นางตายไปแล้วมิใช่รึ

1284 คำ
นางฮั่วซื่อ เมื่อด่าจนเหนื่อยแล้วนางก็เดินออกจากห้องของหลานชายไป “รู้สึกตัวแล้วก็ลุกขึ้นเสีย” จางเลี่ยงรุ่ยมองนางอย่างไม่พอใจ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางรู้สึกตัว เปลือกตาของนางขยับ ทั้งยังกรามที่ถูกกัดจนขึ้นสันนูนออกมา คงมีเพียงท่านย่าของเขาที่ด่าไม่ลืมหูลืมตา จึงไม่รู้ว่านางยังไม่ตาย หลินเยว่จำต้องลืมตาขึ้นมามองอย่างเสียไม่ได้ สิ่งแรกที่นางต้องตกตะลึง ไม่ใช่ใบหน้าของเจ้าบ่าว แต่เป็นสภาพห้องที่เล็กเสียอยู่กันสองคนแทบจะขยับตัวไม่ได้ ผนังห้องที่เก่าจนขึ้นสีดำ หรือจะเป็นราดำ นางก็ไม่แน่ใจ ถึงแม้ห้องจะมีสภาพไม่น่ามอง อย่างน้อยผ้าห่มที่นางห่มอยู่ก็ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นหืนอย่างที่คิดไว้ จางเลี่ยงรุ่ย สังเกตอาการของนางอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนนางจะรังเกียจสภาพความเป็นอยู่ของเขาไม่น้อย เพียงแต่นางไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้น “ไป ลุก ไปกราบไหว้ฟ้าดิน” เขาต้องบังคับให้นางไปเข้าพิธีให้ได้ อย่างน้อยชาวบ้านจะไม่ต้องมองว่าเขาเป็นตัวซวยอีก “ฉัน เอ่อ ข้าลุกไม่ไหว” หลินเยว่นางลุกไม่ขึ้นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะยาที่ถูกนางเจินซื่อวางไว้ยังยังมีอาการเช่นนี้ “มา ข้าจะช่วยประคอง” ถึงต้องแบกนางออกไปเขาก็ต้องทำ จางเลี่ยงรุ่ยประคองหลินเยว่ออกจากห้อง ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านรวมทั้งคนตระกูลจางที่มองมาทางนาง ราวกับว่าพวกเขาเห็นผี “นะ นาง ตายแล้วไม่ใช่รึ” ชาวบ้านชี้มือมาที่หลินเยว่ พร้อมกับเดินถอยออกไปไกล “ตายบ้าอะไร แหกตาดูเงาที่พื้น เห็นหรือไม่” หลินเยว่ถลึงตามองพวกเขาอย่างไม่พอใจ นางเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาแท้ๆ จะให้นางตายอีกแล้วหรือ จางเลี่ยงรุ่ยมองนางอย่างอึ้งๆ เขาไม่คิดว่าคุณหนูเช่นนางจะปากร้ายเช่นนี้ ยิ่งเห็นใบหน้างามมีโทสะเขาก็รู้สึกขบขันอยู่ไม่น้อย “ท่านหัวเราะอะไร” หลินเยว่หันไปพาลใส่จางเลี่ยงรุ่ย จนเขาต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยกลัวจะหลุดหัวเราะออกมา นางฮั่วซื่อก็ดูจะอึ้งไม่น้อยที่เห็นหลินเยว่ลุกขึ้นมาจากเตียงได้ นางคิดว่าหลินเยว่จะตายไปแล้วเสียอีก หลินเยว่ถูกจางเลี่ยงรุ่ยประคองไปนั่งคุกเข่าที่กลางลานเรือน เพื่อทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน เพราะไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้พวกเขา แม้แต่แม่สื่อที่ต้องจัดการเรื่องทำพิธีให้ สุดท้ายจึงเป็นหัวหน้าหมู่บ้านจิ่ว ที่เห็นใจจางเลี่ยงรุ่ยจึงได้เดินเข้ามาทำพิธีให้ทั้งสอง ตอนที่ต้องกราบไว้บิดามารดาของจางเลี่ยงรุ่ย หลิวเยว่เห็นป้ายวิญญาณที่ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า นางถึงได้รู้ว่าบิดามารดาของเลี่ยงรุ่ยเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อทำพิธีเสร็จสิ้นลง เลี่ยงรุ่ยประคองหลินเยว่นางกลับเข้าไปอยู่ในห้องหอ มาถึงตอนนี้แม่สื่อก็ได้สติแล้วนางจึงเดินเข้ามาทำพิธีต่อให้ เลี่ยงรุ่ยรับกรรไกรจากแม่สื่อเพื่อมาตัดผมของเขาและของหลินเยว่ผูกเข้าด้วยกัน “ต้องตัดด้วยรึ” นางยื่นหน้าไปกระซิบถามเขา “หากเจ้าไม่ตัด พิธีจะเสร็จสิ้นได้อย่างไร” เขามองนางอย่างแปลกใจ เหมือนนางไม่เคยเห็นพิธีแต่งงานมาก่อนเลย หลินเยว่เม้มปากแน่น นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในยุคโบราณเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องตัดผมเพื่อทำพิธีผูกผม แต่นางไม่ได้คิดอยากจะใช้ชีวิตกับจางเลี่ยงรุ่ยเช่นสามีภรรยา แต่นางก็ขัดขืนไม่ได้ เมื่อจางเลี่ยงรุ่ยดึงปอยผมของนางออกแล้วตัดทันที โดยไม่ได้เอ่ยถามนางเมื่อเสร็จพิธีด้านใน แม่สื่อก็ออกไปจากห้อง “ประเดี๋ยวก่อน” นางรั้งตัวเขาไว้ เมื่อเขาจะเดินออกไปด้านนอก “มีอันใด” “ขะ ข้าหิว” นางลูบท้องของนางอย่างอายๆ ไม่รู้เจ้าของร่างเดิมได้กินอะไรก่อนหน้านี้หรือไม่ ทำไมนางถึงได้หิวมากเช่นนี้ “ข้าจะไปยกอาหารมาให้” “ขอบคุณท่านมาก” นางยิ้มออกมาอย่างยินดี พออยู่คนเดียวนางก็เริ่มตรวจดูข้าวของที่ติดตัวมาด้วยของเกาหลินเยว่ เมื่อเห็นว่ามีเพียงหีบใส่เสื้อผ้าเพียงใบเดียวและเงินอีกยี่สิบตำลึงเงินก็กลอกตามองบนทันที “หึ เป็นถึงคหบดีใหญ่ แต่งบุตรสาวให้เงินมาแค่เนี่ย” หลินเยว่โยนเงินกลับไปที่เดิม นางจะไม่รู้ค่าเงินในยุคโบราณได้อย่างไร นางอ่านนิยายที่เกี่ยวกับทะลุมิติมาไม่น้อย เงินยี่สิบตำลึงจะไปตั้งตัวได้อย่างไร จางเลี่ยงรุ่ยยกอาหารเข้ามาด้านในห้องให้หลินเยว่นางได้กิน แต่เมื่อนางได้เห็นสำรับอาหาร ความยากทั้งหมดก็หายไปจนสิ้น “เจ้ากินรองท้องไปก่อนเถิด” เขาเห็นสีหน้าของนางที่หม่นหมองลง จึงได้เอ่ยออกมาอย่างเห็นใจ นางคงไม่เคยกินอาหารเช่นนี้มาก่อนอย่างแน่นอน หลินเยว่นางจะเคยกินได้อย่างไร ข้าวต้มที่แทบจะไม่เห็นเมล็ดข้าวอยู่ในชาว ไหนจะผัดผักที่ไม่มีน้ำมัน หน้าตาก็ดูแทบไม่ชวนให้กินเลยสักนิด สุดท้ายหลินเยว่ก็ต้องฝืนใจกินข้าวต้ม เรียกมันว่าน้ำข้าวดีกว่า ลงท้องไปจนหมด “นี่เป็นอาหารในงานแต่งแน่รึ” นางเงยหน้าขึ้นมาถามเขา จางเลี่ยงรุ่ยเม้มปากแน่น เขาจะบอกนางเช่นไรดี เขาอยู่ในเรือนนี่ก็ไม่ต่างจากแรงงานชั้นดี นางคงยังไม่รู้ตัวว่าต่อไปคงได้ทำงานหนักอย่างแน่นอน “เอาเถิด ไว้ข้าจะหาของกินที่ดีกว่านี้มาให้เจ้า” จางเลี่ยงรุ่ยยกชามข้าวที่ว่างเปล่าออกไปจากห้อง เขาต้องออกไปดูแลแขก ทั้งยังต้องอยู่ช่วยเก็บข้าวของในงาน อย่าคิดว่าเป็นงานแต่งของตนเอง แล้วจะไม่ต้องทำอะไร ถึงอย่างไรเขาก็ต้องทำทุกอย่างอยู่ดี หลินเยว่ นางค้นหาเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดที่หนาหลายชั้นออก นางขึ้นมานอนพักอยู่บนที่นอน พร้อมทั้งคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง นางจะทำเช่นไรดี นางไม่อยากอยู่ในเรือนที่มีนางฮั่วซื่อที่ปากร้าย ตามนิยายที่อ่านมา จางเลี่ยงรุ่ยจำต้องแยกบ้านหรือตัดขาดกับตระกูล เรื่องนี้เขาจะยอมทำเพื่อนางได้หรือไม่ หลินเยว่นอนคิดไปเรื่อยจนนางผล็อยหลับไปอีกครั้ง “นังหนู นังหนู ตื่นขึ้นมาคุยกับข้าสักประเดี๋ยวก่อนเถิด” “อื้ออ” หลินเยว่พลิกตัวหนีอย่างรำคาญ ที่ต้องถูกรบกวนระหว่างนอนหลับ “เอ่อ ถ้าเจ้าไม่ตื่นขอไปแล้วนะ” หลินเยว่ลืมตาขึ้นมาทันที นางลุกพรวดขึ้นมานั่งแล้วมองไปที่เสียงที่นางได้ยิน ชายชราหนวดเครายาว สวมชุดขาวราวกับนักพรต ยืนมองนางอยู่ที่ข้างเตียง ใกล้เสียจนใบหน้าของนางที่ลุกขึ้นมาโดยเร็วเมื่อครู่เกือบจะชนกับใบหน้าของเขา (ก็ห้องมันเล็กเสียขนาดนั้น) “ท่านเป็นคนหรือเป็นผี” นางเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม