ตอนที่ 2 เด็กเปรต
แอ๊ดดด...ประตูห้องถูกผลักเปิดออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับหัวดำๆ ของใครบางคนยื่นโผล่เข้ามาภายในห้อง ผมซึ่งรอจังหวะอยู่แล้วจึงเงื้อนาฬิกาในมือขึ้น ก่อนจะฟาดเปรี้ยงลงไปเต็มแรง ได้ยินเสียงมันร้องโอ๊ย แต่เวลาแบบนี้ใครจะสนล่ะเอาตัวรอดก่อน ผมเปิดประตูออก วิ่งตื้อไปตามทางเดินจนมาถึงบันได แล้วก้าวกระโดดตรงลงไปยังประตูหน้าบ้านทันที
“ไอ้เด็กเปรต” เสียงร้องตะโกนด่าผมไล่หลังมาจากชั้นบน
"มึงสิเปรตกูลูกเทวดาเว้ย"
ผมวิ่งตัวปลิวจนมาถึงตรงบริเวณประตูหน้าบ้าน และทันทีที่ผมเปิดมันออก ก็ปะทะเข้ากับร่างของใครบางคน ที่สูงใหญ่ความสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเป็นอย่างน้อย ไอ้คนตัวยักษ์มันขวางทางผมอยู่ แล้วมันก็ใช้แขนของมันคว้าผมไว้ ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์หน้าเป็นยังไง ผมไม่ได้สนใจเห็นแค่แวบๆ เพราะมัวแต่ดิ้นรนเอาตัวรอด
+++โฬม+++
“ย่าขอโทษด้วยนะโฬม ที่ครั้งนี้ย่าต้องเอาน้องแทนมาฝากไว้กับโฬม แต่ย่าคิดว่าเห็นจะมีแค่โฬมเท่านั้นล่ะ ที่ปราบพยศน้องแทนได้”
คุณหญิงเพ็ญนภา ญาติที่หากตามลำดับศักดิ์แล้ว ฟังดูก็ออกจะงงๆ เล็กน้อย เพราะความจริงคือไม่ได้เกี่ยวพันอะไรทางสายเลือดกับผมเลยสักนิด เพียงแค่คุณย่าแท้ๆ ของผมท่านเป็นเพื่อนสนิทกับคุณหญิงเพ็ญนภาและรักใคร่กันมาก เรียกพี่เรียกน้องกันตลอด จนพ่อแม่ของผมสอนให้ผมเรียกท่านว่าย่าตามไปด้วย
คุณย่าดูเหน็ดเหนื่อยมาก สายตาของท่านมองไปยังร่างของเด็กหนุ่ม ซึ่งยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาชั้นล่างของบ้านไม้หลังใหญ่ของผม ดวงตาทั้งสองหลับพริ้มไม่รู้เรื่องราวรอบกาย
ผมมองดูท่านอยู่เงียบๆ อย่างเห็นใจเพราะก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ความดื้อรั้นเอาแต่ใจ นิสัยเสียของหลานชายคนเล็กของท่านคนนี้มาไม่น้อยเลย ในแวดวงสังคมไฮโซถ้าลองได้เอ่ยชื่อคุณหนูแทนขึ้นมา เป็นอันเบ้หน้ากันทุกคน เพราะขึ้นชื่อเรื่องนิสัยแย่ๆ มากมายเล่าเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ไม่หมด
“ในเมื่อคุณย่าพามาขนาดนี้แล้ว เห็นทีถ้าผมจะปฎิเสธก็คงจะไม่ได้ละครับ”
ผมจ้องมองใบหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นนิ่ง ใบหน้าหวานยังคงนิ่งสนิท ก่อนที่ผมจะพยักหน้าให้ไอ้เต้ย ไอ้โอ๊ตคนสนิทของผมให้พวกมันช่วยกันแบกเอาร่างเด็กหนุ่มขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน
“ขอบใจมากนะโฬม” คุณย่าเอ่ยยิ้มๆ สายมองตามร่างของหลานชายสุดที่รัก ด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใยซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจน
“แต่ผมขอบอกคุณย่าเอาไว้ก่อนนะครับว่า ผมมีวิธีของผมและจะมาว่าผมใจร้ายกับน้องไม่ได้นะครับ” ผมเอ่ยขึ้นเพราะรู้ดีว่าการรับเอาน้องแทนมาดูแลไม่ใช่เรื่องง่าย และแน่นอนว่าเด็กคนนี้คงจะสร้างเรื่องปวดหัวให้ผมแน่นอน
“คุณแม่คะ มันจะดีจริงๆ หรือคะ” น้ำเสียงสั่นเครือของหญิงสาวใบหน้าสวยหวาน หากมองเพียงรูปลักษณ์ผิวพรรณภายนอก หลายคนคงคาดคะเนว่าหล่อนคงมีอายุไม่เกินสี่สิบ หากแต่แท้จริงแล้วคุณหญิงรุ่งทิวาอายุห้าสิบกว่าเข้าไปแล้ว
“ครั้งนี้ฉันคงต้องเอาจริงเอาจังกับพ่อแทนสักทีไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้ความ พวกเธอเองก็เถอะ เลิกตามใจลูกกันได้แล้ว ดูสิว่าเดี๋ยวนี้ตาแทนเป็นยังไง” หญิงสูงวัยเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเฉียบขาดแต่แววตานั้นอ่อนโยน มองนิ่งไปยังร่างของเด็กหนุ่มคนนั้น ที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ ซึ่งเวลานี้รายล้อมไปด้วยบุคคลหลายคน แต่ละคนก็มีสีหน้าวิตกกังวลไม่ต่างกัน
น้องแทน หรือ นายธันวา พิมานเวช เด็กหนุ่มหน้าตาดีลูกชายคนเล็กของตระกูล “พิมานเวช” ลูกชายและหลานชายคนเล็กหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งเปรียบได้ดั่งแก้วตาดวงใจของคนทั้งตระกูล แทนเกิดมาพร้อมกับความรักและความเอาอกเอาใจจนเกินความพอดี เด็กหนุ่มแทบจะไม่เคยรู้จักกับคำว่า “ไม่ได้” เลยสักครั้งไม่ว่าจะเรื่องใดๆ
“บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างที่คุณแม่บอก อย่าชักช้าเลยนะครับ ผมว่าเดี๋ยวตาแทนจะตื่นมาอาละวาดซะก่อน”
นายศักดิ์ชัย พิมานเวช ชายวัยหกสิบเศษแต่ยังดูหนุ่มมองไปยังร่างเด็กหนุ่มพร้อมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะของลูกชายเบาๆ ร่างของเด็กหนุ่มซึ่งหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยานอนหลับขนานแรง ซึ่งตนเองและภรรยาแอบผสมลงไปในแก้วน้ำผลไม้ให้ดื่มเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา
การส่งตัวลูกชายเพียงคนเดียว ที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจของทั้งเขาและภรรยาให้มาอยู่กับ “คนอื่น” ครั้งนี้ เพื่อต้องการจะปรับนิสัยความเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจของลูกชายคนเล็กของเขา เป็นความต้องการแบบภาคบังคับของผู้เป็นแม่
เมื่อนับวันดีกรีความเอาแต่ใจของ “น้องแทน” จะมากขึ้นทุกที จนหลายครั้งสร้างความเสียหายและปวดหัวให้กับทุกคนอย่างมาก เรียกว่าหากน้องแทนต้องการอะไร แค่ชี้นิ้วก็สามารถสั่งได้ทุกอย่าง อยากได้ต้องได้ อยากทำอะไรไม่มีใครกล้าขัด หรือถึงมีคนกล้าขัดใจ คนคนนั้นก็ต้องปวดหัวจนอกระเบิดหรือเส้นเลือดในสมองแทบแตก เพราะความร้ายกาจของลูกชายคนเล็กของเขา
จุดพลิกผันครั้งนี้คงเนื่องมาจากหลายวันก่อน ลูกชายของเขาได้ไปร่วมฉลองงานวันเกิดของเพื่อน ซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน และพ่อลูกชายตัวดีของเขาเกิดทำผ้าเช็ดหน้าหาย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาจึงสั่งให้ทางโรงแรมปิดบริการและยกเลิกงานกลางคัน และเรียกพนักงานทุกคนมารวมตัวกันเพื่อต้องการจะหาผ้าเช็ดหน้าเพียงแค่ผืนเดียว
ในงานวันนั้นเรียกได้ว่าวุ่นวายโกลาหลไปทั่ว แถมพ่อเจ้าประคุณยังอาละวาดไล่พนักงานโรงแรมออกถึงสามคน เพียงเพราะมีคนหนึ่งรินไวน์ให้ช้าเกินไป อีกคนหนึ่งโดนไล่ออกเพียงเพราะเดินเข้าไปบริการลูกค้าในงานท่านอื่นก่อนตัวเอง ส่วนอีกคนแค่เดินไปขวางทางของเด็กหนุ่มเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น แม้เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ “น้องแทน” ก็สามารถทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตและหาเรื่องให้ปวดหัวได้เสมอ
หลังจากคุณย่าและคนของตระกูล “พิมานเวช” ร่ำลาร่างซึ่งนอนหมดสติบนเตียงกันเรียบร้อยแล้ว ผมจึงได้มีเวลาพินิจดูไอ้เจ้าเด็กตัวปัญหาอย่างละเอียด ใบหน้าหวานละมุนหลับตาพริ้มหลับอย่างสบาย หากมองดูเพียงเวลาหลับเด็กคนนี้ไม่น่าจะดื้อรั้น และมีนิสัยน่าเอือมระอาดังที่ทุกคนเอ่ยเลย
ร่างของเด็กหนุ่มตัวเล็กบอบบางวิ่งตัวปลิวลงมาจากชั้นสองของบ้าน ดึงความสนใจให้ผมพุ่งตรงเข้าไปหา ก่อนจะใช้ท่อนแขนคว้าเอวของไอ้น้องแทนเอาไว้ ก่อนที่ร่างนั้นจะพุ่งออกไปพ้นตัวบ้าน
“ปล่อยกู”
เสียงใสๆ ตวาดลั่น พร้อมทั้งพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากวงแขนแข็งแรงของผม ซึ่งตอนนี้มันทำหน้าที่เป็นดั่งคีมเหล็กที่ล็อคเอวบางนั้นให้ดิ้นไปไหนไม่ได้ ผู้ชายอะไรวะเอวบางนิดเดียว
“ปล่อยกู”
เสียงตะโกนลั่น พร้อมทั้งอาการดิ้นรนพยายามหาทางหนีของคนในอ้อมแขน ทำให้ผมหงุดหงิด จะดิ้นอะไรนักหนาวะน่ารำคาญ ผมใช้มืออีกข้างที่คว้ารวบเอาข้อมือเล็กๆ ทั้งสองข้างของไอ้น้องแทนบีบแน่นอย่างลืมตัว
“โอ๊ย เจ็บนะ ปล่อยสิวะ ปล่อยกูนะ พวกมึงเป็นใครเนี่ย” ไอ้น้องแทนร้องโวยวาย พยายามดิ้นอย่างไม่ลดความพยายาม
“เลิกบ้าได้แล้ว” ผมตวาดเสียงดัง แล้วกระชากให้ไอ้น้องแทนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ความกลัวแล่นผ่านขึ้นมาทางแววตาตระหนกอย่างชัดเจน เออกลัวเป็นกับเขาเหมือนกันรึไอ้ตัวแสบ ดวงตากลมโตนั้นเงยหน้าขึ้นมามองผม ใบหน้าหวานละมุนริมฝีปากบางๆ นั่น อยู่ๆ ก็ทำเอาหัวใจผมสั่น
เมื่อคืนที่มองอยู่ก็ไม่ทันได้สังเกตเท่าไหร่ แต่พอตอนนี้ทำไมหัวใจผมสั่น....จะบ้าเหรอ อีแค่เด็กตัวเท่านี้กูจะมาใจสั่นกับมันทำไม ดูสิตัวก็เล็กนิดเดียว เรี่ยวแรงมันก็ไม่มี กอดทีรวบได้รอบเอวเลย ตัวก็นิ่มๆ กูสั่นทำไม หัวใจผม...มันเป็นอะไรนะ
“ปล่อยกูนะ” เด็กหนุ่มเจ้าของร่างบางเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเพราะความกลัว
“หึ” ผมส่งเสียงหัวเราะเบาๆ สะท้อนตอบกลับไปจ้องดวงตาคู่นั้นนิ่ง ก่อนที่คนตัวเล็กในอ้อมแขนจะเริ่มต้นดิ้นรนหาทางหลุดออกมาจากมือและอ้อมแขนของผมอีกครั้ง
“ไอ้เต้ย มึงปล่อยให้วิ่งลงมาได้ยังไง” ผมตวาดลูกน้องคนสนิท
ผมหันไปเอาเรื่องกับเต้ย ซึ่งมันกำลังเดินลงมาตามบันไดพร้อมกับเอามือกุมหัวเอาไว้ เวลานี้ใบหน้าของไอ้เต้ยอาบไปด้วยเลือดสีแดงครึ่งซีก ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองลงไปยังใบหน้าหวานของคนตัวเล็กกว่า แสบนักนะ “ไอ้น้องแทน”
“ขอโทษครับผมไม่ทันระวัง” ไอ้เต้ยตอบผมเสียงอ่อนใบหน้าของมันบ่งบอกชัดเจนว่าสำนึกผิด เลือดไหลเปรอะลงมาตามคอแล้วหยดลงบนเสื้อมันเป็นดวงๆ
“พวกมึงเป็นใคร ต้องการอะไรจากกู ปล่อยกูนะไม่อย่างนั้นกูจะไปแจ้งความ โทษฐานที่พวกมึงลักพาตัวกู” ไอ้น้องแทนยังไม่เลิกโวยวาย
“นี่ ฟังนะไอ้คุณน้องแทน ผมไม่สนว่าคุณจะเป็นลูกรัก หรือว่าหลานรักของคุณย่ามากแค่ไหนแต่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณต้องอยู่ในความดูแลของผมที่นี่” ผมบอกออกไป เพื่อต้องการให้อีกฝ่ายเข้าใจในสถานการณ์เวลานี้
“หมายความว่ายังไง...” ไอ้น้องแทนขมวดคิ้วเข้าหากัน หยุดดิ้นไปชั่วขณะคงเพราะยัง งงๆ กับคำบอกเล่านั้นอยู่
“คุณย่า เอาคุณมาฝากไว้ที่ผม เพราะฉะนั้นอย่าทำตัวมีปัญหา” ผมขยายความให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่ายขึ้น
“ไม่จริง คุณย่าจะเอากูมาฝากไว้ที่นี่ได้ยังไง อย่ามาโกหก พวกมึงมันพวกมิจฉาชีพใช่มั้ย อยากได้เงินเหรอ จะเอาเท่าไหร่บอกมาสิเดี๋ยวบอกพ่อกับแม่ให้ เอาโทรศัพท์มาเดี๋ยวจะโทรให้ที่บ้านเอาเงินมาให้” ไอ้น้องแทนยิ้มเยาะเบะปากใส่ผม มันน่าตบกบาลสักป้าบจริงๆ ไอ้เด็กเปรตนี่
“ได้...”
ผมตอบพร้อมกับแสยะยิ้มมุมปาก ก่อนจะคลายท่อนแขนออกจากเอวบางนั้น แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ จากนั้นกดโทรออก ผมถือโทรศัพท์ไว้ในมือให้คนตัวเล็กในอ้อมแขนได้เห็นชื่อที่เมมเอาไว้ขึ้นชื่อ “คุณย่า” และไม่ลืมที่จะกดเปิดลำโพงเพื่อให้เด็กหนุ่มพูดคุยได้ สัญญาณดังขึ้นเพียงสองครั้งก็มีคนรับสายในทันที
“โฬมเหรอลูก...” เสียงปลายสายรับอย่างรวดเร็ว
“คุณย่า...คุณย่าช่วยแทนด้วย” ไอ้น้องแทนร้องเสียงหลงเมื่อจำเสียงได้ว่านั่นคือเสียงของใคร ส่วนตัวก็ดิ้นไม่ยอมหยุด
“น้องแทน น้องแทนเหรอลูก” ปลายสายเสียงสั่นเครือ
“คุณย่ามีโจรมันลักพาตัวแทนมา คุณย่าช่วยด้วยมันจะเรียกค่าไถ่แทน คุณย่าช่วยแทนด้วย” เด็กหนุ่มร้องออกไปเสียงสั่น เต้นเร่าๆ เหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“น้องแทน ใจเย็นๆ นะลูก พี่เขาไม่ได้จับไปเรียกค่าไถ่นะลูกนะ น้องแทนอยู่กับพี่โฬมไปก่อนลูก แล้วเดี๋ยวย่าจะไปรับนะลูกนะ”
“อะไรนะครับคุณย่า ไม่จริงอ่ะ ทำไมเอาแทนมาทิ้งไว้ที่นี่ล่ะ แทนจะกลับบ้าน แทนจะคุยกับคุณพ่อคุณแม่ คุณย่าไม่เอานะแทนไม่อยู่กับมัน ไอ้สัดปล่อยกู ไอ้เหี้ยมึงปล่อยกูนะ คุณย่าเดี๋ยวก่อน คุณย่า” ไอ้น้องแทนดิ้นรนถีบแขนถีบขาวุ่นวายไปหมดจนไอ้เต้ยต้องเข้ามาช่วยจับ
“น้องแทนลูกใจเย็นๆ นะลูก ไม่มีอันตรายอะไรทั้งนั้น น้องแทนอยู่กับพี่เขาทำตัวดีๆ นะครับคนดีของย่า”
“ไม่เอา คุณย่าแทนจะกลับบ้าน แทนไม่อยู่กับมัน คุณย่ามารับแทนเดี๋ยวนี้นะ ปล่อยกูสิไอ้เหี้ย ไอ้สัด ไอ้ชาติหมา ปล่อยกู คุณย่ามารับแทนเดี๋ยวนี้นะ” เด็กหนุ่มเต้นเร่าๆ ดิ้นรนกระโดดไปมาไม่ยอมหยุด
“คุณย่าครับ เอาเป็นว่าทางนี้เดี๋ยวผมจัดการให้นะครับ คุณย่าไม่ต้องกังวลนะ
เท่านี้ก่อนนะครับคุณย่า” ผมรีบตัดสายทันที
“คุณย่า คุณย่าครับ”
ไอ้น้องแทนร้องตะโกนเรียกด้วยความสับสนไม่เข้าใจก่อนจะหันมาหาผมสายตาเกรี้ยวกราด ด้วยความโกรธและคว้าเอาโทรศัพท์ในมือของผมไป แล้วปาลงพื้นอย่างแรงจนมันแตกกระจายไปทั่วพื้น ผมก้มลงมองดูเศษซากโทรศัพท์ของผมที่แตกยับนั้นอย่างเหลืออด และความอดทนก็ขาดสะบั้นลงเช่นเดียวกัน
โครม หนึ่งวินาทีหลังจากโทรศัพท์เครื่องนั้นแยกร่าง ร่างของไอ้น้องแทนก็ถูกผมจับเหวี่ยงกระเด็นไปชนกับโต๊ะวางของภายในห้องรับแขก จนโต๊ะไม้สักนั้นล้มระเนระนาด ร่างบางล้มลงไปนอนกองกับพื้นสีหน้าตื่นตระหนก น้ำตาคลอเบ้าคงเพราะด้วยความเจ็บและความกลัว ความโกรธในหัวผมปะทุขึ้นจนแทบจะถึงขีดสุด ผมเดินตรงเข้าไปหาคนตัวเล็กที่นั่งตัวสั่นอยู่กับพื้นห้อง ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงข้างๆ พร้อมทั้งยื่นมือหนาเข้ามาบีบใบหน้าเรียวนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว
“ถ้ายังขืนทำลายข้าวของของผมไม่เลิกคุณได้เจ็บตัวแน่” ผมเอ่ยเสียงเฉียบขาด
ผมคว้าเอาคอเสื้อของคนตัวเล็กกว่า ลากติดมือขึ้นไปยังชั้นสองเหมือนเดิม โดยมีสายตาตื่นๆ ของไอ้เต้ยคนสนิทมองตามหลังไปอย่างหวาดๆ ไอ้เต้ยทำงานอยู่ใกล้ชิดกับผมมานานแต่ยังไม่มีใครเคยเห็นผมโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย เพราะว่ากันตามจริงน้อยมากที่จะมีใครสักคนทำให้ผมโกรธ และไม่มีใครกล้าทำให้ผมโกรธด้วย
“ไอ้เหี้ยเต้ย” ผมตวาดเรียกดังลั่นบ้าน
“ครับลูกพี่” ไอ้เต้ยรับคำอย่างหวาดๆ มือยังกดทับรอยแผลที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
“มึงไปเรียกไอ้โอ๊ตมาหากู แล้วตัวมึงเองก็ไปหาหมอทำแผลซะ เดี๋ยวจะมาตายห่าอยู่ในบ้านกูซะก่อน” ผมร้องสั่งมัน พร้อมทั้งเหวี่ยงเอาร่างบางๆ ของไอ้น้องแทนปลิวลงไปนอนตัวงอบนเตียงนอนหลังใหญ่
สภาพห้องนอนเวลานี้เหมือนมีระเบิดมาลงสักสิบลูก ข้าวของภายในห้องถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย ผ้าม่านถูกดึงลงมาขาดหลุดลุ่ย โต๊ะ เก้าอี้ล้มระเนระนาด เสื้อผ้า ซึ่งเป็นของเด็กหนุ่มคนนี้เอง ซึ่งทางบ้านของเขาแพ็คใส่กระเป๋าเดินทางมาให้อย่างดีเต็มสามกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ จนผมเองคิดว่ามันคงสามารถใส่ไปจนถึงปีหน้าก็ยังไม่ครบทุกชุด ทุกอย่างมันถูกรื้อกระจัดกระจายเกลื่อนห้องไปหมด
ข้าวของอย่างอื่นในห้องถูกขว้างปา ทุบทำลาย แตกหัก เสียหายจนไม่เหลือชิ้นดี โต๊ะเครื่องแป้งกระจกถูกทุบจนแตกละเอียด แจกันประดับ โคมไฟ เชิงเทียน ที่ทับกระดาษ ตุ๊กตาปั้น ถูกขว้างแตกพังเสียหายทั้งหมด
ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เพื่อระงับสติอารมณ์ที่เริ่มปะทุขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง “ไอ้เด็กนรก” นี่มันโตมายังไงนะ ไม่แปลกใจเลยทำไมมันถึงถูกส่งมาที่นี่ แล้วนี่ฟาร์มของผมกลายเป็นสถานดัดสันดานเด็กนรกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“เก็บทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นเจ็บตัวแน่” ผมตวาดเสียงดัง
“ไม่” เสียงใสๆ ตวาดกลับมาแทบจะทันทีเช่นเดียวกัน
“อยากจะลองดีนักใช่มั้ย”
ผมกระโจนเข้ามาหาร่างบาง ซึ่งดีดตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ก่อนจะถอยหนีไปยังสุดอีกด้านหนึ่งของเตียง คนตัวเล็กคว้าเอาหนังสือสองสามเล่ม ที่เจ้าตัวคงขว้างมันไปกองกับพื้นห้องขึ้นมา แล้วเริ่มต้นขว้างปาทุกอย่างใส่ผมอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง
“หยุดนะ” ผมร้องเสียงห้ามดังขึ้น พร้อมกับโถมเข้าใส่โดยเร็ว ไอ้น้องแทนเบี่ยงตัวหลบพยายามหาหนทางหนี
“ปล่อยนะไอ้เหี้ย ไอ้สัด ไอ้เลว ไอ้...”
เสียงก่นด่าดังลั่นไปทั่วบ้าน ก่อนจะหายไปเมื่อผมใช้มือหนาๆ นั้นคว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มแล้วเหวี่ยงร่างคนตัวเล็กเข้าไปกระแทกติดกับตู้เสื้อผ้าไม้หลังใหญ่ ใบหน้าหวานแสดงออกถึงความตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด ผิวขาวเนียนละเอียดเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อมือหนาของผมออกแรงบีบกดลงไปที่ลำคอของเด็กหนุ่มแรงๆ อย่างลืมตัว
“อย่าให้มันมากนัก ผมไม่ได้ใจดีเหมือนพ่อแม่คุณ หรือคุณย่าที่จะทนได้กับความงี่เง่าเอาแต่ใจของคุณ เก็บห้องนี้ให้เรียบร้อย ถ้าผมเข้ามาอีกทีมันยังไม่เรียบร้อยเราได้เจอดีแน่” ผมเอ่ยเสียงดุเข้ม
แค่ก แค่ก ไอ้น้องแทนไอออกมา น้ำตาหยดใสๆ ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองด้วยความตระหนก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันสั่นระริก อย่าคิดว่าน้ำตาไม่กี่หยดนี้จะทำให้ผมใจอ่อน ไอ้เด็กเวรนี่ต้องได้รับการดัดนิสัยกันบ้าง แรกเริ่มเดิมทีก็พอรับรู้มาว่านิสัยแย่ แต่ไม่คิดว่าจะแย่ขนาดนี้
“ลูกพี่ครับ”
เสียงห้าวๆ ของไอ้โอ๊ต ดังขึ้น จริงๆ มันคงเห็นหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่แค่ไอ้เด็กนั่นหรอกที่กลัว พวกมันก็คงกลัว ทำงานอยู่ที่นี่มาหลายปี ผมก็เพิ่งจะแสดงอารมณ์โกรธจริงๆ จังๆ ก็คราวนี้แหละ
“มึงลงไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาด แล้วก็ลงไปเอาข้าวมาให้มัน คอยเฝ้าหน้าห้องไว้ด้วย ถ้ามันหนีไปได้มึงตาย” ผมออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด
“กูไม่ทำ กูไม่กิน มึงอย่าคิดนะว่ากูจะกลัวมึง” เสียงใส สั่นๆ นั่นเอ่ยขึ้น ดวงตาที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตาตอบโต้กับผมอย่างเอาเรื่อง
“หึ...อยากลองดีนักก็เอาสิ” ผมยิ้มเยาะก่อนจะหันหลังเดินออกมาเพราะถ้าขืนอยู่ต่อมีหวังได้ฆ่ามันตายคามือแน่