ตอนที่ 6 หมอยาจำเป็น (2)
ผ่านไปนานเกือบชั่วโมงที่เธอค้นซอกนั้น หาซอกนี้ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีแล้วเธอจำเป็นต้องเปิดตำราอีกครั้ง เพื่อที่จะหาแหล่งที่มาของสมุนไพรชนิดที่ต้องการ เพียงไม่นานเธอก็ได้คำตอบที่ต้องการ ไม่รอช้าสองเท้ารีบเดินจ้ำอ้าวไปหยิบหมวกสานใบใหญ่ และโคมไฟดวงน้อยที่มันสลัวจนแทบจะมองไม่เห็น พร้อมทั้งหยิบตะกร้าสานใบเล็กขึ้นมาคล้องแขน ราวกับมันคือกระเป๋าแบรนด์ดังที่เพิ่งนำเข้าจากยุโรป
“ไว้ฟื้นมาก่อนเถอะ จะทบต้นทบดอกเลยคอยดู”
ในใจเอาแต่นึกก่นด่าโชคชะตาของตนเองว่าเพราะเหตุใด ทำไมต้องมาเจอกับเรื่องราวประหลาดอะไรเช่นนี้ด้วย แต่พอมองหน้าคนผู้นี้แล้วหลี่เฟยหลงทำได้แต่ยืนทำสมาธิอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เธอจะลอบถอนหายใจเสียงดังแบบไม่ปกปิด
เธอตัดสินใจใช้มือผลักประตูออกไปจนสุด สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าจะสงบ มองจากความรู้สึกแล้วดูเหมือนจะหนักกว่าก่อนหน้านี้อีกด้วย และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดในช่วงเวลานี้ แม้ว่าจะไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ แต่ชีวิตผู้ชายคนนั้นก็ยังคงสำคัญเช่นกัน
“ท่องไว้หลี่เฟยหลง คุณธรรมสำคัญกว่าความกลัว ฮึ๊บ!”
เธอยืนมองออกไปด้านนอกอย่างพิจารณา แล้วทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจสวมหมวกสานใบใหญ่ใบนั้นเดินฝ่าห่าฝนมุ่งหน้าไปยังหุบเขาที่ดูจากแผนที่ในตำราน่าจะไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งป่ากับดวงไฟที่แสนจะสลัวทำให้บรรยากาศรอบตัวของเธอในตอนนี้มันเรียกได้ว่าน่ากลัวไม่ใช่น้อย
“ในโลกนิยายแบบนี้คงไม่มีผีออกมาหรอกนะ”
เธอมองไปรอบตัวอย่างระมัดระวัง แต่หัวใจที่เด็ดเดี่ยวและสองเท้าก็ยังคงทำหน้าที่ก้าวไปด้านหน้าอย่างรีบร้อน
“ถ้าตามแผนที่ในตำราแล้ว เอ.. จะต้องเดินมาทางนี้.. อืม นี่ก็เดินมานานละนะยังไม่ถึงจุดแดงบนแผนที่นี้เหรอ แล้วอันนี้มันคืออะไรละเนี่ย อ๋อถ้ำ.. ถ้าเจอถ้ำแล้วก็ให้เดินต่อไปถูกหรือเปล่านะ”
“โอ๊ย!แล้วทำไมถึงไม่รู้จักเขียนให้มันเป็นตัวอักษรที่อ่านง่ายกว่านี้กันละเนี่ย! ภาพวาดนี่ก็ดูยากจะตาย ถ้าวาดสวยกว่านี้เฟยหลงคนนี้จะไม่บ่นสักคำ เฮ้อ!ตรงนี้.. ถ้าผ่านถ้ำแล้วก็จะเจอสมุนไพร แถวนี้ละมั้ง อืม..”
เธอบ่นไปพร้อมกับมองภาพวาดนั้นผ่านโคมไฟที่จะดับมิดับแหล่อย่างทุลักทุเล สายตาจดจ้องมองภาพเส้นทางนั้นโดยที่ไม่ทันระวัง เท้าข้างหนึ่งก้าวไปสะดุดกับท่อนไม้ใหญ่ที่เอนกิ่งลงมาขวางทาง ทำให้เธอนั้นล้มก้นจ้ำเบ้าอย่างแรง
และจะไม่บาดเจ็บก็คงไม่ใช่เพราะข้อเท้ารู้สึกได้ถึงความแปลบปลาบ คาดว่าน่าจะข้อเท้าแพลงเท่านั้นแหละมั้ง ล้มแค่นี้ทำให้ขาหักก็ดูจะเกินเหตุไปหน่อย เฟยหลงดันตัวเองให้ลุกขึ้น ปัดก้นที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำโคลนก่อนจะเริ่มก้าวเท้าเดินตามทางต่อ
ท้องฟ้าที่นี่ก็ดูท่าจะไม่เป็นใจให้คนอย่างเฟยหลงเดินได้สะดวกสักเท่าไหร่ มันยังคงทำหน้าที่กระหน่ำเทเม็ดฝนลงมาอย่างไม่ขาดสายและเหมือนจะหนักขึ้นจากเดิมเสียด้วยซ้ำ
เธอมองรอบตัวด้วยความระมัดระวัง และทำได้แค่พยายามเดินตามทางที่มองเห็นอย่างเลือนรางผ่านโคมไฟสลัว เพื่อมุ่งหน้าเข้าไปในป่าลึกตามตำราที่เป็นแหล่งรวมสมุนไพรหายาก
ทุกพื้นที่ที่เธอเดินผ่าน ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นใดมีเพียงเสียงจากลมหายใจของตัวเธอเองและเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาจนหนาวเหน็บเท่านั้น นักเขียนมีชื่อที่เกือบจะดังอย่างหลี่เฟยหลง กับดวงไฟดวงน้อยที่ส่องแสงริบหรี่กำลังเดินลึกเข้าไปในป่าอย่างทุลักทุเล
ความรู้สึกเจ็บแปลบปลาบที่ข้อเท้าเริ่มรุนแรงขึ้นจนมือเล็กต้องคว้ากิ่งไม้ข้างทางที่ขนาดพอเหมาะ ที่พอจะช่วยพยุงให้ร่างกายไปต่อได้มาค้ำและเดินมุ่งหน้าไปทางที่ตั้งใจไว้
“นี่ไงเจอแล้ว! ต้องใช่แน่ ๆ”
เธอกางตำราออกมาส่องกับโคมไฟนั้นอีกครั้ง เปรียบเทียบใบสมุนไพรในตำรากับสมุนไพรตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นสมุนไพรที่ตามหาสองมือรีบจัดการเด็ดพวกมันอย่างเบามือที่สุดใส่ตะกร้าสานที่เตรียมมาจนเต็ม
เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว เฟยหลงจึงพยุงตัวเองเกาะเกี่ยวกับกิ่งไม้คู่ใจ เพื่อเตรียมที่จะเดินทางกลับไปยังกระท่อมหลังน้อยที่มีใครก็ไม่รู้นอนพะงาบรอให้ไปรักษาอยู่ แต่ก็นะเธอมันคนใจดีเสียด้วยสิ จะช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน
งิ๊ง!งิ๊ง!
“ส..เสียงอะไรน่ะ”
ดวงตากลมโตของเธอหรี่ลงจนเกือบจะปิด กวาดสายตามองไปรอบตัว เพื่อหาต้นตอของเสียง หวังว่าคงไม่ใช่ผีหรอกนะ
“อย่า..อย่ามาทำให้กลัวนะ”
งิ๊ง!งิ๊ง~