ลี่ถิงเดินตรงไปยังห้องบรรทมรัชทายาทอย่างไม่รีรอ เมื่อทุกคนเห็นนางเดินเข้ามาก็หลบให้ แต่ก็ยังมีใครบางคนที่มองอย่างมิพอใจนัก นั่นคือฮองเฮาที่มิถูกชะตากับสตรีผู้นี้ตั้งแต่แรกเห็น อีกอย่างนางก็หวั่นเกรงคำทำนายที่อาจทำให้ราชวงศ์นี้วุ่นวายจนพาดพิงมาถึงตน
“สีหน้าดีขึ้นแล้วนะเพคะ” เสียงหวานเอ่ยกับผู้ที่นั่งพิงหัวเตียง หลงจื่อยิ้มบางๆ ส่งให้ มือเล็กจึงเอื้อมไปจับชีพจรให้เพื่อตรวจอาการ
“ชีพจรคงที่แล้ว ต่อไปดื่มสมุนไพรทุกวันก็จะหายเพคะ มิมีอันใดน่าเป็นห่วงแล้ว ขอเพียงมิถูกพิษอีกก็พอ”
“งั้นหรือ ขอบใจเจ้ามากนะลี่ถิง” ฮ่องเต้กล่าว ลี่ถิงยิ้มบางๆ ก่อนจะลุกออกมายืนข้างพี่สาว พร้อมกับท่าทีออดอ้อนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ
“อยากได้อะไรฮึ” สนมหลิวเอ่ยถามเบาๆ
“น้องอยากกลับขึ้นเขาแล้วเพคะ” ลี่ถิงเอ่ยออกมาราวกระซิบ แต่มันก็ทำให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ยินอยู่ดี
“มิได้! ต้องอยู่จนกว่าหลงจื่อจะหายดีกว่านี้” ซือหรานเอ่ยเสียงแข็งใส่ ทำเอาคนตัวเล็กมองค้อนอีกครั้ง
“หึ! ไร้มารยาท ถึงเจ้าจะรักษารัชทายาทจนหายดี แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่เหนือผู้อื่น จนทำกิริยาต่ำเช่นนี้ในวังได้นะ หากมิสั่งสอนให้หราบจำเห็นทีผู้คนคงครหาว่าฝ่ายในไร้กฎระเบียบ ปล่อยให้สตรีต้องสาปหยามหมิ่นราชวงศ์ ทหาร! เอาตัวนางไปเฆี่ยนยี่สิบไม้” ฮองเฮาผู้หาโอกาสลงโทษลี่ถิงอยู่แล้วเอ่ยขึ้นในทันที
“ใครบังอาจแตะต้องตัวนางแม้แต่เส้นผมข้าจะตัดมือมันเสีย” ซือหรานเอ่ยขึ้นดังมิแพ้กัน นัยน์ตาคมจ้องมองสตรีที่อาวุโสกว่าอย่างเอาเรื่อง
“พอก่อน พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา ห้ามผู้ใดแตะต้องท่านหมอจางเด็ดขาด เจ้าก็อย่าถือกฎให้มากนักฮองเฮา ก็รู้อยู่ว่าลี่ถิงเติบโตมาจากหุบเขา นางอยู่กับบุรุษเสียส่วนมาก กิริยาย่อมต่างออกไปจากสตรีทั่วไปอยู่แล้ว เจ้าหมายจะให้นางถูกโบย ยี่สิบไม้มิมีทางรอดแน่ หากนางตายแล้วหลงจื่ออาการกำเริบ ถึงยามนั้นผู้ใดจะรักษา เจ้าทำเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าข้าคิดเช่นไร เจ้าอยากให้โอรสข้าตายสินะ”
“ปะ เปล่านะเพคะฝ่าบาท นางทำกิริยามิควรใส่ท่านอ๋อง ทุกคนต่างก็เห็น ไยถึงเอ่ยผิดให้เป็นถูกเช่นนี้”
“นางทำใส่ข้า ข้ายังมิเห็นขุ่นเคืองใจ ไยฮองเฮาจะต้องเก็บเอาไปใส่ใจด้วย ผู้ใดก็แตะนางมิได้ทั้งนั้น” ซือหรานยังคงเอ่ยคำพูดเช่นเดิม ก่อนจะจูงแขนเล็กเดินออกไป
“ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือเพคะ” นางเอ่ยถามในขณะที่เขาพาเดินมายังศาลากลางน้ำ ซึ่งเป็นมุมที่ลี่ถิงชอบมานั่งบ่อยๆ ยามที่เหนื่อยกับการรักษา
“ปกติข้ากับนางก็มิถูกกันอยู่แล้ว เอ่ยเพียงแค่นี้มิทำให้สิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปหรอก” ซือหรานเอ่ยขึ้นหากแต่มิได้หันมามองอีกฝ่ายเหมือนเช่นทุกครา ทำเอาใจดวงน้อยวูบไหวราวกับว่าบางอย่างขาดหายไป
“งั้นหรือ คิดว่าท่านทำเพื่อปกป้องข้าเสียอีก” เสียงตัดพ้อดังขึ้นเบาๆ แต่ก็พอให้อีกคนได้ยิน ซือหรานหันกลับมาในทันที แต่สายตามันกลับไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าคนตัวเล็กนี่สิ
และสิ่งที่มันมิเคยเกิดขึ้นมาก่อนก็คือ โลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากจมูกเขาโดยมิทันตั้งตัว ทำให้ต้องรีบหันหนีเกรงว่าลี่ถิงจะเห็นเข้า แต่นั่นกลับยิ่งทำให้นางเข้าใจผิด จนเดินหนีกลับเข้าห้องไปแล้ว
“ข้าปกป้องเจ้าเพียงนี้ยังดูมิออก อะ อีกหรือ ไยถึงไปมิบอกกล่าวกันบ้าง ปล่อยข้าพูดคนเดียวอยู่ได้” ซือหรานเอ่ยขึ้นหลังจากที่จัดการกับตนเองเรียบร้อยแล้วก็รีบหันมา หวังจะอธิบายให้นางเข้าใจ
“ไยถึงมาไหลเอาตอนนี้นะ ช่างมิดูเวลาเอาซะเลย ต้องโทษเจ้าลี่ถิง ตัวเล็กนิดเดียวเหตุใดถึง” เพียงแค่คิดของเหลวที่มีสีแดงสดก็ไหลออกมาอีก ซือหรานจึงจำต้องเงยหัวเอาไว้อย่างนั้นจนคนสนิทเดินเข้ามา ก่อนจะพยายามช่วยกันทำให้มันหยุด พร้อมกับคำถามมากมายตามา แต่คนอย่างซือหรานก็หาวิธีแก้ต่างให้ตนจนได้
“ข้าแช่น้ำร้อนนานเกินไป” เขาตอบเพียงเท่านั้น สององครักษ์ก็มิคิดจะถามต่ออีก เมื่อหายดีเขาก็กลับตำหนักของตนที่อยู่มิไกลนัก จนพลบค่ำคนสนิทก็เอ่ยขึ้น
"ท่านอ๋องมิไปที่ตำหนักรัชทายาทหรือพะยะค่ะ" หยางเหอเอ่ยถามเมื่อเห็นเขาไม่ได้มีท่าทีที่จะกลับไปตำหนักบูรพาอีก อ๋องซือหรานนั่งอ่านตำราโดยไม่พูดจากับผู้ใด แม้แต่องครักษ์เอ่ยถามก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยิน หากอันที่จริงแล้วกำลังนึกถึงสิ่งที่ตนทำลงไปอยู่ต่างหาก
"ข้าทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ไยต้องปกป้องนาง”
ห้าวเฉิงมองผู้เป็นนายก่อนจะหันไปกระซิบกับสหาย
"หยางเหอตั้งแต่กลับมาจากตำหนักรัชทายาท ท่านอ๋องก็ดูเหม่อลอยเช่นนี้ หรือในห้องอาบนํ้าจะเกิดอะไรขึ้น"
"นั่นสิ ปกติท่านอ๋องต้องรีบกลับไปดูแลรัชทายาท แต่นี้กลับมีท่าทีเฉยเมยไม่คิดจะไปที่นั่น หรือจะมีเรื่องผิดใจกับท่านหมอ" ทั้งคู่ซุบซิบกันอยู่นาน แต่ผู้เป็นนายก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเคย ก่อนจะลุกพรวดขึ้นจนองครักษ์ตกใจ
"ไปตำหนักบูรพา"
"พะ พะยะค่ะ" สององครักษ์ตอบพร้อมกัน ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายไป ซือหรานกลับมาอีกครั้ง ก็พบฮ่องเต้และสนมหลิวอยู่ภายในห้องของรัชทายาทแล้ว แต่กลับไร้เงาของหมอที่รักษาซึ่งควรจะอยู่ที่นี่ด้วย
"มาแล้วหรือคิดว่าเจ้าจะไม่มาแล้วเสียอีก" ผู้พี่เอ่ยขึ้น
"กระหม่อมเพียงแต่อยู่สะสางงานที่สำนักตรวจการ แล้วนี่ท่านหมอไปไหนเสียพะยะค่ะ" ซือหรานเอ่ยถามถึงคนที่ตนไม่เห็นหน้า แต่คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ต้องขบกราม พร้อมกับกำหมัดแน่น
"ฝ่าบาทเห็นว่าลี่ถิงเหนื่อยล้ากับการรักษาครั้งนี้ เลยตามสหายที่เคยดื่มกินมาอยู่เป็นเพื่อนที่จวนด้านหลัง ตอนนี้ก็คงจะดื่มกินอยู่กับสหายเหล่านั้นเพคะ" สนมหลิวเอ่ยขึ้นพร้อมกับสังเกตุสีหน้าของซือหรานไปด้วย ฮ่องเต้ก็จ้องมองท่าทีของอนุชาเช่นกัน
"เช่นนี้เองหรือพะยะค่ะ แล้วเหตุใดเฝ่าบาทถึงมิพระราชทานให้กระหม่อมบ้างล่ะพะยะค่ะ"
"ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะอยากได้ เช่นนั้นข้าจะสั่งให้กงกงจัดหาให้เจ้าและคนของเจ้าก็แล้วกัน"
"อย่าลำบากเลยพะยะค่ะ กระหม่อมไปร่วมวงกับท่านหมอน่าจะสนุกกว่า หากจะทรงพระกรุณาก็จัดส่งไปที่นั้นแล้วกันพะย่ะค่ะ"ซือหรานเอ่ยพร้อมกับยิ้มร้ายออกมา ก่อนจะคำนับอีกฝ่ายแล้วเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง เมื่อซือหรานออกจากห้องไปแล้วฮ่องเต้ก็เอ่ยขึ้น
"เจ้าแน่ใจหรือว่าซือหรานมีใจให้ลี่ถิงจริงๆ"
"หม่อมฉันคิดว่าดูไม่ผิดนะเพคะ ท่านอ๋องห่วงใยนางถึงเพียงนี้ ถึงขนาดนั่งกอดในบ่อน้ำไม่ไปไหน ทั้งที่มันร้อนจนขึ้นไอเนื้อตัวก็แดงก่ำ ทำเช่นนี้ไปทำไมเพคะ"
"หึ! ก่อนนี้ให้อภิเษกเท่าไหร่ก็มิยอม แต่กลับมีใจให้คนที่ตนมักเอ่ยถ้อยคำหยามหมิ่นได้"
"เช่นนี้ฝ่าบาทเห็นชอบหรือไม่เพคะ ลี่ถิงมิใช่สตรีทั่วไปนางยังต้องคำสาปจากคำทำนาย จนแม้แต่ท่านพ่อก็มิยินดีต้อนรับลี่ถิง หม่อมฉันสงสารน้องเพคะ หากต้องถูกผู้คนครหาและขัดขวางมิให้ได้ครองคู่กับบุรุษที่ดีอีก นางคงมิอยากอยู่บนแผ่นดินนี้อีกแล้ว"
เพราะอดสงสารผู้เป็นน้องสาวที่มีชะตาอาภัพมิได้ สนมหลิวจึงเอ่ยทั้งน้ำตา แต่หารู้ไม่ว่าลี่ถิงมิเคยน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด นางกลับดีใจที่ถูกทอดทิ้งจนได้ชีวิตอิสระ
มิเช่นนั้นผู้ที่อยู่ในร่างนี้คงลำบากในการใช้ชีวิตมากเป็นแน่ แม้ก่อนนั้นในยามเด็กที่ยังมีเปลี่ยนเป็นตงลี่ ลี่ถิงตัวจริงจะน้อยเนื้อต่ำใจก็เถอะ แต่เด็กน้อยก็เลือกที่จะตายไปแล้วให้ผู้อื่นครองร่างแทน และใช้ชีวิตได้ดีกว่านางเป็นร้อยพันเท่า เพราะมิเคยมีผู้ใดรังแกได้ ยกเว้นอ๋องซือหราน
"หากราชวงศ์นี้มิมีองค์ชายข้าก็อาจจะไม่ยินดี และหากเป็นหลงจื่อข้าก็คงจะยอมมิได้ แต่นี่ซือหรานเป็นเพียงอนุชาข้า หากจะรับชายาที่มีแค่คำบอกเล่า ว่านางจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายแตกแยก เรื่องเช่นนี้สำหรับข้าหาได้ใหญ่โตไม่ เว้นเสียแต่น้องสาวเจ้าหรือซือหรานมิได้คิดไปไกลถึงเพียงนั้น เอาไว้ให้ทั้งคู่ตกลงกันก่อนเถอะ"
“พระองค์มิจำเป็นต้องห่วงอะไรแล้วนะเพคะ รัชทายาทก็มพระนัดดาให้ตั้งสองพระองค์ มิต้องห่วงเรื่องราชวงศ์ที่จะมิมีผู้สืบต่อแล้ว” สนมหลิวเอ่ยปลอบพระสวามีที่ห่วงกังวลเกี่ยวกับราชวงค์ทุกครายามมีคนล้มป่วย
"นั่นสินะ ตอนนี้ข้ามีหลานมากมายจนแทบจำชื่อไม่ได้แล้ว ปล่อยซือหรานไปสักคนก็คงมิทำให้เกิดปัญหาใหญ่กระมัง แต่น้องสาวของเจ้าจะยอมหรือไม่นี่สิ"
ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น แม้จะไม่มั่นใจว่าลี่ถิงจะยินดีเป็นชายาของอนุชาตนหรือไม่ เพราะปากดีใส่อีกฝ่ายบ่อยครั้ง จนเกรงว่านางอาจจะมิให้อภัยในคำพูดที่ซือหรานเคยเอ่ย
ยามนี้หลงจื่อนอนฟังทั้งคู่เอ่ยถึงคนตัวเล็กเงียบๆ เพราะเขารู้สึกตัวนานแล้ว แต่เลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรเพราะอยากฟังเรื่องราวของคนที่รักษาตน แต่พอได้ยินบิดาเอ่ยเช่นนี้ก็รู้สึกเศร้าลงทันที เพราะอันที่จริงแล้วสาเหตุที่ถูกพิษในครั้งนี้ ก็เพราะอ้างเรื่องเที่ยวงานโคมไฟ
แต่อันที่จริงแล้วคืออยากพบหน้าลี่ถิงต่างหาก ก่อนนี้รัชทายาทมักแอบหนีออกจากวังอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่พบลี่ถิงที่หอสุรา จากนั้นมาก็ออกจากตำหนักไปแอบดูลี่ถิงประจำ ซึ่งนางมักไปหาความสำราญที่นั้นเสมอ
"เสด็จพ่อ" หลงจื่อเอ่ยเรียกบิดาแผ่วเบา เพราะเขาต้องการเอ่ยในสิ่งที่เคยคิดมาก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินเสียงฮ่องเต้รีบเดินเข้ามาหาทันที
"เจ้าตื่นแล้วหรือ สีหน้าเจ้าดีขึ้นมากพ่อดีใจจริงๆ"
"กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขอ"
"เจ้ามีอะไรก็ว่ามา สิ่งใดที่ไม่ลำบากเกินไปพ่อจะหาให้เจ้า" ฮ่องเต้เอ่ยกับโอรสของตนทันที
"สิ่งนี้มิลำบากเลยสักนิดพะยะค่ะ หากเสด็จพ่อเมตตาลูก" หลงจื่อเอ่ยกับบิดา ฮ่องเต้หันมองหน้าสนมหลิวเมื่อได้ฟังสิ่งที่โอรสขอ ให้อยู่ต่อเพื่อฟังเรื่องที่ตนขอ หลงจื่อเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา พร้อมกับดูสีหน้าของบิดาและพระสนม
ส่วนอ๋องซือหรานนั้นตรงมายังจวนด้านหลังของตำหนักบูรพา เสียงหัวเราะของสตรีตัวน้อยที่กำลังสนุกสนานกับกลุ่มสหายบนพื้นซึ่งปูด้วยพรมนุ่ม พอเห็นเช่นนั้นอ๋องซือหรานก็ขบกรามแน่น