ตัดขาดตระกูลจาง

1365 คำ
เมื่อเขามีครอบครัวเป็นของตนเองจึงไม่อยากให้ภรรยาถูกรังแกไปด้วย วันนี้เขาก็รู้จากลูกสะใภ้ว่าหลินเยว่นางต้องซักผ้าให้คนทั้งเรือน ทั้งยังเปิดให้ดูร่องรอยที่นางถูกนางฮั่วซื่อทุบตีอีกด้วย “เอาเถิด เช่นนั้นก็นำที่นาและเงินในส่วนของอาซางมาให้อารุ่ยเสีย” เขาหันไปบอกจางซุนและนางฮั่วซื่อ “เหอะ ข้าไม่ให้ ตั้งแต่มันเกิดมาครอบครัวข้าต้องสูญเสียไปไม่น้อย ตอนจะไปยังคิดจะมาเอาของ ของข้าไปอีกรึ” นางฮั่วซื่อเท้าสะเอวต่อว่าเลี่ยงรุ่ย ผู้นำหมู่บ้านก็ดูเหมือนจะไม่พอใจอย่างยิ่งที่นางฮั่วซื่อดื้อรั้นเช่นนี้ เขากำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่เสียงของเลี่ยงรุ่ยก็ดังขึ้นมาเสียก่อน “ท่านลุงจิ่ว ส่วนของบิดาข้า ข้าไม่ต้องการขอรับ แต่ข้าขอส่วนที่เป็นสินเดิมของท่านแม่คืนก็พอขอรับ” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมกับผู้นำหมู่บ้าน “ไปนำมาคืนอารุ่ยเสีย” ผู้นำหมู่บ้านก็เห็นด้วยกับเลี่ยงรุ่ย “ส่วนนี้ก็ไม่ได้” นางฮั่วซื่อหันหน้าไปทางอื่น “เพ้ย ของอาซางก็ไม่ให้ ที่นากับบ้านของอากุ้ยเจ้าก็ไม่ให้อีกรึ เช่นนั้นก็ไปที่ว่าการ ให้ท่านนายอำเภอตัดสินเสีย” จางซุนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าจะไปที่ว่าการ เขาลากตัวมารดาออกไปคุยห่างจากผู้อื่นเล็กน้อย “ท่านแม่ ท่านยอมให้อารุ่ยไปเถิดขอรับ หากไปถึงที่ว่าการ เรื่องของอาเฉิงต้องถูกพวกมันพูดขึ้นมาแน่นอน” จางซุนรู้เรื่องมาจากนางหงซื่อตอนที่ไปตามเขากลับมาจากร้านข้าวในเมืองแล้ว เขาเป็นหลงจู๊อยู่ที่ร้านข้าวสาร คงไม่ดีหากเรื่องของบุตรชายหลุดออกไปจากเรือน ตัวเขาก็คงต้องถูกไล่ออกจากงานไปด้วย จึงได้รีบร้อนกลับมาที่หมู่บ้านทันที นางฮั่วซื่อใบหน้าซีดขาว นางไม่อาจเอาอนาคตของหลานชายไปแลกกับเรื่องเช่นนี้ได้ จึงได้เดินขึ้นเรือนไปอย่างไม่พอใจ “ท่านลุงจิ่ว ท่านเขียนหนังสือตัดขาดเถิดขอรับ” ผู้นำหมู่บ้านเดินไปเขียนหนังสือตัดขาดที่แคร่ใต้ต้นไม้ทันที เมื่อเขียนเสร็จเขาส่งให้จางซุนและจางเลี่ยงรุ่ยคนละแผ่นเพื่อตรวจสอบ หลินเยว่เห็นเลี่ยงรุ่ยรับกระดาษมาเม้มปากแน่น นางก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงอ่านตัวหนังสือที่เขียนไว้ไม่ออก จึงได้ดึงมาอ่านเอง นางพอจะมีความรู้เรื่องตัวอักษรโบราณอยู่ไม่น้อย เมื่อต้องเดินทางไปนอกเมืองเพื่อซื้อวัตถุดิบ ชาวบ้านในหมู่บ้านบางแห่งเขียนอักษรโบราณแปะไว้ที่ผนังบ้านจึงทำให้นางสนใจ จนเริ่มที่จะหาหนังสือมาหัดอ่านและหัดเขียน เพื่อที่ครั้งต่อไปเมื่อนางเดินทางไปติดต่อซื้อวัตถุดิบ จะได้พูดคุยกับพวกเขาได้บ้าง การที่ทำเช่นนี้ย่อมได้ใจชาวบ้านอยู่ไม่น้อย ผู้นำหมู่บ้านจิ่วก็ไม่ได้แปลกใจที่หลินเยว่นางจะแย่งหนังสือตัดขาดไปอ่านเอง เพราะนางเป็นถึงคุณหนูตระกูลเกา เรื่องความรู้นางคงมีติดตัวมาไม่น้อย จนถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจเลยว่า นางฮั่วซื่อไปเจรจาเช่นไรถึงได้แต่งเกาหลินเยว่เข้าเรือนมาได้ และยังยกบุตรสาวคหบดีอย่างหลินเยว่ให้แต่งกับหลานชายที่นางรังเกียจ แทนที่จะเป็นจางเฉิงหลานรักของนาง “รบกวนท่านผู้นำหมู่บ้าน เขียนเพิ่มให้ข้าอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” “เจ้าจะให้ข้าเขียนอันใดเพิ่มรึ” “เมื่อตัดขาดกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายมิอาจหาผลประโยชน์อันใดต่อกันได้ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจริญรุ่งเรือง” ผู้นำหมู่บ้านจิ่วมองหลินเยว่อย่างชื่นชม เด็กสาวผู้นี้ฉลาดไม่น้อย ไม่รู้ว่าเลี่ยงรุ่ยวาสนาดีเพียงใด ที่ได้แต่งนางเข้าเรือน “ได้” เขารับคำของนางแล้วเดินไปร่างหนังสือต่อ ทางด้านจางซุน และนางฮั่วซื่อ ย่อมต้องยินดีที่หลินเยว่นางเอ่ยออกมาเช่นนั้น หากนางไม่พูดขึ้น พวกเขาก็คงต้องเอ่ยบอกท่านผู้นำหมู่บ้านเช่นกัน “หึ ต่อไปอาเฉิงได้เป็นขุนนาง พวกเจ้าก็อย่าลืมที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่เล่า” นางหงซื่อเอ่ยเยาะเย้ยออกมา “หลินเยว่จะจดจำไว้อย่างดี” นางก้มหัวลง พร้อมกับยิ้มหวานออกมา “หึ” นางฮั่วซื่อสบถออกมา การกระทำของนางเช่นนี้ ใช่นอบน้อมเสียที่ไหน แต่เป็นการถากถางพวกเขาต่างหาก ผู้นำหมู่บ้านส่งหนังสือตัดขาดให้พวกเขาคนละแผ่นและเก็บไว้ที่ตัวเองอีกหนึ่งแผ่น นางฮั่วซื่อจำต้องเดินเอาหนังสือสิทธิ์ที่นาและเรือนของนางฟู่กุ้ยมายื่นให้เลี่ยงรุ่ย เขาเก็บทั้งหมดใส่ในอกเสื้อก่อนจะหันไปขอบคุณผู้นำหมู่บ้าน แล้วก้มลงคุกเข่าคำนับให้นางฮั่วซื่อเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพาหลินเยว่นางไปเก็บของที่อยู่ในห้อง ผู้นำหมู่บ้านมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ไปอย่างเห็นใจ คนดีเช่นเลี่ยงรุ่ยมิน่าต้องมาเกิดอยู่ในเรือนตระกูลจางเลย หากเขามีบุตรเช่นนี้ก็คงดีไม่น้อย เขาได้แต่ถอนหายใจ พร้อมเดินกลับไปที่เรือนของตนเอง ข้าวของของเลี่ยงรุ่ยมีไม่มาก นอกจากเงินที่เขาแอบซ่อนไว้ก็มีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด เขาให้หลินเยว่เก็บเงินไว้ในมิติ เพราะรู้ดีว่าเมื่อออกจากเรือนเขาต้องถูกค้นของในห่อผ้าอย่างแน่นอน และไม่ต่างจากที่เขาคิด ทั้งห่อผ้าและหีบใส่ของของหลินเยว่ ล้วนแต่ถูกนางฮั่วซื่อและนางหงซื่อค้นอย่างเอาเป็นเอาตาย “เหอะ สินเดิมของข้า ท่านก็กล้าค้นด้วยรึ” หลินเยว่นางต่อว่าออกมาอย่างเหลืออด ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่มาชมเรื่องสนุกอยู่ที่หน้าเรือน ยังต้องส่ายหัวให้กับความใจแคบของคนตระกูลจาง ของที่ทั้งสองถืออยู่ในมือ เพียงมองดูก็รู้ว่าคงมีแต่เสื้อผ้า “ผู้ใดจะรู้เล่า ว่าเจ้าจะขโมยของในเรือนข้าไปหรือไม่” นางฮั่วซื่อชี้หน้าหลินเยว่อย่างดูแคลน “หึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่ท่านวางแผนจัดการข้ากับมารดาเลี้ยงของข้า ไหน ๆ ข้าก็จะไปแล้ว เงินที่ท่านได้มาก็ไม่น้อย คงใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายไปอีกนาน” จางเฉิงที่แอบฟังอยู่ภายในห้อง ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันที เมื่อได้ยินหลินเยว่นางพูดมาท่านย่าของเขาได้เงินมาจากนางเจินซื่อ นางฮั่วซื่อใบหน้าซีดขาวทันที ที่หลินเยว่นำเรื่องของนางออกมาเปิดโปง ชาวบ้านได้แต่มองมาทางนางฮั่วซื่ออย่างแคลงใจ เมื่อมีคำพูดของหลินเยว่เช่นนี้ เท่ากับความสงสัยเรื่องที่เหตุใด คุณหนูเช่นนางถึงแต่งเข้าตระกูลจางที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาได้ ก็นับว่าคลายความสงสัยแล้ว “เจ้า เจ้า” นางได้แต่ชี้นิ้วมาทางหลินเยว่ แต่มิอาจพูดสิ่งใดออกมาได้ เรื่องนี้นางไม่สนใจแล้ว นางกลับดีใจเสียอีกที่ไม่ต้องแต่งให้บุรุษใจโลเลเช่น ตู้ฮุ่ยเหอ ถึงเขาจะเป็นถึงบุตรชายนายอำเภอ ฟู่เลี่ยงรุ่ย (เขาเปลี่ยนมาใช้แซ่ของมารดาแล้ว) เห็นใจนางไม่น้อย เขาก็เพิ่งจะรู้เรื่องในตอนนี้ ตอนแรกที่ท่านย่าสั่งให้เขาแต่งงาน เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าสตรีที่แต่งด้วยจะเป็นคุณหนูตระกูลเกา ถึงภายนอกนางจะเป็นคุณหนูตระกูลเกา แต่วิญญาณของนางมิใช่แล้ว ตอนนี้เขาก็ไม่สนใจสิ่งใดเช่นกัน ขอเพียงแค่มีนางก็พอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม