ลี่ถิงรู้ดีว่ามีคนจ้องมองตนอยู่ จึงเกิดความคิดที่จะใช้โอกาสนี้ออกห่างจากอ๋องผู้นี้ นางพลิกตนเองขึ้นไปนั่งคร่อมสหายก่อนจะตั้งท่าดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบ แต่ยังมิทันที่ปากจะแตะถึงกัน ร่างเล็กก็ลอยขึ้นเสียก่อน
"ว๊าย อ่ะ!ท่านอ๋อง" ลี่ถิงร้องเสียงหลงเมื่อถูกซือหรานรั้งเอวขึ้นมาด้วยแขนเดียว ทำเอากลุ่มบุรุษที่ถูกเรียกมา ต่างก็พากันหมอบลงทันที ลี่ถิงเองก็ตกใจมิน้อยเขาทำเช่นนี้ เพราะคิดว่าอ๋องหนุ่มน่าจะรังเกียจตนมากกว่าเดิม มิใช่แสดงท่าทางหึงหวงจนเก็บอาการมิอยู่อย่างที่เป็น
"ออกไปให้หมด! ห้ามเข้ามาอีกเด็ดขาด" ทุกคนต่างรนรานออกจากห้องไป เขาปล่อยร่างเล็กลงเมื่อเห็นว่าประตูถูกปิดลงแล้ว ลี่ถิงจึงหันไปรินสุราดื่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซือหรานนั่งลงข้างๆ คนที่ยังนั่งทำมิรู้มิชี้ ยิ้มร้ายผุดขึ้นก่อนจะดันอีกคนนอนราบลงบนพรมนุ่ม
"ท่านอ๋องจะ อื้ออ"
ซือหรานไม่ฟังอะไรอีกแล้ว ริมฝีปากหนาปิดลงที่ปากอิ่มทันที มือแกร่งรวบแขนเล็กขึ้นบนหัวเพื่อมิให้อีกฝ่ายต่อต้านได้ ลิ้นชื้นสอดเข้าในโพรงปากอุ่นคราแรกลี่ถิงก็ขัดขืน แต่มินานนางก็คล้อยตาม เพราะความต้องการในใจลึกๆ ที่มิอาจปฎิเสธได้
เมื่อเห็นอีกคนตอบรับ ซือหรานก็ปล่อยมือทันที เพื่อหันมาสัมผัสเนินเนื้อที่เขาเคยเห็นมันผ่านตา ความนุ่มหยุ่นที่บีบเค้นมันทำให้ซือหรานมิอาจหยุดได้
มิต่างจากร่างเล็กที่หลงลืมความคิดของตนไปแล้ว ยามนี้ทั้งคู่จึงมัวเมากับรสจูบที่เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลี่ถิงสอดมือเข้ากลุ่มผมคนตัวโตเพื่อรับายความรู้สึก ลิ้นของทั้งคู่ตวัดเกาะเกี่ยวกันไปมาจนเกิดเสียง มือไม้ต่างก็พากันอยู่ไม่สุข ยิ่งร่างแกร่งทาบทับเบียดกายใส่
ร่างกายของทั้งคู่มันก็ยิ่งโหยหากัน ซือหรานผละริมฝีปากหนาหันมาสัมผัสลงยังซอกคอหอมกรุ่น ซึ่งเริ่มผลิตกลิ่นเฉพาะตัวยามที่ถูกเล้าโลม ยิ่งเพิ่มความกำหนัดให้อ๋องหนุ่มมากขึ้น แต่จู่ๆ จอกเหล้าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ก็ตกลงมาเพราะแรงกระทบของทั้งคู่ ทำให้ลี่ถิงได้สติ จนใช้แรงที่มีดันอีกฝ่ายออกจากตัว
"ท่านอ๋อง อ๊าา พอเถอะเพคะ ปล่อยหม่อมฉันเถอะ" ซือหรานแหงนหน้าขึ้นมองอีกคน ทั้งคู่สบตากันนิ่งจนเป็นลี่ถิงที่เอ่ยขึ้นเอง
"เหตุใดท่านทำเช่นนี้ ท่านอ๋องเอ่ยกับหม่อมฉันเองว่า ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้กับสตรีเช่นข้า และหม่อมฉันมิใช่สิ่งของทดลองความใคร่ของผู้ใด ได้โปรดปล่อยหม่อมฉันเสีย และอย่ามาเข้าใกล้อีก" ลี่ถิงเอ่ยทั้งน้ำตา
"ข้ามิเคยคิดเช่นนั้นกับเจ้า" ซือหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด
"ท่านมิคิดแต่กระทำเลยใช่หรือไม่" ลี่ถิงดันเขาอีกครั้งก่อนลุกขึ้นยืนแล้วก้าวขาออกจากห้อง ซือหรานมองตามสตรีตัวน้อยที่เดินจากไปในใจก็คิดตามคำพูดของอีกคน
"เหตุใดข้าถึงทำเรื่องเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน" อ๋องหนุ่มนั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เหตุผลที่ทำให้ตนขาดสติถึงเพียงนี้ ทุกคราที่เหตุนางอยู่ใกล้ผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นบุรุษใด ตนมักจะควบคุมความคิดมิได้ ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งอยากแนบชิดและทำเรื่องที่มิควรให้เห็นเรื่อยๆ
"ท่านอ๋องเกิดอะไรขึ้นพะยะค่ะ" หยางเหอเอ่ยถามทันที เมื่อเห็นสภาพของผู้เป็นนายกับท่านั่งไร้ซึ่งวิญญาณ อ๋องซือหรานเงยหน้ามองคนสนิทที่นั่งคุกเข่าอยู่มิไกล
"ข้ามิชอบที่ลี่ถิงอยู่ใกล้ผู้ใดนอกจากข้า เช่นนี้แล้วเจ้าจะตอบข้าได้หรือไม่ว่าข้าเป็นอะไร" เพราะเกิดมาซือหรานก็มิเคยรู้สึกเช่นนี้กับสตรีใด เขาจึงมิเข้าใจความคิดและการกระทำของตนนัก อยากได้สิ่งใดก็เพียงแต่เอ่ยปาก
ด้วยฐานะที่มีและมิมีผู้ใดกล้าขัด โดยเฉพาะเป็นสตรีด้วยแล้ว ทุกนางล้วนแต่อยากเข้าหาเขา จนบางครามิต้องเอ่ยหาด้วยซ้ำ ก็พาตนเองเข้ามาถวายให้เขา
หยางเหอและห้าวเฉิงหันมองหน้ากัน ในใจก็คงคิดไม่ต่างกันว่านายตนนั้นมีใจให้กับสตรีตัวน้อยที่เดินออกไปแล้วเป็นแน่ จึงเอ่ยออกมาดั่งเสียงกระซิบ เพราะเกรงว่าคนด้านนอกจะได้ยินไปด้วย
"ท่านอ๋องหากที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่พระองค์คิด นั่นก็หมายถึงท่านอ๋องมีใจให้กับท่านหมอลี่ถิงแล้วพะยะค่ะ มิเช่นนั้นจะทรงเป็นเช่นนี้หรือ"
ทันทีที่คนของตนเอ่ยขึ้นซือหรานก็เงียบนิ่ง ในใจตีกันวุ่นวายสับสนจนมิอาจเอ่ยอะไรออกมา แต่พอคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะตนห่างหายจากเรื่องนี้มานาน จึงทำให้หมกมุ่นอยู่แต่กับสตรีตัวน้อยที่วนเวียนในชีวิตเขายามนี้
"กระหม่อมกลับคิดว่าเป็นเพราะพระองค์ห่างหายจากสตรีมานานเลยทำให้สับสน หากท่านอ๋องอยู่ห่างจากนางแล้วมิคิดถึงหรือกระวนกระวายก็แสดงว่าเป็นอย่างที่กระหม่อมเอ่ยพะย่ะค่ะ” หยางเหอเอ่ยแนะผู้เป็นนาย ที่ดูเหมือนจะคิดหนักกับสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่
“ข้าต้องอยู่ห่างจากลี่ถิงให้มากกว่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าข้ามิได้รู้สึกอย่างที่เจ้าเอ่ยงั้นหรือ อืมข้าจะลองดู นางอาจจะเป็นเพียงแค่สตรีที่แปลกสำหรับข้า อีกอย่างพึ่งพบกันได้เพียงแค่เจ็ดวัน ข้าจะมีใจให้สตรีง่ายเพียงนี้ได้อย่างไร" อ๋องซือหรานเอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินออกไป
องครักษ์ทั้งสองต่างก็ส่ายหัวแล้วเดินตาม เพราะมิรู้ว่าผู้เป็นนายจะทำได้อย่างที่เอ่ยหรือไม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมามันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านอ๋องมิเคยอยู่ห่างนางได้เลย
"เจ้ารอดูเถอะว่าท่านอ๋องจะทนได้นานแค่ไหน"
"นั่นสิ มีใจแล้วเหตุใดถึงไม่ยอมรับ" หยางเหอเอ่ยขึ้นแม้คราแรกจะเอ่ยไปเช่นนั้น แต่เขาก็ทำเพื่อกระตุ้นผู้เป็นนาย แต่มิคิดว่าจะเข้าใจเป็นอย่างอื่น จนคิดจะออกห่างจากลี่ถิง แต่ก็นั่นแหละซือหรานมิเคยใส่ใจสตรีมาก่อน เพราะก่อนนี้มัวแต่รบทัพจับศึก
พึ่งจะกลับมาอยู่แบบถาวรก็เพียงหนึ่งปีเท่านั้น แม้ฮ่องเต้จะพระราชทานสมรสให้กับสตรีสูงศักดิ์ต่างแคว้น หรือบุตรสาวขุนนางที่งดงามมิแพ้ลี่ถิง เขาก็ปฎิเสธทุกครา จนฮ่องเต้เบื่อหน่ายที่จะโน้มน้าวเขาแล้ว
นี่จึงเป็นสาเหตุให้ซือหรานมิเคยรู้จักความรัก และมิเข้าใจความรู้สึกตนเอง แม้อายุจะล่วงเลยผ่านวัยออกเรือนมามากแล้ว แต่เพราะเป็นบุรุษจึงมิผิดแปลกอันใด อีกทั้งยังสามารถมีสตรีอุ่นเตียงคอยปรนนิบัติมิขาด
เมื่อมาถึงห้องบรรทมของรัชทายาทก็เห็นว่าท่านหมอกำลังป้อนยาผู้ที่อยู่บนเตียง ทันทีที่เห็นเช่นนั้นซือหรานก็มีท่าทีหงุดหงิด ต่างจากหลงจื่อที่ผุดรอยยิ้มขึ้นมา และถ้อยคำอ่อนโยนที่เขามักเอ่ยกับคนตัวเล็กเสมอ
"ขอบใจเจ้าที่ดูแลข้าเป็นอย่างดี"
"เป็นหน้าที่หม่อมฉันเพคะ" ลี่ถิงเอ่ยเสียงเรียบ นางรู้ดีว่าคนตรงหน้ารู้สึกเช่นไร ก็คนที่อยู่ในร่างนี้โชกโชนเรื่องความคิดคนเป็นอย่างมาก ตงลี่พบเจอคนหลากหลายเพราะหน้าที่การงาน จึงไม่แปลกที่เขาจะเข้าใจสายตาและคำพูดของอีกฝ่าย ต่างจากใครบางคนที่บางคราทำดี บางคราก็ร้ายใส่ เลยทำให้นางมิแน่ใจว่าคนผู้นี้คิดเช่นไรกันแน่
ลี่ถิงส่งยิ้มบางๆ ให้คนที่นั่งพิงหัวเตียง ทำเอาซือหรานรีบเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ หลงจื่อมองตามผู้เป็นอามีเพียงแค่รอยยิ้มบางๆ เท่านั้นที่เกิดขึ้น แม้จะเคารพอ๋องซือหรานเพียงใด แต่หากสตรีตัวน้อยนี้มีใจต่อเขา หลงจื่อก็พร้อมที่จะเห็นแก่ตัวแย่งชิงมาเช่นกัน
ลี่ถิงมองคนที่ตนกำลังป้อนยาอยู่ ก็พอจะเดาออกว่าเขาคิดเช่นไรแต่ก็มิใส่ใจอยู่แล้ว หลังจากที่รัชทายาทผู้นี้ดีขึ้น นางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่นี้อีก
"เห็นว่าเสด็จพ่อเรียกสหายเจ้ามาเพื่อร่วมดื่มกิน เป็นอย่างไรบ้างล่ะ เหตุใดจึงกลับมาเร็วถึงเพียงนี้"
"แค่เพียงแต่ดื่มกินเล็กน้อยเพคะ หม่อมฉันยังมีเวลาอีกมากที่จะทำเรื่องราวต่างๆ" นางตอบเขาเสียงเรียบ
"นั่นซินะ ข้านึกอิจฉาคนธรรมดาเช่นเจ้าที่อยากทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่แม้จะเป็นสตรี อยู่กับคนที่ตนพอใจได้โดยไม่มีผู้ใดขัดขวาง" หลงจื่อเอ่ยตัดพ้อขึ้นมาอย่างน่าสงสาร
ลี่ถิงนั่งฟังถ้อยคำของคนที่อยู่สูงกว่าผู้อื่น แต่กลับกลายเป็นผู้ที่ดูจะทุกข์มากกว่าใคร ยิ่งได้ฟังอีกคนเอ่ยเล่าเรื่องราวก็ยิ่งเห็นใจมากขึ้น
"เจ้ามองหน้าข้าเช่นนี้สงสารข้าเช่นนั้นหรือ"
"หม่อมฉันมิมีสิทธิ์คิดเช่นนั้นหรอกเพคะ”
"ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายเจ้ารู้สึกเช่นไรก็เอ่ยกับข้าได้" ลี่ถิงยิ้มบางออกมา ก่อนจะประคองอีกคนให้นอนลง แต่เพราะชายเสื้อถูกอีกคนดึงไว้ เลยทำให้เสียหลักล้มลงจนริมฝีปากเกือบจะประกบกัน
ลี่ถิงตาโตเพราะความตกใจ ดีที่นางไวพอที่จะใช้มือค้ำยันทัน เลยทำให้อยู่ในระดับที่ล่อแหลมมิส่งผลให้เกิดเรื่องขึ้น ซึ่งมันพอดีกับที่ซือหรานเดินกลับเข้ามาอีก
“เจ้าทำอะไรลี่ถิง! ไร้ยางอายที่สุด!” ถ้อยคำตำหนิและหยามหมิ่นดังขึ้น ครานี้คนตัวเล็กตกใจกว่าเมื่อครู่เสียอีก เพราะหลงจื่อดึงนางลงมาแนบริมฝีปากเมื่อเห็นว่าซือหรานเดินเข้ามา เขาตั้งใจให้เป็นเช่นนี้
"ขอพระราชทานอภัยเพคะ หม่อมฉันมิทันระวัง" ลี่ถิงเอ่ยแม้จะไม่ใช่ความผิดของตน แต่มันก็พลาดตั้งแต่นางมิทันระวังคราแรกแล้ว นั่นคือสิ่งที่ลี่ถิงคิด
เพราะไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดเป็นเพราะหลงจื่อตั้งใจทำ
"มิเป็นไร แต่มิคิดว่าริมฝีปากเจ้าจะนุ่มถึงเพียงนี้นะ" หลงจื่อเอ่ยก่อนจะผุดยิ้มออกมา ต่างจากคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับยืนกำหมัดแน่น ยามนี้ซือหรานต้องข่มความรู้สึกเอาไว้ เพราะเขาเห็นอยู่แล้วว่าหลานชายเป็นคนเริ่มก่อน แต่ปากที่ไวกว่าการกระทำมันก็เอ่ยออกไปก่อนแล้ว ยามนี้เลยได้แต่คิดเสียใจที่เอ่ยตำหนิคนตัวเล็กออกมา
"เจ้าไปพักเถอะ ข้าก็จะพักเช่นกัน" หลงจื่อเอ่ยบอกโดยมิใส่ใจผู้เป็นอาที่ยืนอยู่เลยสักนิด แม้ท่าทางนี้จะกดดันคนตัวเล็กอยู่ในทีก็เถอะ
“เพคะ” ร่างเล็กลุกขึ้นโดยมิกล้าสบตาซือหรานแม้แต่น้อย เพราะคำที่เขาก่นว่ามันยังติดอยู่ในใจมิลืม ซึ่งคนที่เอ่ยก็ดูเหมือนจะสำนึกผิดที่พลั้งปากเพราะอารมณ์
“เสด็จอามิเข้าสำนักตรวจการหรือพะย่ะค่ะ กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว พระองค์มิต้องมาทุกวันก็ได้”
“เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้” ซือหรานเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย เพราะคำพูดคำจาของหลานชายที่มีให้ลี่ถิงมันต่างออกไป เขามิเคยเห็นหลงจื่อเอ่ยดีกับสตรีเช่นนี้มาก่อน แม้แต่พระชายาที่พึ่งเสียไปเมื่อสามเดือนก่อน ถึงจะกลัวในคำตอบแต่ซือหรานก็อยากฟังมัน
“กระหม่อมชอบลี่ถิง และได้เอ่ยขอนางกับเสด็จพ่อแล้ว ซึ่งพระองค์ก็อนุญาตหากเรามีใจต่อกันพะย่ะค่ะ” ทุกอย่างเงียบลงราวกับว่ามิมีผู้ใดอยู่ในห้อง หลงจื่อ ยกยิ้มเมื่อเห็นท่าทีนิ่งไปของผู้เป็นอา