ตอนที่ 1 คุณหนูอารมณ์ร้าย
ตอนที่ 1 คุณหนูอารมณ์ร้าย
+++แทน+++
อากาศเช้านี้ร้อนอบอ้าวจัง เตียงนอนก็ไม่คุ้นเคยมันแข็งๆ พิกล ผ้าห่มก็แปลกๆ ไม่หนานุ่ม ไม่หอมเหมือนเดิม กลิ่นก็ไม่คุ้นเคย แม่บ้านเปลี่ยนกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือว่าเปลี่ยนน้ำหอมปรับอากาศในห้องกันนะ ผมปรือตาขึ้นมาหลังจากเมื่อคืนผมเผลอหลับไปตอนไหนก็จำไม่ได้
แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาภายในห้องสลัวๆ ภาพต่างๆ เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นในสายตาผม มันช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ฝ้าเพดานในห้องนอนของผม มันไม่ใช่แบบนี้นี่นา ฝ้าห้องนอนของผมลายหลุยส์ขอบทองนะ
ทุกครั้งที่ผมลืมตาขึ้นมาจะมีลวดลายของฝ้าเพดานอันสวยงาม อ่อนช้อย หรูหรายิ้มต้อนรับผม แต่นี่มันเป็นเพดานไม้ขัดมันเลื่อมๆ สีน้ำตาลเข้มๆ ผ้าห่มใครวะ หยาบอย่างกับผ้าเช็ดตีน เตียงนอนนี่มันเตียงหรือไม้กระดานวะ แข็งขนาดนี้มึงเอาไปทำเขียงสับหมูในครัวเถอะ นี่มันที่ไหนวะ....
“ที่นี่ที่ไหน?”
ผมสะดุ้งสุดตัว แล้วลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนเตียงนอนทันที พลางกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่ห้องนอนของผม และไม่น่าจะเป็นห้องใดห้องหนึ่ง ภายในคฤหาสน์ของบ้านผมด้วยแน่นอน
เมื่อคืนนี้หลังจากทานมื้อเย็น อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากับคุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ และพี่สาวทั้งสองคนของผมเพื่อเป็นการปลอบใจที่ผมทำผ้าเช็ดหน้าหายเมื่อวานก่อน แล้วผมก็ขึ้นไปนอนที่ห้องเพราะรู้สึกง่วง แต่แล้วทำไมเช้านี้ พอตื่นมาผมถึงไม่ได้อยู่ที่ห้องของผมล่ะ
หรือว่า.....นี่เป็นการจับตัวผมเพื่อเรียกค่าไถ่
ต้องใช่แน่ๆ เพราะทั้งคุณย่า และคุณพ่อ คุณแม่นั้นรวยมาก แล้วก็รักผมมากๆ ด้วย มันต้องมีใครจับตัวผมมาเพื่อแลกกับเงินแน่ๆ โธ่ไอ้พวกโจรไม่มีมันสมอง
แต่จะว่าไป ถ้าเป็นการจับตัวมาแลกค่าไถ่ ไอ้โจรพวกนี้ก็นับว่ารสนิยมดีและไฮโซมากเลยนะ เพราะห้องนี้กว้างขวางมาก เตียงนอนหลังใหญ่ ถึงจะไม่นุ่มสบายเหมือนเตียงนอนที่บ้านผมก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่เตียงนอนราคาถูกๆ แน่นอน แถมเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายใน ก็ราคาแพงไม่เบา มันเป็นโจรมีเทสต์เรื่องการออกแบบและตกแต่งห้องเหมือนกันนะ แถมมันยังเก็บเสื้อผ้าของผมใส่กระเป๋าเดินทางมาให้ด้วย
ผมจำกระเป๋าเดินทางของผม ที่มักใช้เวลาไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ ได้ ผมเปิดมันออกสำรวจข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของผมด้านใน มันอยู่ครบครันจนเหมือนยกเอาตู้เสื้อผ้าผมมาไว้ที่นี่ด้วย คงหวังจะได้เงินก้อนใหญ่เลยสินะ
แต่ก็อย่างว่าล่ะนะเงินแค่ไม่กี่ล้าน สำหรับบ้านผมไม่ใช่ปัญหาเลย โดยเฉพาะถ้าหากแลกมากับความปลอดภัยของผม ที่เป็นเสมือนทุกอย่างของคนทั้งบ้าน ผมมั่นใจว่าคุณย่ายอมจ่ายหมด ขอแค่ให้ผมปลอดภัยดี
ผมเดินไปบิดลูกบิดประตู มันล็อคสนิทจากด้านนอก หน้าต่าง........หน้าต่างอะไรวะเปิดไม่ได้ ผมรวบดึงผ้าม่านสีเทาอ่อนๆ นั่นลงมาก่อนจะเหวี่ยงมันไปให้พ้นหูพ้นตา แล้วทุบหน้าต่างพยายามงัดแงะอยู่นาน ก่อนจะหันไปทั้งทุบ ทั้งถีบประตู เพื่อต้องการหาทางหนี
+++โฬม+++
โครม เพล้ง! เสียงข้าวของอะไรบางอย่างถูกขว้างปา กระทบนั่น กระแทกนี่ ดังโครมคราม เสียงมันดังลงมาจากชั้นสองของบ้านไม้แบบคลาสสิกหลังใหญ่ ดึงความสนใจของผู้คนซึ่งอยู่ด้านล่างให้หันไปมองเป็นตาเดียว
โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ถูกต่อขึ้นมาเป็นพิเศษความยาวสามเมตร รายล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์วัยหนุ่มกล้ามแน่นๆ นับหัวได้สิบคนถ้วน บนโต๊ะวางอาหารสำหรับมื้อเช้าไว้เบื้องหน้า ทุกคนหันหน้าไปทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกับแววตาอยากรู้อยากเห็น จะเว้นไปคนหนึ่ง ซึ่งยังคงนั่งยืดตัวตรงยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอย่างสบายๆ
“เอ่อ...ลูกพี่ครับ ข้างบนนั้น...” ไอ้เต้ยลูกสมุนคนสนิทของผมเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งชี้มือไปยังหน้าต่างห้องชั้นสองซึ่งเป็นห้องต้นเสียง เสียงข้าวของตกพื้นยังดังไม่ขาดเสียง
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พวกมึงไม่ต้องสนใจ แดกข้าวแล้วรีบไปทำงานกันได้แล้ว” ผมดุเสียงเข้มทำทีเป็นไม่สนใจ อันที่จริงก็พอจะทำใจเอาไว้บ้างแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อผมตกปากรับคำรับเลี้ยง “เด็ก” จากคุณย่าของผม
“โฬม” คือชื่อผม ผมเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน และเป็นเจ้าของฟาร์มเพาะพันธุ์ม้าขนาดใหญ่ ซึ่งติดอันดับฟาร์มมีชื่อเสียงเรื่องเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ม้าติดอันดับประเทศ ในฟาร์มของผมมีม้าพันธุ์ดีเกือบร้อยตัวและยังมีวัว แกะ แพะ ลาอีกจำนวนมาก
พื้นที่ฟาร์มแห่งนี้กินอาณาบริเวณหลายร้อยไร่ แบ่งเป็นโซนต่างๆ ชัดเจน ด้านหน้าเป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน ผสมผสานคาเฟ่ มีทั้งอาหารอเมริกันและอาหารไทย เบเกอร์รี่ แล้วยังมีผักออแกนิคสดๆ ขาย สำหรับบริการนักท่องเที่ยวแบบครบวงจร
พื้นที่ส่วนหนึ่งจัดตกแต่งให้นักท่องเที่ยวที่มาแวะรับประทานอาหารได้มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เท่ห์ๆ หลายมุม ในส่วนนั้นยังมีร้านขายพวกของขวัญ ของฝากหลากหลาย เสื้อยืด หมวก กระเป๋า พวงกุญแจ ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดต่างล้วนตีตราเป็นของเฉพาะฟาร์มแห่งนี้
ถัดมาอีกหน่อยเป็นพื้นที่โล่งกว้างเกือบสิบไร่ กั้นรั้วไม้สีขาว เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวได้ทดลองขี่ม้า ด้านข้างมีคอกม้าซึ่งด้านในมีม้าสำหรับโชว์ และให้บริการนักท่องเที่ยวมากถึงยี่สิบตัว หากมาเที่ยวที่นี่นอกจากจะได้ทดลองขี่ม้าแบบชั่วครั้งชั่วคราวแล้ว ที่นี่ยังรับสอนขี่ม้าให้กับคนที่สนใจอีกด้วย
สำหรับใครที่ต้องการท่องเที่ยวแบบสนุกสนานผจญภัยฟาร์มของผมก็มีบริการให้ขี่ม้าเที่ยวชมฟาร์มได้ ที่นี่จึงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ขาด และจะดูหนาตามากในช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดยาว เพราะถัดออกไปอีกโซนหนึ่งยังเป็นเป็นรีสอร์ทสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนกันได้ด้วย เรียกว่ามีครบครันจริงๆ
ส่วนบ้านพักหลังใหญ่นี้ถูกแยกออกมา และจัดเป็นส่วนตัว คือห้ามนักท่องเที่ยวผ่านเข้าออกโดยเด็ดขาด มันอยู่ลึกเข้ามาจนเกือบติดกับตีนเขา
ตัวบ้านเป็นไม้หลังใหญ่สไตล์ยุโรป ด้านหลังนั้นถัดไปไม่ไกลมากนักมีภูเขาลูกใหญ่เป็นฉากหลัง ด้านข้างตัวบ้านมีสระน้ำขนาดใหญ่กว้างยาวหลายสิบเมตร พื้นน้ำสีเขียวใสสะอาด ศาลาไม้หลังขนาดกลางปลูกไว้สำหรับให้คนไปนั่งเล่นได้ ริมสระน้ำมีต้นฉำฉาหรือจามจุรีขนาดมหึมา แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มติดๆ กันอยู่สองสามต้น ใต้ต้นไม้ผมจัดวางโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ไว้สำหรับใช้นั่งคุยและเป็นโต๊ะทานอาหารประจำของทุกคนที่นี่
เนื่องด้วยธุรกิจฟาร์มม้าของผมค่อนข้างใหญ่ จึงจำเป็นต้องมีผู้ช่วยที่มีความสามารถและไว้ใจได้ เข้ามาช่วยในการดูแลความเรียบร้อย ซึ่งผมเองโชคดีที่ได้เพื่อนสนิทและไว้ใจได้มาช่วยดูแลสองคน อ้อ...ลืมบอก ถึงผมจะเกิดและโตที่อเมริกาและหน้าฝรั่ง แต่ผมพูดไทยชัดมากนะจะบอกให้
“ธีร์” เพื่อนสนิทวัยเด็กของผมซึ่งเป็นทั้งเพื่อนเล่น และเพื่อนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ผมอยู่อเมริกา มันเป็นหุ้นส่วนในการทำธุรกิจด้วยกันหลายอย่าง ธีร์เป็นชายหนุ่มหน้าคมอย่างไทยๆ เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาบ้านหลังนี้มานานเกือบสิบปีแล้ว หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังในอเมริกามาพร้อมผม
“นี่...มึงแน่ใจนะว่าไอ้เด็กนั่นจะไม่พังบ้านมึงน่ะโฬม” เสียงห้าวๆ ของไอ้ธีร์พูดกลั้วหัวเราะ พร้อมกับสายตาระยิบระยับจ้องมองไปยังชั้นสองของบ้านเช่นเดียวกับอีกหลายคน
“ถ้ามันอยากตาย อยากทำอะไรก็ให้มันทำไปก่อน เดี๋ยวมันเหนื่อยมันก็คงหยุดเอง” ผมตอบมันไปแบบเรียบๆ เหลือบตามองไปยังชั้นสองของบ้านเล็กน้อย เมื่อเสียงเหมือนมีอะไรแข็งๆ หนักๆ ล้มดังโครมครามอีกระลอกหนึ่ง ไอ้เด็กเปรตนี่ร้ายนัก เดี๋ยวถ้ากูขึ้นไปแล้วมึงทำข้าวของในบ้านกูพัง กูจะกระทืบให้จมตีนเลย
“มึงแน่ใจนะ ว่าจะไม่ขึ้นไปดูจริงๆ กูว่าป่านนี้เละทั้งห้องแล้วมั้ง” ไอ้ใบชา เพื่อนของผมอีกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นมาท้าวคาง สายตายังไม่ละออกมาจากหน้าต่างชั้นสอง
“ใบชา” หรือที่พวกผมเรียกกันสั้นๆ ว่า “ชา” เป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งของผมที่เข้ามาร่วมทำธุรกิจด้วยกัน ไอ้ชามันเข้ามาดูแลเรื่องร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมไปถึงเรื่องอาหารการกินของทุกคนที่นี่ เราสามคนสนิทกันมาก ดีกรีความหล่อก็ไม่ได้แพ้กันหลายคนคงงงเวลาพวกเราเดินด้วยกัน เพราะผมหน้าฝรั่ง ไอ้ธีร์หน้าไทย ส่วนไอ้ใบชาหน้าจีน เรียกได้ว่าเป็นความหล่อแบบนานาชาติของจริงเลยล่ะครับ
“ถ้ากูขึ้นไปตอนนี้ ไอ้เด็กเปรตนั่นได้ตายคาตีนกูแน่” ผมเอ่ยขึ้น
ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วเดินไปจับสายจูงม้าพันธุ์ตัวหนึ่งซึ่งผูกเอาไว้ใกล้ๆ ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ม้าทรงสวยสง่าปราดเปรียวเหยาะเท้าอยู่กับที่เบาๆ พลางสะบัดหน้าไปมาอวดขนแผงเงาระยับสีน้ำตาลเข้ม
“ไอ้เต้ย มึงคอยดูไว้ด้วยถ้าเสียงเงียบเมื่อไหร่มึงค่อยเข้าไปดู แล้วก็ถ้ามึงปล่อยให้ไอ้เด็กเปรตนั่นหนีไปได้ กูจะกระทืบมึงให้ซี่โครงหักเลย” ผมหันไปสั่งลูกน้องคนสนิท ก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนหลังม้าคู่ใจของผม ควบออกไปโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม
“เอ่อ...พี่ธีร์ กับพี่ชาเอายังไงดีครับ” ไอ้เต้ย เอ่ยถามสีหน้าเป็นกังวลพลางชี้มือไปยังตัวบ้าน
“เอาเป็นว่ามึงก็สู้ๆ นะ ส่วนกูจะไปดูที่ร้านละ ต้องไปเตรียมเส้นสปาเก็ตตี้กับทำน้ำสต็อค” ใบชาเอ่ยขึ้น พลางยื่นมือไปตบลงบนบ่าเด็กหนุ่มซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาคนหนุ่ม ลูกสมุนคนสนิทของเจ้าของบ้าน แล้วก็เดินไปสตาร์ทรถจี๊ปคันใหญ่ ก่อนจะขับออกไปตามทาง เพื่อมุ่งหน้าไปยังส่วนที่เป็นร้านอาหาร ซึ่งตนเองเป็นคนรับผิดชอบดูแลอยู่
“พี่ธีร์” เสียงเรียกอ่อยๆ ขอความเห็นใจของชายหนุ่มร้องเรียกชายอีกคน
“พอๆ มึงไม่ต้องมาเรียกกู กูก็ไม่รู้จะช่วยมึงยังไง แค่เด็กคนเดียวเอง มึงก็ดูแลไปแล้วกัน อ่อ หาข้าว หาปลาไปให้มันแดกด้วยล่ะ เดี๋ยวเสือกหิวข้าวตายห่าไปอีกจะซวยกันหมด” ธีร์เอ่ยขำๆ ก่อนจะเดินตรงไปขับรถกระบะสี่ประตูออกไปข้างนอก โดยมีชายหนุ่มหน้าตาดี ซึ่งเมื่อครู่นั่งกินมื้อเช้าร่วมโต๊ะด้วยกันอยู่กระโดดขึ้นหลังรถไปด้วยสองคน
“พวกมึง...” เต้ยยังไม่ลดความพยายาม ที่จะหันไปหาชายหนุ่มอีกห้าคนที่เหลือ ซึ่งกำลังช่วยกันเก็บจานชามกันอยู่
“ไม่ต้องมองกู แค่กูฟังเสียงกูก็ขนหัวลุกแล้ว เด็กเหี้ยไรวะ นรกส่งมาเกิดแท้ๆ” ไอ้โอ๊ต หนึ่งในบรรดาชายหนุ่มหุ่นล่ำบึ้กเอ่ยขึ้นพร้อมส่ายหัวไปมา
ฟาร์มของผมอุดมไปด้วยชายหนุ่มหุ่นล่ำ กล้ามเป็นมัดๆ นับรวมหลายสิบคน แต่ที่เด็ดๆ เลยก็คงเป็นเจ็ดหนุ่มเนื้อทองฝีมือดีของผมซึ่งประกอบด้วย
“เต้ย” ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปี ดีกรีปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งสาขาสัตวศาสตร์ เด็กหนุ่มหน้าตาดีแบบไทยแท้ๆ ที่เข้ามาช่วยผมดูแลงานภายในฟาร์ม เกี่ยวกับการผสมพันธุ์ม้าและดูแลม้าแทบจะทั้งหมด เต้ยเป็นชายหนุ่มอารมณ์ดีที่ซื่อๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความสดใสร่าเริง จริงใจ และได้รับความรักความไว้วางใจจากผมมากที่สุด เพราะผมส่งเสียให้เรียนกันมาตั้งแต่เต้ยจบมัธยมปลาย เนื่องจากที่บ้านยากจนจึงไม่สามารถเรียนต่อได้ ผมเห็นว่าเด็กคนนี้นิสัยดีขยันและซื่อสัตย์ จึงเป็นธุระส่งเสียให้เขาเรียนจนจบชั้นปริญญาตรี เมื่อเรียนจบเต้ยเองก็กลับมาช่วยงานที่ฟาร์มของผม และกลายเป็นมือขวาของผมจนทุกวันนี้
“โอ๊ต” เพื่อนสนิทของเต้ย เรียนจบจากสถาบันเดียวกัน เมื่อเรียนจบจึงเข้ามาทำงานที่ฟาร์มแห่งนี้ตามการชักชวนของเต้ย และตอนนี้ก็ควบตำแหน่งครูสอนขี่ม้าไปด้วย โอ๊ตเป็นผู้ชายหน้าตาไทยๆ ตัวใหญ่หุ่นล่ำกล้ามแน่น แอบทะเล้นและทะลึ่งจนเกือบจะลามกอยู่ แต่มันก็แค่สนุกๆ และเป็นตัวสร้างสีสันให้พวกเราเสมอ
“ปืน” อดีตเด็กแวนซ์ซิ่ง สายย่อ ห้อทุกถนนชนแม่งทุกโค้ง เกือบตายห่าคาฟุตบาทไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่เข็ดไม่หลาบจำสักที จนแม่มันปวดหัวลากคอมาฝากให้ผมช่วยกำราบมัน ผมจึงเปลี่ยนมันจากเด็กแวนซ์สองล้อให้มาห้อม้าสี่ขาแทน ตอนหลังมันขายมอเตอร์ไซค์ทิ้ง แล้วมาขี่ม้ากุบๆ ไปไหนมาไหนอย่างเท่ห์ แต่มันก็ยังไม่ทิ้งลายควบม้าผมแหกโค้งอยู่หลายครั้ง มันเป็นคนสอนขี่ม้าแบบโลดโผนให้กับพวกคนที่เขามาฝึกขี่ม้า และนักแสดงหลายคนที่มาฝึกขี่ม้าเพื่อเอาไปใช้แสดงหนัง แสดงละคร เรื่องโชว์สเตปขี่ม้าเสี่ยงตายให้ไปปรึกษามันได้เลย
“ขุน” กับ “โดม” เป็นลูกน้องผมก็จริงแต่มันสองคนเป็นผู้ช่วยเชฟฝีมือดี ที่เข้ามาเป็นมือขวามือซ้ายของใบชา ในการดูแลร้านอาหารด้านหน้า แม่ไอ้ขุนขายอาหารตามสั่งอยู่ในตัวเมือง มันเคยเล่าให้ผมฟังว่า มันอยากเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำ มันเป็นพ่อครัวส่วนแม่มันเก็บเงิน ติดอยู่ที่บ้านมันไม่มีเงิน ตอนนี้เลยขอมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อน สักวันหนึ่งมันจะมีร้านเป็นของตัวเอง
โดม แม่มันขายส้มตำอยู่ถัดจากฟาร์มไปห้ากิโลเมตร มันบอกว่าอยากทำงานเก็บเงินปลูกบ้านให้แม่อยู่สบาย มีร้านขายของแบบมินิมาร์ท มันไม่อยากให้แม่มันตำส้มตำไปจนแก่กลัวแม่ยกสากไม่ไหว เมื่อก่อนไอ้สองคนนี่ไม่ถูกกัน ตีกันทุกวันแต่ไม่รู้ไปทำกันอีท่าไหน ตอนนี้ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ ขนาดเดินไปขี้มันก็ยังลากมือไปด้วยกัน
“เสก” กับ “ไผ่” เป็นลูกสมุนผม แต่เป็นผู้ช่วยของของธีร์ ซึ่งช่วยดูแลในส่วนของรีสอร์ท ที่พัก แพพัก รถเช่า ตั้งแต่ช่วงแรกๆ เสกเป็นเด็กเกิดในพื้นที่ ทำให้มันรู้แทบจะทุกซอกทุกมุมของจังหวัดเหมือนตัวมันเป็นจีพีเอสประจำจังหวัดประมาณนั้นเลย มันโม้ให้ฟังบ่อยๆ ว่าหลับตาเดินยังรู้ ถามมาเลยถ้าหลงในจังหวัดนี้มันบอกทางได้หมด แต่อย่าออกนอกเขตนะ แม่งพาหลงชิบหาย เหมือนมากับคนตาบอดกันเลย ผมเองก็งงกับมันเหมือนกัน มึงจะเรียนรู้เชี่ยวชาญให้มันนอกแผนที่จังหวัดหน่อยไม่ได้หรือไงวะ
ไผ่ เจ้าพ่อไอทีและอิเลคทรอนิคส์ของฟาร์ม ยกให้มัน เพราะมันเก่งเรื่องนี้ตั้งแต่เปลี่ยนหลอดไฟไปจนถึงระบบกล้องวงจรปิด ทำเพจ ลงโฆษณา อะไรที่ล้ำๆ ให้มันทำเถอะ
ทั้งเจ็ดคนอยู่ด้วยกันจนสนิทสนมกันเสมือนพี่น้อง และเมื่อวานช่วงมื้อค่ำลูกพี่ใหญ่ของพวกตน ได้บอกกล่าวกับทุกคนพร้อมกันว่า จะมีสมาชิกของบ้านมาเพิ่มหนึ่งคน คือ “แทน” เด็กเจ้าปัญหาที่มีคนนำมา “ฝากเลี้ยง” ไว้ที่ฟาร์มชั่วคราว แต่ก็ไม่คิดว่า “เด็ก” ที่ลูกพี่ใหญ่บอกไว้จะร้ายกาจขนาดนี้
+++แทน+++
“ปล่อยกู” ผมร้องตะโกนลั่นออกไปเป็นครั้งที่ล้าน
ผมเชื่อว่ามันต้องมีคนได้ยินเสียงผมสิ แต่ทำไมไม่มีคนมาสนใจผมเลยวะ ผมตะโกนอยู่อย่างนั้น สลับกับพยายามหาอะไรมาทุบ มาขว้างใส่ทั้งประตู หน้าต่าง ยันแจกัน นาฬิกา กระปุก ที่ทับกระดาษ แม้กระทั่งเสื้อผ้าของผม ที่พวกมันแพ็คใส่กระเป๋ามาให้ ผมก็รื้อออกมาและจัดการละเลงมัน จนผมล้าไปหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาสักที
“กูบอกให้ปล่อยกู พวกมึงเป็นใคร ต้องการอะไร มึงจับกูมาเรียกค่าไถ่เหรอ กูบอกให้ปล่อยกู” ผมตะโกนดังลั่นไม่ขาดสายจนรู้สึกเหนื่อย
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง รู้แค่ว่าโคตรหิวเลย ผมพยายามงัดหน้าต่างออก มองลอดผ่านบานหน้าต่างออกไปข้างนอก แดดจ้าแบบนี้เที่ยงหรือยังนะ ต้นไม้อะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็น มันร่มครึ้มยืนต้นแผ่กิ่งก้านอยู่ข้างๆ นั้น สระน้ำขนาดใหญ่น้ำใสน่าลงไปว่ายเล่นชะมัด
โว้ย ถ้าพวกมึงจะเรียกค่าไถ่ มึงไม่คิดจะหาข้าวหาปลาให้กูแดกเลยหรือไง หิวจะตายห่าอยู่แล้วไอ้โจรกระจอก ผมได้แต่ก่นด่ามันไปเรื่อยจนเหนื่อย พอเหนื่อยผมก็ทิ้งตัวลงไปนอนพัก พอมีแรงหายเหนื่อยผมก็ลุกมาอาละวาดใหม่ สลับกันไปมาอยู่แบบนี้จนเสียงเริ่มแหบ
หือ... เสียงใครบางคนกำลังเดินใกล้เข้ามาตรงบริเวณประตู ผมแอบย่องเข้าไปยืนเอาหูแนบประตูไว้จนชิด ในมือคว้าเอานาฬิกาสลักจากไม้สักราคาแพงเป็นรูปม้า มาถือเอาไว้ในมือ
“เอ๊ะ ... มันร้องจนหมดแรง หรือว่ามันตายไปแล้ววะหรือว่านี่จะเป็นแผน ถ้าเป็นแผนกูก็ไม่ควรเสี่ยง แต่ถ้าไม่ใช่แผนแล้วไอ้เด็กเวรนั่นเสือกตายไปจริงๆ ลูกพี่จะกระทืบกูมั้ยวะ”
เสียงเหมือนใครสักคนบ่นพึมพำๆ อะไรดังแว่วๆ อยู่หน้าประตู ไอ้นี่ถ้าจะบ้าพูดคนเดียวก็เป็น ผมยังคงแนบหูอยู่กับบานประตูไม้นั้นอยู่เช่นเดิม พยายามตั้งใจฟังถึงสิ่งที่อยู่อีกด้าน
“เอาไงดีวะกู” เสียงนั้นยังดังอยู่เบาๆ เหมือนแค่เป็นการรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่า เออผมว่ามันบ้าแหละยืนพูดอยู่คนเดียวตั้งนาน