17 เจอกันอีกครั้ง

2009 คำ
ชินไม่อยากเชื่อสิ่งที่อยู่ในแชทเลยแต่เจตต์ไม่ใช่คนที่จะพูดพร่ำเพ้อไปทั่ว ถ้าเขาบอกว่าเจอก็แสดงว่าเจอจริง ๆ “ผม....ต้องไประยองครับ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย!” “คุณชิน เดี๋ยวค่ะ!!” พรีมรู้เรื่องที่ชินไม่สามารถขับรถได้มาจากเจตต์แล้ว เธอค่อนข้างเป็นห่วงเขาแถมตอนนี้เจตต์ก็ไม่อยู่ด้วย “อย่ามาขวางผมนะ ผมต้องไปหาเธอให้ได้” “พรีมไม่ได้จะขวางแต่คุณต้องมีสติมากกว่านี้นะคะ ขืนไปทั้ง ๆ แบบนี้คิดว่าเธอจะดีใจงั้นเหรอคะ ส่องกระจกดูสภาพตัวเองหน่อยสิ!” “.....” ชินทำงานติดต่อกันมาหลายวันและพักผ่อนน้อยเลยดูโทรมกว่าปกติ พรีมต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเขานานมากกว่าประธานหนุ่มจะสงบลง เธอบอกให้เขาไปอาบน้ำเตรียมตัวและเธอจะเป็นคนพาเขาไปเองแม้ใจจริงจะไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวก็ตามที “เวรกรรมอะไรของฉันเนี่ย ถ้าคุณเจตต์ไม่ขอไว้ก็ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวแล้วล่ะนะ” พรีมกับชินขับรถไปเรื่อย ๆ เพื่อไปหาเจตต์ที่ระยอง ตลอดระยะเวลาที่ขับรถไปเขาดูตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สายตาคมฉายประกายแห่งความหวังออกมา “ขอบคุณนะครับที่พาผมมา” “ไม่เป็นไรค่ะ พรีมจะแวะมาหาพี่ชายอยู่แล้ว” อันที่จริงวันนี้เป็นวันหยุดของเธอและก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาหาพี่ชายที่ระยองแต่ก็ดันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ถือซะว่าได้เพื่อนร่วมทางมาด้วยก็แล้วกันนะ “คุณพรีมมีพี่ชายด้วยเหรอครับ?” “ใช่ค่ะ พี่ชายพรีมน่าจะอายุไล่ ๆกับคุณชินค่ะ คงห่างกันแค่ไม่กี่ปีเองมั้ง” “งั้นเหรอครับ.....” พรีมพอจะรู้เรื่องของนิตาอยู่บ้างเพราะเจตต์เล่าให้ฟังเพื่อให้ง่ายต่อการทำงานกับชิน เธอค่อนข้างสงสารและเห็นใจเขาไม่น้อยเลย “ว่าแต่คุณเจตต์บอกว่าภรรยาคุณชินยังอยู่เหรอคะ เป็นไปได้ยังไงกัน” “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้าได้เจอกันคงจะรู้เอง” หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลยแต่เพราะเจตต์ยังต้องเข้าประชุมอีกหลายชั่วโมงและไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ พรีมเลยเสนอให้เขาไปพักที่บ้านพักตากอากาศของตัวเองก่อน มันเป็นบ้านพักที่ไม่มีใครอยู่มาหลายปีแล้วแต่พี่ชายของเธอก็ส่งคนมาทำความสะอาดอยู่เสมอเพื่อให้พร้อมเข้าพักตลอดเพราะงั้นเลยไม่น่ามีปัญหาถ้าเธอจะมาอยู่สักวันสองวัน “เอ๊ะ! พี่ก็มาด้วยงั้นเหรอ” พรีมที่กำลังเลี้ยวรถเข้าที่พักพูดออกมาด้วยความสงสัยพี่ชายของเธอไม่ได้บอกว่าจะมาที่นี่วันนี้สักหน่อยแล้วรถเขามาอยู่นี่ได้ยังไงกัน.... “พี่ชายคุณอยู่เหรอครับ งั้นผมไปพักโรงแรมก็ได้” “อืมมมม ไม่เป็นไรค่ะ ที่นี่มีห้องพักเยอะแยะ พี่คงไม่คิดอะไรมากหรอก” พรีมพูดพร้อมกับเลี้ยวรถเข้าไปจอดในโรงรถอย่างคล่องแคล่ว ทันทีที่เครื่องยนต์ดับลงเสียงทะเลก็ลอยมาแผ่วเบาเหมือนเสียงเพลงขับกล่อมจากธรรมชาติ กลิ่นเค็มจาง ๆ ของน้ำทะเลผสมกับกลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ริมรั้วทำให้บรรยากาศรอบตัวดูผ่อนคลายอย่างประหลาด เธอเปิดประตูลงจากรถทันที พร้อมกับกางแขนออกสูดลมหายใจลึกเต็มปอด ลมทะเลพัดผ่านเส้นผมของเธออย่างอ่อนโยน ชุดเดรสผ้าลินินบางเบาปลิวไหวตามแรงลมเหมือนผ้าแพรโปร่งใสที่เต้นระบำกลางแสงแดดยามบ่าย “ยังสวยเหมือนเดิมเลย สดชื่นจริง ๆ” พรีมฉีกยิ้มออกมาจนเต็มใบหน้า แววตาเป็นประกายยามทอดมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่น้ำทะเลกลืนกับท้องฟ้าจนแทบจะแยกกันไม่ออก “สวยดีนะครับ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มที่ก้าวลงมาจากรถอีกฝั่งดังขึ้นพร้อมกับที่เขาเงยหน้ามองรอบตัว ชินไม่เคยมาทะเลแถวนี้มาก่อนและก็ไม่เคยคิดว่าจะชอบมันได้ถึงเพียงนี้ แสงแดดอุ่นไม่ร้อนเกินไป ลมเย็นกำลังดี พื้นทรายที่ทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาและเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทั้งหมดนี้ช่างแตกต่างจากโลกในเมืองที่เขาจากมาโดยสิ้นเชิง เขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งปล่อยให้ลมทะเลปะทะใบหน้าและปลายเสื้อเชิ้ตของเขา แววตาที่เคยเหนื่อยล้าเริ่มผ่อนคลายลงทีละน้อยมันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่คุ้นเคยแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกสบายใจเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้... บางทีธรรมชาติอาจมีวิธีปลอบโยนคนที่เหนื่อยล้าในแบบของมันเอง “ใช่ไหมคะ ฉันชอบมาที่นี่มากแต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาเลย” เสียงคลื่นสาดซัดเข้าหาฝั่งเบา ๆ ทรายสีทองที่ทอดยาวไปจนสุดสายตากับท้องฟ้าสีฟ้าอมชมพูยามเย็นทำให้ดูราวกับภาพวาด ดวงตะวันคล้อยต่ำลงอย่างอ้อยอิ่ง แสงสีส้มทองสะท้อนในดวงตาพรีมขณะเธอยืนมองภาพตรงหน้า ชินหันมามองใบหน้าด้านข้างของเธอ เงาเส้นผมปลิวไหวตามลมและเสี้ยวหน้าที่เรืองรองในแสงเย็นทำให้เขาเผลอมองนานกว่าที่ตั้งใจ เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณนะครับที่พามาด้วย ผมทำให้คุณต้องวุ่นวายทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ ๆ เลย” พรีมหันมามองเขาเล็กน้อยแววตาเธอสั่นไหวเพียงชั่ววินาทีก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มจาง ๆ ลมทะเลยังคงพัดพาเอากลิ่นไออุ่นและความรู้สึกบางอย่างให้ล่องลอยอยู่ในอากาศ “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันยินดีช่วยคุณอยู่แล้ว” สายลมเย็น ๆ พัดผ่านใบหน้า ทำให้เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของพรีมพลิ้วไหวอย่างอ่อนโยน เธอใช้นิ้วเรียวทัดปอยผมที่ปลิวมาปรกแก้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทะเลเบื้องหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ดวงตานั้นสะท้อนแสงแดดยามบ่ายจนดูสดใสราวกับเด็กหญิงที่เพิ่งค้นพบโลกใหม่ ในชั่ววินาทีนั้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เขาเผลอมองเธอผ่านหางตาหัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวเหมือนก้อนดินแล้งก็คล้ายได้รับหยาดน้ำเย็นใสจากฟ้า เขาไม่รู้ว่าทำไมเพียงแค่ท่าทางเล็กน้อยนั้นกลับทำให้บางอย่างในใจเขาสั่นไหว อาจเป็นเพราะแววตาของเธอที่ไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ หรือเพราะรอยยิ้มที่ดูสดใสตลอดเวลากันแน่ “ขอให้หาภรรยาเจอนะคะ ฉันคิดว่าตอนคุณยิ้มดีกว่าตอนคุณทำหน้าเศร้าเยอะเลยค่ะ” ตึกตัก! รอยยิ้มที่สดใสกว่าแสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้หัวใจของชินเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันเหมือนกับตอนนั้นตอนที่เขาเจอกับนิตาครั้งแรกไม่มีผิด “อ๊ะ พี่~~~” พรีมเห็นร่างสามร่างกำลังเดินมาจากทางหาด เธอส่งเสียงตะโกนพร้อมกับถอดรองเท้าออกก่อนจะวิ่งไปบนผืนทรายละเอียดนุ่มเพื่อไปหาพี่ชายของเธอ “พรีม?! มาได้ยังไงกัน” “พี่นั่นแหล่ะมาทำอะไรที่นี่กัน” “เอ่อออ” “คุณศิณคะ?” นิตาโผล่หน้ามาจากด้านหลังพลางอุ้มนิรินไว้ พรีมที่เห็นแบบนั้นก็เดินช้าลงโดยไม่รู้ตัว นี่พี่ชายเขาซุกสาวไว้ที่บ้านพักงั้นเหรอ “พี่ศิณ พี่แอบพาสาวมาเที่ยวเหรอ ร้ายนะเนี่ย!” “พอเลยตัวแสบ นี่เพื่อนพี่เอง รู้จักกันไว้สิ” “สวัสดีค่าาา ชื่อพรีมนะคะเป็นน้องสาวต่างพ่อต่างแม่กับพี่ศิณค่ะ” พศิณที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ความแสบซนของ พรีมไม่เคยลดลงเลย “คะ?” “ผมอธิบายเองดีกว่า เธอเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อครับ ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักและเกิดอุบัติเหตุพร้อมกัน ผมกับเธอเลยสนิทเหมือนพี่น้องแท้ ๆ น่ะครับ” “ใช่ค่าาา เห็นกันมาตั้งแต่เด็กเลยไม่คิดว่าพี่ชายคนนี้จะร้ายกาจขนาดซุกสาวไว้เลย” “พอเลยพรีม แล้วมาทำอะไรที่นี่ ลาออกแล้วเหรอ?” “จะบ้าเหรอพี่ งานดี เงินดีขนาดนั้นใครจะลาออกให้โง่กัน” ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีพรีมก็ยังเป็นคนขี้งกเหมือนเดิม อาจเพราะลำบากมามากเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้เธอจึงต้องใช้มันอย่างคุ้มค่า “ยัยขี้งก แล้วพาใครมาด้วยล่ะ” ตรงจุดที่พวกเขายืนเป็นจุดที่แสงส่องลงมาพอดีเลยทำให้เห็นหน้าอีกคนไม่ชัดเท่าไหร่ พรีมยิ้มแล้วกวักมือเรียกชินให้เข้ามาทำความรู้จักกันไว้ “เจ้านายน่ะ เขาติดรถมาทำธุระที่นี่” เสียงของพรีมเต็มไปด้วยความร่าเริงแต่กลับเหมือนฟ้าผ่าลงกลางอกของพศิณ เขายืนนิ่งอยู่หน้าบ้านพักริมทะเล สายตาคมมองข้ามไหล่ของพรีมไปยังชายร่างสูงที่เดินตามหลังมาอย่างเชื่องช้าและนั่น.....คือภาพที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกในชีวิต “คุณชิน...” คลื่นทะเลซัดกระทบฝั่งเป็นจังหวะเหมือนเสียงหัวใจของใครหลายคนที่เริ่มไม่เป็นจังหวะ พศิณพูดอะไรไม่ออกร่างทั้งร่างเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ด้วยความตกใจ ดวงตาสั่นไหวขณะสบเข้ากับดวงตาของอีกคนหนึ่งที่กำลังมองเขากลับมาและในวินาทีนั้นเอง นิตา... ที่อุ้มนิรินไว้แนบอกก็หันกลับตามเสียงทุ้มต่ำที่เธอไม่มีวันลืม “.....สวัสดีครับ คุณพศิณ....นิตา.....” น้ำเสียงที่คุ้นเคยเหลือเกินดังขึ้นท่ามกลางเสียงลมและกลิ่นเค็มของทะเล นิตาชะงักไปร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน สีหน้าซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะไร้โฟกัส ความจริงที่พยายามซ่อนไว้มาตลอดสองปีหลุดลอยออกมาพร้อมกับสายลมทะเลและคำทักทายเรียบง่ายนั้น “...พี่ชิน...” เสียงเธอสั่น เบา แทบจะหล่นหายไปกับเสียงคลื่น เสียงที่เคยเต็มไปด้วยความรักในอดีตบัดนี้กลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวของคนที่ยังคงวิ่งหนีความจริงมาตลอด นิรินในอ้อมแขนเธอก็พลอยรับรู้ถึงความผิดปกติ หันหน้าไปมองชายแปลกหน้าที่แม่เรียกชื่อออกมาอย่างแผ่วเบา “คุมแม่ขา?” ชินมองภาพตรงหน้าหัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ไม่ใช่แค่เพราะได้เจอเธออีกครั้ง... แต่เพราะเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนนั้นมีบางอย่างสะกิดใจเขา ราวกับว่าเห็นเงาของตัวเขาเองสะท้อนอยู่บนใบหน้าเล็ก ๆ นั่น ความเงียบปกคลุมไปทั่ว เหลือเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งและเสียงลมหายใจที่สั่นเทาของคนทั้งสี่ บรรยากาศอึมครึมจนแม้แต่แสงแดดยามเย็นก็ยังดูหม่นหมอง สองปีที่ผ่านไป ความจริงทั้งหมด... ไม่ได้ถูกฝังไว้ใต้ดิน แต่มันลอยขึ้นมา... พร้อมกับคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังซัดเข้าหาฝั่งอีกครั้ง “หมายความว่ายังไงนิตา? เธอยังไม่ตาย?แล้วนั่น....นั่นลูกพี่ใช่ไหม?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม