ เหตุใดต้องให้นางพบกับชะตาที่ยากลำบากเช่นนี้ด้วย ร่างที่ร้าวรานไปทั้งหัวใจเดินตามมายังเรือนรับรองก่อนเพื่อทำการอาบน้ำชำระร่างกาย จากนั้นก็เข้าหออย่างเร่งด่วนตามพระบัญชาฝ่าบาท โดยเจ้าของจวนนั้นไม่รั้งรอให้จัดงานมงคลใดให้เกิดขึ้น “พวกเจ้าเตรียมของแล้วก็ออกไปเถิด เดี๋ยวให้จื่อฝูจัดการเอง” จิวฮวาไล่คนของจวนนิ่งอันโหวออกไป เพราะนางไม่ไว้ใจผู้ใดในยามนี้ และให้จื่อฝูเก็บข้าวของที่สำคัญ รวมทั้งจี้สร้อยหยกสลักอักษรหยาง ที่แปลว่ามหาสมุทร ซึ่งเป็นของท่านแม่ซ่อนไว้ให้ลึกที่สุด เพราะเป็นสิ่งแทนใจหนึ่งเดียวให้ระลึกถึงท่านแม่ได้ “ไม่มีพิธีแต่งงานหรือดื่มเหล้ามงคล อักษรมงคลหรือผ้าแดงก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ตกแต่งเรือน นิ่งอันโหวผู้นี้จิตใจหยาบกระด้างนัก ดูหมิ่นองค์หญิงเกินไปแล้วนะเพคะ ซ้ำยังดูแคลนอ่านฮุ่ยของเรานั้น...” เสียงเล็กของนางกำนัลรับใช้จื่อฝูกำลังจะเอ่ยต่อด้วยความรู้สึกไม่พอใจ แต่ทว่านางยังไม่ทันพูดให้จบประโยคก็เรียกสายตาไม่พอใจให้หยุดเสีย ชู่ว์! องค์หญิงจิวฮวายกมือขึ้นปิดที่ปาก พร้อมกับส่งสัญญาณให้เบาเสียง ก่อนจื่อฝูจะเดินไปปิดประตูและหน้าต่าง เข้าไปที่ห้องอาบน้ำจัดการช่วยองค์หญิงอาบน้ำ “มิใช่บ้านเมืองเรา หุบปากไว้บ้าง อะไรไม่ชอบเก็บไว้ในใจ ขนาดอ่านฮุ่ยข้ายังมิมีสิทธิ์มีเสียง เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือ” เสียงเนิบช้าแต่ทว่าทรงพลังกล่าวออกมา ทำให้จื่อฝูรู้สึกสำนึกผิด นางได้รับการตักเตือนหลายครั้งแล้วว่าวันหนึ่งปากของนางจะนำพาความเดือดร้อนมาให้ แต่ว่ามันก็เหลือทนจริง ๆ “ขออภัยเพคะองค์หญิง” นางก้มหน้าลงกล่าวอย่างสำนึกผิด “เอาล่ะ อย่าให้มีอีกก็แล้วกัน แล้วอยู่ที่นี่ ข้ามิต่างจากนักโทษของแคว้นต้าโจว เจ้าไม่ต้องเรียกข้าองค์หญิง คนจะไม่พอใจเอาได้ เรียกข้าเพียงฮูหยินก็พอ” ยามนี้ฐานะนางเปลี่ยนไปแล้ว หากต้องมาเรียกองค์หญิงใช้ราชาศัพท์กลัวว่าบ่าวรับใช้ในจวนจะเอือมระอาเสียก่อน “เจ้าค่ะฮูหยิน” “รีบอาบน้ำเถิด ยามห้ายต้องเข้าหอแล้ว” ดวงตากลมโตมองไปรอบ ๆ เรือนพักรับรอง ขณะที่นั่งหน้าคันฉ่องสีเหลืองนวล ใบหน้าที่งดงามยากหาสตรีใดเปรียบในอ่านฮุ่ย บัดนี้ตกระกำลำบากอยู่ต่างแคว้น ต้องเตรียมเข้าหอกับชายที่มีแต่ความเคียดแค้นชิงชัง หากพบเขาเหมือนในความฝันนางควรทำเช่นไร... ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นแปลบเข้าที่ทรวงอกจนนางเอามือกุมที่หัวใจ นางรู้สึกเหมือนมันกำลังโดนเข็มทิ่มแทง เมื่อภาพเหตุการณ์ข้างหน้ากำลังจะเกิด ‘เหตุใดมิให้ข้ารับรู้หมดในคราวเดียวเล่า’ นางคิดคำนึงอยู่ในใจ ห้องโถงรับรองยามนี้ มีที่ปรึกษาอู๋โหยงเยี่ยน ที่ไม่ได้เร่งรีบเดินทางเข้าเมืองหลวงมานั่งรออยู่ พร้อมกับกอดเหยือกสุราชั้นดีกระดกขึ้นดื่มทั้งเหยือก โดยไม่ทำให้เขาเมามายเลยสักนิดแม้ว่าจะนั่งดื่มมาสองชั่วยามแล้ว เพราะมารอที่จวนของท่านโหวอยู่ก่อน เมื่ออวิ๋นหยางเดินออกมาในเสื้อผ้าชุดใหม่ พร้อมกับกลิ่นหอมอบอวลราวกับยกสวนดอกไม้เข้ามาด้วย ทำให้เขาหันขวับมองทันที “โอ้โห...ท่านโหว...กลิ่นหอมฉุยเช่นนี้ มิใช่มีเรื่องมงคลหรอกหรือ” “รู้แล้วก็ไม่ต้องผายลม!” “โอ๊ะ...ปกติมิเคยงุ่นง่านเช่นนี้หรือว่า ... เสี่ยวหมิงเจ้าเตรียมเลี้ยง คุณชายน้อยของเจ้าเสียแล้วกระมัง” ถ้อยคำหยอกล้อหลุดจากปากที่ปรึกษากองทัพเจ้าสำราญ แม้ว่ายามศึกจะเคร่งเครียดปานใด แต่พักรบเมื่อใดบุรุษผู้นี้สตรีห้อมล้อมไม่ว่างเว้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม