หลินเยว่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู นางนอนอยู่ในห้องเฉยๆ ทำไมถึงได้ดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องได้เล่า
“ท่านอาสะใภ้ ท่านพูดให้ดีเสียหน่อย ข้าจะให้ท่าบุตรชายของท่านเพื่ออันใด” หลินเยว่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“หึ ดูเสื้อผ้าของเจ้าสิ เช่นนี้ไม่ใช่ให้ท่าแล้วจะเรียกว่าอันใด”
หลินเยว่นางจึงได้ก้มลงมองเสื้อผ้าของนาง นางอดที่จะกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้ เพียงแค่เปิดนิดหน่อย นางไม่ได้แก้ผ้ากวักมือเรียกให้เขาเข้ามาในห้องของนางเสียเมื่อไหร่
“เหอะ หากข้าแก้ผ้าเรียกเขาเข้ามาค่อยมากล่าวหาข้า ข้านอนอยู่ในห้องจะให้เสื้อผ้าเรียบร้อยเช่นเดิมก็คงจะแปลก” นางเถียงอย่างไม่ยินยอม
“ท่านย่าข้าต้องการแยกเรือน” จางเลี่ยงรุ่ยเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ทั้งหมดจะเถียงกันไปมากกว่านี้
“เจ้าว่าอันใดนะ” นางฮั่วซื่อเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้าต้องการแยกเรือน ในเมื่ออาเฉิงคิดจะเข้าหาอาเยว่ ครั้งต่อไปเขาก็อาจจะทำอีกได้” ครั้งนี้เลี่ยงรุ่ยไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว
“เพ้ย เจ้ากล้ารึ”
“ต่อให้ข้าแยกออกไปต้องอดตาย ข้าก็ขอไปตายดาบหน้า แต่หากท่านย่าไม่ยอมให้ข้าแยกเรือน ข้าจะนำเรื่องที่อาเฉิงทำในวันนี้ไปแจ้งท่านอาจารย์ที่สำนักศึกษา”
“เจ้า เจ้า สวรรค์ เหตุใดถึงส่งตัวซวยเช่นนี้มาเกิดในเรือนของข้า” นางทิ้งตัวนั่งลงไปกับพื้นกรีดร้องเช่นที่ทำทุกครั้ง
นางไม่มีทางยอมให้เลี่ยงรุ่ยนำเรื่องเช่นนี้ไปพูดที่สำนักศึกษาอย่างแน่นอน หลานชายของนางต้องสอบเป็นขุนนาง จะมีชื่อเสียงด่างพร้อยไม่ได้
แต่เลี่ยงรุ่ยเพียงมองนางอย่างเย็นชา ไม่แม้แต่จะขอร้องให้นางลุกขึ้นเช่นเดิม
“ดีดี หากเจ้าเก่งกล้านักก็ออกไปจากเรือนของข้าเสีย ข้าไม่ให้เจ้าแยกเรือน แต่จะตัดเจ้าออกจากตระกูลไปเสียเลย” นางหงซื่อยิ้มเยาะมองจางเลี่ยงรุ่ย
“ท่านแม่ให้ข้าไปตามท่านพี่กลับมาเลยดีหรือไม่” นางหงซื่อรีบเสนอตัวทันที
หากจางเลี่ยงรุ่ยถูกตัดออกจากตระกูลไป ที่นาและเงินในเรือนก็ไม่ต้องแบ่งให้เขา แต่หากเพียงแค่แยกบ้านอย่างน้อยก็ต้องแบ่งที่นาและเงินให้เขาไปด้วย
ถึงแม้จะไม่อยากให้ แต่ก็จำต้องให้ เพราะผู้นำหมู่บ้านที่เป็นสหายของบิดาเลี่ยงรุ่ยคงไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
“ไป เจ้ารีบไปเดี๋ยวนี้ อาซุยจะได้กลับมาทันก่อนฟ้ามืด แล้วตามผู้นำหมู่บ้านมาด้วยเล่า” นางฮั่วซื่อลอบมองเลี่ยงรุ่ย เพื่อดูว่าเขาจะเอ่ยขอร้องนางหรือไม่
แต่เมื่อไม่เห็นเขาเอ่ยขอร้อง ด้วยกลัวจะเสียหน้า จึงได้ช่วยนางหงซื่อลากอาเฉิงกลับไปที่เรือนหลัก
เมื่อทั้งหมดจากไปแล้ว หลินเยว่ก็มองเลี่ยงรุ่ยอย่างเป็นกังวล นางไม่คิดว่าเขาจะยอมถูกตัดขาดกับตระกูล นางคิดว่าเพียงแค่แยกเรือนเท่านั้น
“อารุ่ย” นางบีบมือของเขาแน่น
“เข้าไปในห้องเถิด กว่าท่านอาของข้าจะเดินทางกลับจากในเมืองก็เป็นเวลาเย็นแล้ว” เขาจูงมือหลินเยว่เข้าไปในห้อง
ทั้งสองจึงเข้าไปในมิติ เพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“อาเฉิงทำเช่นที่เจ้าว่าจริงหรือ” นางเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะนางไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา จะบอกว่านางนอนหลับลึกก็คงไม่ใช่
“ก่อนที่ข้าจะออกไปตัดหญ้าให้หมูข้าก็เห็นอาเฉิงทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ใกล้ๆ เรือนแล้ว ข้าจึงทำทีเป็นออกไปนอกเรือน แล้วหลบดูว่าเขาต้องการจะทำสิ่งใด”
หลินเยว่อดที่จะขนลุกไม่ได้ หากเขาเข้ามาในห้องนางโดยที่ไม่มีจางเลี่ยงรุ่ยอยู่ด้วย นางคงได้แต่หนีเข้ามิติ แต่หากว่าหนีเข้าไปไม่ทัน ไม่รู้ว่านางจะสู้แรงของเขาได้หรือไม่
“เจ้าไม่ต้องกลัว ต่อให้ข้าถูกตัดขาดกับตระกูล ข้าก็ต้องพาเจ้าไปอยู่ที่อื่น” เขาบีบมือของนางแน่น
“แล้ว ไปตอนนี้ เจ้ามีเงินรึ” หลินเยว่นางอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้
ที่นางมีเงินเพียงยี่สิบตำลึงเงินเท่านั้น หากจะซื้อเรือนก็คงจะไม่พอ หากต้องไปเช่าอยู่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินมากหรือไม่
“ข้ามีเงินที่แอบซ่อนไว้อยู่จำนวนหนึ่ง และยังมีเรือนของมารดาข้าอยู่ที่ฝั่งตะวันตก เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะพาเจ้าไปพักที่เรือนนั้นเสียก่อน” เขานำสัตว์ไปขายในเมือง เงินส่วนมากจำต้องส่งให้ท่านย่าทั้งหมด
แต่เลี่ยงรุ่ยก็มิใช่คนโง่ เขามิได้นำสัตว์ป่าที่ล่าได้กลับมาที่เรือนทั้งหมด ยังคงซ่อนไว้ด้านนอก เมื่อทำเช่นนี้นางฮั่วซื่อจึงไม่สงสัยเขาในเรื่องเงิน
มารดาของเลี่ยงรุ่ยก็เป็นคนในหมู่บ้านเช่นกัน ท่านตาท่านยายของเขาล้วนแต่เสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือที่นาและเรือนหลังนั้นไว้ให้มารดาของเขา ถึงแม้ตอนนี้ทั้งหมดจะอยู่ในความดูแลของนางฮั่วซื่อ แต่ในเมื่อจะถูกตัดขาดออกจากตระกูลเขาก็สมควรจะได้ของของเขาคืนมา
“ช่างเถิด ข้ายังมีหนทางที่จะหาเงินอีกมาก ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะเลี้ยงดูท่านเองดีหรือไม่” นางเอียงคอมองเขาอย่างหยอกล้อ
เลี่ยงรุ่ยฟังคำพูดและท่าทางที่ซุกซนของนาง เขาก็อดจะยกยิ้มออกมาไม่ได้ พร้อมทั้งดีดหน้าผากของนางอย่างมันเขี้ยว
“โอ๊ยย ท่านดีดหน้าผากข้าทำไม”
“เรื่องเลี้ยงดูเจ้า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า เจ้าเป็นสตรีควรอยู่ดูแลเรือนก็พอ” เขาอยากจะบอกนางว่าสมควรเลี้ยงดูเพียงลูกก็พอ
“แต่ข้าอยากให้ท่านได้ร่ำเรียน ตอนนี้ท่านเพียงสิบเก้าหนาว ยังมีเวลาอีกมาก ข้าอยากให้ท่านได้ทำตามความต้องการของตนเอง” นางอยากให้เขาได้ทำตามความต้องการของตนเองสักครั้ง เพราะตั้งแต่เกิดมาเขาคงไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการเลย
เลี่ยงรุ่ยมองหลินเยว่อย่างขอบคุณ เขาดึงนางเข้ามาสวมกอดไว้แน่น นางเป็นคนแรกเลยกระมังที่พูดให้เขาทำตามความต้องการ
หลินเยว่ตกตะลึงไม่น้อยที่อยู่ๆ เลี่ยงรุ่ยก็ดึงนางเข้าไปสวมกอดเช่นนี้ นางที่ทำตัวไม่ถูกจึงได้เอ่ยออกมาว่า “ข้าหิวแล้ว” เขาถึงได้ยอมปล่อยตัวนาง
หลินเยว่รีบวิ่งเข้าไปในครัว เพื่อทำอาหาร แต่ความจริงแล้วนางเขินอายไม่น้อย จึงไม่กล้าที่จะสู้หน้าเขาในตอนนี้
เมื่อทั้งสองออกมาจากมิติ นางหงซื่อที่ไปตามจางซุยในเมืองก็เดินทางกลับมาถึงเรือนพอดี ทั้งคู่ยังพาผู้นำหมู่บ้านมาที่เรือนของพวกเขาด้วย
เสียงร้องเรียกของผู้นำหมู่บ้านดังเรียกเลี่ยงรุ่ยอยู่ที่หน้าห้องของเขา เขาจึงได้พาหลินเยว่นางออกไปด้านหน้าเรือนหลัก
“จริงรึ ที่เจ้าจะออกจากตระกูล” ผู้นำหมู่บ้านจิ่วเอ่ยถามเลี่ยงรุ่ยอย่างเป็นห่วง
“ขอรับ ท่านลุงจิ่ว”
ผู้นำหมู่บ้านไม่ได้เอ่ยถามว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาถึงต้องการออกจากตระกูล ตัวเขาก็พอจะรู้มาไม่น้อยว่าเลี่ยงรุ่ยถูกคนตระกูลรังแกมากเพียงใด