"สมองคนเรามักจะจดจำความทุกข์ได้มากกว่าความสุขอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องพยายามลืมอะไรหรอก เพราะเราควรใช้ความพยายามกับเรื่องหรือคนที่เราให้ค่าเท่านั้น” แม้จะมองไม่เห็นสายตาของอีกฝ่ายในขณะที่พูดออกมา แต่พิชชาก็รับรู้ได้ถึงความหวังดีที่แฝงอยู่ในถ้อยคำพวกนี้
“ก็จริง” พูดอีกก็ถูกอีก ทำไมเธอต้องให้ค่าผู้ชายพรรค์นั้นด้วย
แต่เธอจะผ่านมันไปได้จริง ๆ เหรอ ในเมื่อตอนนี้เธอขาดความเชื่อมั่นในตัวเองไปแล้ว
ราวกับว่าเขาจะอ่านความคิดของเธอทะลุปรุโปร่ง ถึงได้พูดประโยคต่อมา
“ก็แค่ค่อย ๆ ผ่านมันไปทีละเรื่อง รู้ตัวอีกทีเธอก็จะผ่านมันไปได้ทุกเรื่องนั่นแหละ” ตอนเด็กเขาเองก็เคยอยากรีบโตเป็นผู้ใหญ่เพราะจะได้ทำอะไรตามใจ แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่เขากลับอยากเป็นเด็กอีกครั้ง
เพราะสองบ่าของผู้ใหญ่ต้องคอยแบกรับปัญหาไว้มากมาย เหมือนที่ครั้งหนึ่ง เขาก็เคยแบกรับมันมาแล้ว
“รู้ไหม?การโตเป็นผู้ใหญ่มันมีค่ามีราคาที่ต้องจ่าย บางทีเราก็ต้องเลือกและแลกกับหลาย ๆ เหตุการณ์ เพราะงั้นเธอก็เลิกทำหน้าเศร้าเป็นหมาหงอยแบบนี้ได้แล้ว” หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วขณะนั้น ยิ่งได้ฟัง พิชชาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองแทบจะไม่รู้จัก ‘เพื่อนของพี่ชาย’ คนนี้
หลายปีมานี้ เธอแทบจะไม่รับรู้เรื่องราวในชีวิตของเขาเลย
มีอยู่ช่วงหนึ่ง เธอติดต่อธนาไม่ได้ พิชยะก็เหมือนจะมีเรื่องปิดบังเธอ แต่ด้วยนิสัยและความที่ตอนนั้นพิชชาอายุแค่เจ็ดแปดขวบ จึงไม่ได้เซ้าซี้และปล่อยผ่านมาจนทุกวันนี้
“ใครเศร้า ใครเป็นหมาหงอยมิทราบ!” เธอหันไปโวยวายกลบเกลื่อน แต่อีกคนก็ใช่จะยอมอ่อนข้อ โต้ตอบกลับเหมือนมีใครตั้งปุ่มอัตโนมัติเอาไว้
“ก็เธอนั่นแหละ ยัยโง่” คราวนี้เขาหันมาจ้องเธอ
“ฟินน์ไม่ได้โง่สักหน่อย ถ้าอย่างฟินน์โง่ ผู้หญิงทั้งโลกคงไม่มีใครฉลาดหรอก” พิชชานั่งกอดอก ปลายคางเชิดขึ้นเหมือนที่ชอบทำ โดยไม่คิดว่าจะถูกอีกฝ่ายพูดแทงใจดำเข้า
“ถ้าเธอฉลาดขนาดนั้น แล้วที่ผ่านมาทำไมไม่เคยรู้อะไรเลยล่ะ หรือมัวแต่ปิดหูปิดตาตัวเองอยู่” หัวใจของพิชชากระตุกวูบเหมือนมีใครเอามีดมาสะกิดที่แผล
นอกจากเธอจะเป็นคนที่แทนไทคบหาด้วยเพื่อใช้เป็นเครื่องมือแก้แค้นพิชยะเกี่ยวกับเรื่องในอดีต
กับคนใกล้ตัวอย่าง ‘มนต์มีนา’ เพื่อนที่เธอรักมากที่สุด เธอยังไม่เคยรู้อะไรเลย
เธอเอาแต่ทะนงว่าตัวเองเฉลียวฉลาด ทั้งที่ความจริงก็เป็นแค่คนที่ชอบปิดหูปิดตาตัวเองอย่างที่เขาว่า
น้ำอุ่น ๆ จากหัวตาซึมเอ่ออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ธนาเพิ่งหันมายิ้มชื่นใจเหมือนจะเยาะเย้ยเธอได้ แต่พอเขาเห็นน้ำตาของยัยตัวแสบร่วงเผาะเท่านั้นก็ผงะไป
เขากำลังจะเอ่ยคำขอโทษ หญิงสาวก็ปาดน้ำตาออกแล้วพูดขึ้นก่อน
“ไปกินเหล้าเป็นเพื่อนหน่อย”
“เอาจริงดิ” ธนาตั้งตัวไม่ทันกับอารมณ์ของหญิงสาว ยัยเด็กนี่ยิ่งคุ้มดีคุ้มร้ายอยู่ด้วย
“เออ เรื่องนี้ใครเขาพูดเล่นกันล่ะ แต่ถ้าพี่ธนาไม่อยากไป ฟินน์ไปคนเดียวก็ได้” น้ำเสียงของพิชชากลับมาร่าเริงสดใส ราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้
พลันความหนักอึ้งในอกที่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร ก็ทุเลาเบาบาง
“ใครบอก ไปก็ไปสิ กำลังเบื่อ ๆ อยู่พอดี” ศัลยแพทย์หนุ่มหยัดกายขึ้นจนเต็มความสูง รู้สึกโล่งใจอย่างแปลกประหลาดที่เห็น ‘น้องสาวของเพื่อน’ คนนี้กลับมาเป็นคนเดิม
ยัยตัวแสบของเขา
“แล้วจะไปสภาพนี้เนี่ยนะ” แม้จะนั่งอยู่ตรงนี้กันสักพักแล้ว แต่สภาพเขากับเธอก็ไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำสักนิด
“จะบ้าเหรอ ก็ต้องกลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าแต่งตัวก่อนสิ”
“ต้องแต่งหน้าอีกเหรอ” เขาไม่ชอบนั่งรออะไรนาน ๆ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องรอพวกผู้หญิงแต่งตัว บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยสอบผ่าน
“ก็ต้องแต่งสิ ชุดไม่เริ่ด ปากไม่แดง ฟินน์ไม่มีแรงออกจากบ้านหรอกนะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินไปสวมรองเท้า หยิบแอร์เมสใบย่อมที่วางอยู่ด้วยกันขึ้นมาสะพาย แล้วดันแผ่นหลังของชายหนุ่มให้เดินนำไปที่รถ เพราะรู้ว่าเขาน่าจะจอดอยู่ใกล้ ๆ นี้
ทั้งคู่เดินมาหยุดตรงฮัมเมอร์สีดำขลับที่จอดอยู่ริมถนนฝั่งชายหาด
แม้รอบข้างจะมืดสลัวแต่แสงไฟดวงเล็กที่ส่องลงมาจากเสาไฟฟ้าก็เพียงให้มองเห็นรถได้รอบคัน
ค่ายนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นรถสมรรถนะเลิศ ด้วยกระจกสามารถกันกระสุนได้รอบคัน ตัวถังเป็นเหล็กกล้ามีความแข็งแรงสูง ตอนเปิดตัวแรก ๆ นิยมใช้ในกองทัพของสหรัฐอเมริกา
แต่หากไม่ใช่ความชอบส่วนตัว อาชีพ ‘หมอ’ เช่นเขาก็อาจจะเลือกใช้รถที่ดูหรูหรามากกว่านี้
พิชชาหวนคิดถึงสมัยที่เธอยังเป็นเด็กขึ้นมา คุณมนูญผู้เป็นบิดามักจะพาเธอไปไหนมาไหนด้วยรถคู่ใจคันนี้
ทุกคนในบ้านรู้ว่าท่านรักและหวงแหนมันมาก
แต่ห้าปีที่แล้ว ท่านกลับขายให้กับเพื่อนของลูกชาย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีคนมาติดต่อขอซื้อหลายรายก็ยังไม่ใจอ่อน
เขาออดอ้อนหรือใช้ลูกไม้ไหนกันนะ? คนที่ขึ้นชื่อเรื่องหวงรถยิ่งกว่าหวงภรรยาเช่นพ่อของเธอ ถึงได้ยอมยกให้ง่าย ๆ
“ยังขับอยู่เหรอ นึกว่าซื้อไปจอดทิ้งไว้ซะอีก” เธอถามกึ่ง ๆ ประชด เพราะเคยเห็นแต่ธนาขี่บิ๊กไบค์เสียส่วนใหญ่
“ก็ขับตลอดนะ เธอไม่เห็นเองรึเปล่า” เขาชื่นชอบบิ๊กไบค์ถึงขั้นเรียกว่า ‘คลั่งไคล้’ ก็จริงแต่ก็ใช้ในเวลาเร่งด่วน ตอนที่พามารดาไปทำธุระหรือเดินทางไกลก็ใช้ฮัมเมอร์คันนี้เป็นยานพาหนะตลอด
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยได้ขับ แต่ก็ทะนุบำรุงรักษาเป็นอย่างดี ชนิดที่มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม
และไม่เคยลืมเลือนคำพูดที่เคยให้ไว้กับเจ้าของเดิม
คำพูดที่เขาพูดมันออกมาจากใจจริง
พิชชาเคยสนใจเขาที่ไหน เรียกว่าอยู่นอกสายตาเลยยังได้
“ขึ้นรถได้แล้ว” ภายใต้คำพูดค่อนขอด ธนาดูออกว่าพิชชาคงจะคิดถึงรถที่บิดาของตัวเองเคยใช้มาก่อน ในวัยเด็กคงมีความทรงจำมากมายกับรถคันนี้จนเกิดเป็นความผูกพัน หากก็ไม่ได้เอ่ยคำใด เดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่ง พิชชาเปิดประตูเข้าไปนั่งในห้องโดยสารอย่างว่าง่ายเพราะขี้เกียจจะต่อปากต่อคำด้วย