บทที่ 3 มั่นหน้า

1928 คำ
บทที่ 3 มั่นหน้า วันต่อมา.. “ว่าไงนะ! มีคนตีกัน!” ยิปโซ เพื่อนสนิทของอ้ายโพล่งเสียงดัง ขณะนั่งอยู่ในห้องเรียนจนนักศึกษาคนอื่นหันมอง “พูดเบา ๆ” อ้ายป้องปาก หลบสายตาอาจารย์ประจำวิชาสาวสวยที่ใครก็ว่าดุและเคี่ยว หากไม่ชอบขี้หน้านักศึกษาคนไหนถือว่าชะตาขาด “เออ ๆ มีคนตีกันแล้วยังไงต่อ ” “ก็เกือบถูกรุมกระทืบอ่ะดิ แต่ดีที่ตำรวจมาก่อนฉันเลยรอด” อ้ายนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วทำท่าขยาดจนยิปโซมองค้อน “เตือนแล้วไม่ฟังว่าอย่าไปทำ ถึงจะแค่ล้างจานก็เถอะ ยังไงก็ขึ้นชื่อว่าคลับมันอันตรายอยู่ดี” “ใครจะไปคิดว่ายืนล้างจานอยู่หลังร้าน จะมีคนวิ่งมาหาเรื่องได้” “เมื่อคืนเป็นวันกิจกรรม รุ่นพี่พาน้องรหัสไปเลี้ยงฉลองหลายมหาลัย คนเที่ยวกลางคืนเยอะเลยเกิดเหตุตีกัน เมื่อเช้าเห็นออกข่าวหลายช่องเลย” “ต่อไปจะไม่ทำแล้วล่ะ แค่วันเดียวก็เข็ด แต่ฉันก็ได้เจอพี่ไทป์นะยิป จะว่าไม่ดีเลยก็ไม่ได้” อ้ายขยับแว่นตาแล้วอมยิ้ม เมื่อนึกถึงเสื้อคลุมที่ซักตากไว้บ้านเช่า คิดว่าพรุ่งนี้จะเอาไปคืนด้วยตัวเอง ..ตื่นเต้นสุด ๆ พูดเลย.. “เหอะ..แสดงว่ายังไม่เคยอ่านข่าวพี่ไทป์ในเพจซุบซิบของมหาลัย บอกเลยว่าคนนี้คือตัวพ่อของคณะเภสัช ชอบคนสวยมาก และชอบหลีหญิงไปทั่ว เอาเป็นว่าใครสวยพี่แกฟาดหมด ปากหวาน กะล่อน เจ้าชู้ และก็..” "เบาได้เบายิป..มันเยอะไป" "ที่ฉันพูดยังน้อยไปด้วยซ้ำ" ยิปโซเบะปากก่อนถอนหายใจ ให้กับความรักที่อ้ายมีต่อผู้ชายอย่างไม่ลืมหูลืมตา เพราะเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมตอนปลาย ยิปโซจึงรู้ว่าอ้ายตกหลุมรักรุ่นพี่หนุ่ม ตั้งแต่เรียนอยู่เกรด10 (ม.4) ส่วนไทป์เรียนอยู่เกรด12 (ม.6) ช่วงนั้นครอบครัวของอ้ายถือว่าฐานะค่อนข้างดี เธอจึงสามารถเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติได้อย่างไม่ติดขัด จนกระทั่งเรียนเกรด11 พ่อของเธอก็เสียชีวิตเพราะโรคหัวใจ จากภาวะช็อกหมดสติเนื่องจากบริษัทถูกฟ้องล้มละลาย และมีหนี้สินหลายสิบล้าน อ้ายกับแม่จึงใช้ชีวิตอย่างขัดสนมาตั้งแต่ตอนนั้น เพราะต้องขายบ้านและทรัพย์สินทั้งหมดชดใช้หนี้ ที่เกิดจากการทำธุรกิจล้มเหลวของคนเป็นพ่อ อ้ายสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยซีได้นั้นก็เพราะได้ทุน และทางบ้านยิปโซช่วยสนับสนุนเงินส่วนหนึ่ง เพื่อให้หญิงสาวเรียนต่อในระดับปริญญาตรี อ้ายสู้ชีวิตพอควรหลังจากพ่อเสียชีวิต เธอรับทำงานพิเศษทุกอย่างหลังเลิกเรียน ไม่ว่าจะเป็นงานล้างจาน ล้างรถ หรือสอนพิเศษตามบ้าน เรียกได้ว่าทำงานตัวเป็นเกลียว เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระแม่ ที่ทำคุกกี้ขายส่งตามคาเฟ่มีรายได้แค่วันละไม่กี่ร้อยบาท “กับคนอื่นฉันไม่รู้ว่าพี่เขาเป็นยังไง แต่สำหรับฉันพี่เขาเป็นคนดีมีน้ำใจ” “จ้ะ..ตามนั้น พูดไม่ฟังก็เอาที่สบายใจแล้วกัน” “นักศึกษาตรงนั้นเงียบด้วยค่ะ แค่วันที่สองของการเรียนยังกล้าคุยในคลาส ถ้าไม่อยากฟังอาจารย์พูดก็เชิญออกไป!” เสียงอาจารย์โรสจอมโหดดังขัดบทสนทนา ทำให้สองสาวรีบปิดปากทำหน้าเจื่อน ถูกมองด้วยสายตาพิฆาตจากอาจารย์สาวแสนสวยแต่หน้าดุ จนได้รับฉายาว่า ‘สวยสังหารณ์’ “มึงกินน้องมะนาวคณะวิทย์แล้วเหรอไอ้ไทป์” เจคอปตักข้าวเข้าปากเป็นคำสุดท้าย ก่อนถามเพื่อนสนิทขณะนั่งอยู่โรงอาหารช่วงพักกลางวัน ส่วนกวินคนขยันก็หมกตัวอยู่ในห้องสมุดเช่นเคย “อืม..” “แค่นี้?” “อืม..” “ไม่คิดจะรีวิวหน่อยเหรอวะ” เจคอปเหล่มองท่าทีกวนบาทาของเพื่อนรัก ทำท่าจะยกเท้าจนไทป์ต้องขยับห่าง “ไม่มีรีวิวก็คือไม่เด็ดมึงก็น่าจะรู้ ว่าแต่มึงกับน้องรหัสคนสวยเป็นไงได้กันป่ะเมื่อคืน” ไทป์เบนเข็มถามเรื่องเจคอปแทน มือก็กดส่งแชทหาคนสำคัญด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “เมื่อวานไม่ได้ แต่วันนี้ไม่แน่ หึๆ” เจคอปยกยิ้มเมื่อนึกถึงใบบัว “ไอ้คนใจบาปมึงอย่าสตอว่ายังไม่ได้ กูว่าฟาดตั้งแต่น้องเรียนมัธยมแล้วมั้ง” “เสือกครับ!” “ถุย..ไปล่ะกูมีนัดสำคัญ” ไทป์ลุกยืนเต็มความสูง ก่อนพยักพเยินหน้าไปยังจานข้าวของตัวเอง เจคอปที่นั่งทำหน้าเซ็งก็ชูนิ้วกลางให้ แต่ก็ยอมเก็บจานไปส่งคืนร้าน จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายเพื่อไปทำเรื่องส่วนตัว ก่อนถึงชั่วโมงเรียนในคาบบ่าย “แกจะรีบเดินไปตามควายที่ไหนวะอ้าย ฉันเหนื่อยนะเว้ย” ยิปโซยืนหอบมองแผ่นหลังเพื่อนสนิท ที่ยืนสอดส่ายสายตามองหาควาย! เอ้ย..ไทป์ไม่ลดละ “ถ้าเหนื่อยแกก็นั่งพักตรงนั้น อื้ม..พี่ไทป์หายไปไหนก็ไม่รู้เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย” ร่างในชุดนักศึกษาตัวโคร่งหันซ้ายหันขวา พลางใช้นิ้วขยับแว่นสายตา “พี่เขาคงขับรถออกไปข้างนอกแล้วล่ะ พวกเรากลับคณะดีกว่า” “แต่ฉันอยากแอบดูพี่เขาก่อน เฮ้อ..เจอกันตั้งสองครั้งทำไมพี่ไทป์จำฉันไม่ได้ ตอนเดินผ่านก็ไม่ทักทายกันบ้างเลย” อ้ายหน้ามุ่ย นึกย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อนที่เดินสวนกับไทป์ในโรงอาหาร เธอส่งยิ้มให้ แต่เขากลับเมินและรีบเดินหนี ด้วยความที่อยากคุยอ้ายจึงวิ่งตามแต่ก็ไม่ทัน “ขอแนะนำอย่างแรกเลยนะอ้าย ถ้าอยากให้คนอย่างพี่ไทป์สนใจหรือจำได้ แกต้องเปลี่ยนการแต่งตัว สภาพนี้ชาติหน้าเขาก็ไม่ชายตาแลแกหรอก” ยิปโซแนะนำเป็นรอบที่ร้อย ตั้งแต่กลายเป็นที่ปรึกษาด้านหัวใจให้เพื่อนสนิทอย่างไม่เต็มใจ “ทำไมอ่ะ ฉันตอนนี้ไม่สวยเลยเหรอ?” อ้ายก้มมองตัวเองแล้วถามอย่างแปลกใจ “จะพูดยังไงดี” “พูดมาตรง ๆ เลย ฉันฟังได้” “แน่ใจว่าจะไม่โกรธ” “แน่ใจ” “สภาพแกถ้าบอกว่าอายุสี่สิบ ฉันว่ามีคนเชื่อ หน้าอ่ะแต่งบ้างอย่าปล่อยให้มันเยิ้ม ผมควรหวีรวมตึงไม่ใช่ปล่อยให้กระเซอะกระเซิง ปากก็ควรหาลิปบาล์มมาทา อย่าปล่อยให้แห้งกรัง..” “พะ..พอก่อน ฉันฟังไม่ไหว” อ้ายยกมือห้ามด้วยสีหน้าจืดเจื่อน จนยิปโซถอนหายใจ “นั่นไง..เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ฉันบอกให้ดูแลตัวเอง ความจริงแกเป็นคนหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณดี แต่ทำไมชอบทำตัวเป็นยัยเพิ้งก็ไม่รู้” “ฉันต้องประหยัด อะไรที่สิ้นเปลืองก็ไม่อยากซื้อมาใช้” “ฟังนะ..” ยิปโซเดินเข้ามาจับไหล่อ้ายดึงให้หันมาสบตา และก็ต้องถอนหายใจ เมื่อเห็นสภาพผิวหน้าของเพื่อนในระยะใกล้ บอกเลยว่าอย่างหลอน ยิ่งใส่แว่นก็ยิ่งพัง! “เรื่องประหยัดก็อีกเรื่อง เรื่องดูแลตัวเองก็อีกเรื่อง ถ้าแกไม่บ้าผู้ชายฉันคงปล่อย จะอยู่สภาพไหนก็เรื่องของแก แต่เพราะแกบ่นให้ฟังทุกวันว่าจะทำยังไงให้พี่ไทป์สนใจ ฉันเลยต้องพูดเรื่องนี้” “ผู้หญิงอย่างฉันไม่มีสิทธิ์ชอบคนอย่างพี่ไทป์สินะ” “อย่าดึงดราม่าฉันไม่ชอบ” “ก็แก..” “หยุดเถียงแล้วฟัง! บอกเลยถ้าแกไม่ดูแลตัวเองให้ดูดีกว่านี้ ต่อให้วิ่งตามเขาอีกสิบปี ยังไงเขาก็ไม่มีวันหันมอง จะบ้าผู้ชายก็ต้องมีสมอง ไม่ใช่หลับหูหลับตาเพ้อหาไปวัน ๆ มันไม่มีประโยชน์” “..........” “เริ่มแรกต้องซื้อครีมมาบำรุงผิวหน้า เปลี่ยนชุดนักศึกษาให้ตัวเล็กลง และก็ถอดแว่นหนาเตอะนี่ออกด้วย ดีที่แกรูปร่างเป็นเลิศ นมก็ใหญ่ สะโพกก็ผาย ขาก็เรียว ผิวในร่มผ้าสวย ก็เหลือแค่หนังหน้าที่ไม่ผ่าน” ยิปโซใส่เป็นชุดจนคนถูกวิจารณ์ก้มมองปลายเท้าตัวเองแล้วยิ้มแห้ง “เอ่อคือ..ทั้งหมดที่พูดมาฉันควรทำจริงดิ สภาพฉันตอนนี้ดูไม่ได้จริง ๆ ใช่มั้ย” “เฮ้อ..” ยิปโซทิ้งมือลงข้างลำตัว หมดหวังกับความไม่รู้ของเพื่อน อ้ายมองโลกในแง่ดี แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนหลงตัวเองได้ขนาดนี้ อ้ายขี้อายและไม่สุงสิงกับใคร แต่ก็ตามติดผู้ชายได้ตลอดถ้ามีโอกาส อ้ายเรียบร้อยไม่ค่อยพูด แต่ความบ้าผู้ชายคือเกินคนปกติไปมาก ความย้อนแย้งทั้งหมดนี้ ทำให้ยิปโซปวดหัววันละแปดร้อยรอบ “ฉันรู้ตัวว่าเป็นคนไม่สวยและไม่ชอบแต่งตัว แต่ไม่คิดว่าจะดูไม่ได้ จนถึงขั้นผู้ชายจะไม่ชายตาแล” ด้วยความที่อ้ายพอใจในหน้าตาของตัวเองมาตลอด จึงไม่คิดจะเสริมเติมแต่งอะไรลงไปให้วุ่นวาย เรียกง่ายๆ ว่ามั่นหน้าก็คงใช่ เพราะส่องกระจกทีไรเธอก็เห็นแต่คนน่ารักอยู่ในนั้น “ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะว่า..” ยิปโซสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจ้องตาอ้ายอย่างจริงจัง “ว่า..” “ถ้าหนังหน้าแย่ก็อย่าหวังว่าจะได้ผู้ชายอย่างพี่ไทป์มาครอบครอง” “เมื่อวานพ่อเรียกไปคุยเรื่องแต่งงานกับทางนั้นแล้วนะคะ” น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเสียใจของคนพูดดังขึ้น ในขณะนั่งอยู่บนรถยนต์คนหรูจอดนิ่งอยู่ในซอยเปลี่ยวใกล้มหาวิทยาลัย “นี่คือเรื่องสำคัญที่อยากคุย?” ใบหน้าของคนขับถึงจะเรียบเฉย แต่ใจกลับร้อนรุ่มด้วยความโกรธ “จะพูดแค่นี้ใช่มั้ยคะ ฉันจะได้ตอบตกลงให้ทางนั้นจัดการตามประเพณี” เพราะคนรักไม่แสดงความรู้สึก เธอจึงตัดสินใจพูดประชด และก็ได้ผลเมื่อเขาสบถคำหยาบเสียงดังลั่นด้วยความไม่พอใจ “แม่งเอ๊ย! ทำไมต้องเป็นแบบนี้ว่ะ” “ฉันรอมานานแต่ก็ไม่เคยได้ความชัดเจนจากคุณซักที ถ้าเรื่องของเราไปต่อไม่ได้ก็ควรต้องหยุด” ไม่มีความเจ็บปวดใด เทียบเท่ากับการต้องตัดใจจากคนรัก เพื่อไปสร้างครอบครัวกับคนอื่นที่พร้อมกว่า โรสได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้า “ผมชัดเจนกับคุณมาตลอด แต่คุณต่างหากที่ไม่อยากเปิดเผยความสัมพันธ์ของเรา” ขณะพูดสันกรามของชายหนุ่มขึ้นเป็นนูน พยายามสะกดความรู้สึกเกรี้ยวกราดและเสียใจเอาไว้ “อย่าเอาแต่โทษฉัน เพราะคุณเองก็ยังไม่ยอมหยุดที่ฉันคนเดียว จะมีประโยชน์อะไรหากเป็นได้แค่คนที่คุณรัก แต่ไม่เคยได้เป็นผู้หญิงคนเดียวของคุณ” “..........” คำพูดที่แสนขมขื่นของหญิงสาว ทำให้อีกฝ่ายเงียบงัน สายตาคมกริบมองออกนอกตัวรถด้วยความสิ้นหวัง มั่นใจว่าเธอคือผู้หญิงที่เขารัก แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่าง และข้อจำกัดระหว่างคนสองคน จึงทำให้ความสัมพันธ์ไม่อาจเปิดเผย และพัฒนาไปมากกว่าคนในความลับของกันและกัน ไม่เคยมีใครรู้และมันคงเป็นความลับ ระหว่างเขาและเธอตลอดไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม