ชินไม่อยากเชื่อสิ่งที่อยู่ในแชทเลยแต่เจตต์ไม่ใช่คนที่จะพูดพร่ำเพ้อไปทั่ว ถ้าเขาบอกว่าเจอก็แสดงว่าเจอจริง ๆ
“ผม....ต้องไประยองครับ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย!”
“คุณชิน เดี๋ยวค่ะ!!”
พรีมรู้เรื่องที่ชินไม่สามารถขับรถได้มาจากเจตต์แล้ว เธอค่อนข้างเป็นห่วงเขาแถมตอนนี้เจตต์ก็ไม่อยู่ด้วย
“อย่ามาขวางผมนะ ผมต้องไปหาเธอให้ได้”
“พรีมไม่ได้จะขวางแต่คุณต้องมีสติมากกว่านี้นะคะ ขืนไปทั้ง ๆ แบบนี้คิดว่าเธอจะดีใจงั้นเหรอคะ ส่องกระจกดูสภาพตัวเองหน่อยสิ!”
“.....”
ชินทำงานติดต่อกันมาหลายวันและพักผ่อนน้อยเลยดูโทรมกว่าปกติ พรีมต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเขานานมากกว่าประธานหนุ่มจะสงบลง เธอบอกให้เขาไปอาบน้ำเตรียมตัวและเธอจะเป็นคนพาเขาไปเองแม้ใจจริงจะไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวก็ตามที
“เวรกรรมอะไรของฉันเนี่ย ถ้าคุณเจตต์ไม่ขอไว้ก็ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวแล้วล่ะนะ”
พรีมกับชินขับรถไปเรื่อย ๆ เพื่อไปหาเจตต์ที่ระยอง ตลอดระยะเวลาที่ขับรถไปเขาดูตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สายตาคมฉายประกายแห่งความหวังออกมา
“ขอบคุณนะครับที่พาผมมา”
“ไม่เป็นไรค่ะ พรีมจะแวะมาหาพี่ชายอยู่แล้ว”
อันที่จริงวันนี้เป็นวันหยุดของเธอและก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาหาพี่ชายที่ระยองแต่ก็ดันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ถือซะว่าได้เพื่อนร่วมทางมาด้วยก็แล้วกันนะ
“คุณพรีมมีพี่ชายด้วยเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ พี่ชายพรีมน่าจะอายุไล่ ๆกับคุณชินค่ะ คงห่างกันแค่ไม่กี่ปีเองมั้ง”
“งั้นเหรอครับ.....”
พรีมพอจะรู้เรื่องของนิตาอยู่บ้างเพราะเจตต์เล่าให้ฟังเพื่อให้ง่ายต่อการทำงานกับชิน เธอค่อนข้างสงสารและเห็นใจเขาไม่น้อยเลย
“ว่าแต่คุณเจตต์บอกว่าภรรยาคุณชินยังอยู่เหรอคะ เป็นไปได้ยังไงกัน”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้าได้เจอกันคงจะรู้เอง”
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลยแต่เพราะเจตต์ยังต้องเข้าประชุมอีกหลายชั่วโมงและไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ พรีมเลยเสนอให้เขาไปพักที่บ้านพักตากอากาศของตัวเองก่อน
มันเป็นบ้านพักที่ไม่มีใครอยู่มาหลายปีแล้วแต่พี่ชายของเธอก็ส่งคนมาทำความสะอาดอยู่เสมอเพื่อให้พร้อมเข้าพักตลอดเพราะงั้นเลยไม่น่ามีปัญหาถ้าเธอจะมาอยู่สักวันสองวัน
“เอ๊ะ! พี่ก็มาด้วยงั้นเหรอ”
พรีมที่กำลังเลี้ยวรถเข้าที่พักพูดออกมาด้วยความสงสัยพี่ชายของเธอไม่ได้บอกว่าจะมาที่นี่วันนี้สักหน่อยแล้วรถเขามาอยู่นี่ได้ยังไงกัน....
“พี่ชายคุณอยู่เหรอครับ งั้นผมไปพักโรงแรมก็ได้”
“อืมมมม ไม่เป็นไรค่ะ ที่นี่มีห้องพักเยอะแยะ พี่คงไม่คิดอะไรมากหรอก”
พรีมพูดพร้อมกับเลี้ยวรถเข้าไปจอดในโรงรถอย่างคล่องแคล่ว ทันทีที่เครื่องยนต์ดับลงเสียงทะเลก็ลอยมาแผ่วเบาเหมือนเสียงเพลงขับกล่อมจากธรรมชาติ กลิ่นเค็มจาง ๆ ของน้ำทะเลผสมกับกลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ริมรั้วทำให้บรรยากาศรอบตัวดูผ่อนคลายอย่างประหลาด
เธอเปิดประตูลงจากรถทันที พร้อมกับกางแขนออกสูดลมหายใจลึกเต็มปอด ลมทะเลพัดผ่านเส้นผมของเธออย่างอ่อนโยน ชุดเดรสผ้าลินินบางเบาปลิวไหวตามแรงลมเหมือนผ้าแพรโปร่งใสที่เต้นระบำกลางแสงแดดยามบ่าย
“ยังสวยเหมือนเดิมเลย สดชื่นจริง ๆ”
พรีมฉีกยิ้มออกมาจนเต็มใบหน้า แววตาเป็นประกายยามทอดมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่น้ำทะเลกลืนกับท้องฟ้าจนแทบจะแยกกันไม่ออก
“สวยดีนะครับ”
เสียงทุ้มของชายหนุ่มที่ก้าวลงมาจากรถอีกฝั่งดังขึ้นพร้อมกับที่เขาเงยหน้ามองรอบตัว ชินไม่เคยมาทะเลแถวนี้มาก่อนและก็ไม่เคยคิดว่าจะชอบมันได้ถึงเพียงนี้ แสงแดดอุ่นไม่ร้อนเกินไป ลมเย็นกำลังดี พื้นทรายที่ทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาและเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทั้งหมดนี้ช่างแตกต่างจากโลกในเมืองที่เขาจากมาโดยสิ้นเชิง
เขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งปล่อยให้ลมทะเลปะทะใบหน้าและปลายเสื้อเชิ้ตของเขา แววตาที่เคยเหนื่อยล้าเริ่มผ่อนคลายลงทีละน้อยมันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่คุ้นเคยแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกสบายใจเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้... บางทีธรรมชาติอาจมีวิธีปลอบโยนคนที่เหนื่อยล้าในแบบของมันเอง
“ใช่ไหมคะ ฉันชอบมาที่นี่มากแต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาเลย”
เสียงคลื่นสาดซัดเข้าหาฝั่งเบา ๆ ทรายสีทองที่ทอดยาวไปจนสุดสายตากับท้องฟ้าสีฟ้าอมชมพูยามเย็นทำให้ดูราวกับภาพวาด ดวงตะวันคล้อยต่ำลงอย่างอ้อยอิ่ง แสงสีส้มทองสะท้อนในดวงตาพรีมขณะเธอยืนมองภาพตรงหน้า
ชินหันมามองใบหน้าด้านข้างของเธอ เงาเส้นผมปลิวไหวตามลมและเสี้ยวหน้าที่เรืองรองในแสงเย็นทำให้เขาเผลอมองนานกว่าที่ตั้งใจ เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณนะครับที่พามาด้วย ผมทำให้คุณต้องวุ่นวายทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ ๆ เลย”
พรีมหันมามองเขาเล็กน้อยแววตาเธอสั่นไหวเพียงชั่ววินาทีก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มจาง ๆ ลมทะเลยังคงพัดพาเอากลิ่นไออุ่นและความรู้สึกบางอย่างให้ล่องลอยอยู่ในอากาศ
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันยินดีช่วยคุณอยู่แล้ว”
สายลมเย็น ๆ พัดผ่านใบหน้า ทำให้เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของพรีมพลิ้วไหวอย่างอ่อนโยน เธอใช้นิ้วเรียวทัดปอยผมที่ปลิวมาปรกแก้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทะเลเบื้องหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ดวงตานั้นสะท้อนแสงแดดยามบ่ายจนดูสดใสราวกับเด็กหญิงที่เพิ่งค้นพบโลกใหม่
ในชั่ววินาทีนั้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เขาเผลอมองเธอผ่านหางตาหัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวเหมือนก้อนดินแล้งก็คล้ายได้รับหยาดน้ำเย็นใสจากฟ้า
เขาไม่รู้ว่าทำไมเพียงแค่ท่าทางเล็กน้อยนั้นกลับทำให้บางอย่างในใจเขาสั่นไหว อาจเป็นเพราะแววตาของเธอที่ไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ หรือเพราะรอยยิ้มที่ดูสดใสตลอดเวลากันแน่
“ขอให้หาภรรยาเจอนะคะ ฉันคิดว่าตอนคุณยิ้มดีกว่าตอนคุณทำหน้าเศร้าเยอะเลยค่ะ”
ตึกตัก!
รอยยิ้มที่สดใสกว่าแสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้หัวใจของชินเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันเหมือนกับตอนนั้นตอนที่เขาเจอกับนิตาครั้งแรกไม่มีผิด
“อ๊ะ พี่~~~”
พรีมเห็นร่างสามร่างกำลังเดินมาจากทางหาด เธอส่งเสียงตะโกนพร้อมกับถอดรองเท้าออกก่อนจะวิ่งไปบนผืนทรายละเอียดนุ่มเพื่อไปหาพี่ชายของเธอ
“พรีม?! มาได้ยังไงกัน”
“พี่นั่นแหล่ะมาทำอะไรที่นี่กัน”
“เอ่อออ”
“คุณศิณคะ?”
นิตาโผล่หน้ามาจากด้านหลังพลางอุ้มนิรินไว้ พรีมที่เห็นแบบนั้นก็เดินช้าลงโดยไม่รู้ตัว นี่พี่ชายเขาซุกสาวไว้ที่บ้านพักงั้นเหรอ
“พี่ศิณ พี่แอบพาสาวมาเที่ยวเหรอ ร้ายนะเนี่ย!”
“พอเลยตัวแสบ นี่เพื่อนพี่เอง รู้จักกันไว้สิ”
“สวัสดีค่าาา ชื่อพรีมนะคะเป็นน้องสาวต่างพ่อต่างแม่กับพี่ศิณค่ะ”
พศิณที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ความแสบซนของ พรีมไม่เคยลดลงเลย
“คะ?”
“ผมอธิบายเองดีกว่า เธอเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อครับ ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักและเกิดอุบัติเหตุพร้อมกัน ผมกับเธอเลยสนิทเหมือนพี่น้องแท้ ๆ น่ะครับ”
“ใช่ค่าาา เห็นกันมาตั้งแต่เด็กเลยไม่คิดว่าพี่ชายคนนี้จะร้ายกาจขนาดซุกสาวไว้เลย”
“พอเลยพรีม แล้วมาทำอะไรที่นี่ ลาออกแล้วเหรอ?”
“จะบ้าเหรอพี่ งานดี เงินดีขนาดนั้นใครจะลาออกให้โง่กัน”
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีพรีมก็ยังเป็นคนขี้งกเหมือนเดิม อาจเพราะลำบากมามากเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้เธอจึงต้องใช้มันอย่างคุ้มค่า
“ยัยขี้งก แล้วพาใครมาด้วยล่ะ”
ตรงจุดที่พวกเขายืนเป็นจุดที่แสงส่องลงมาพอดีเลยทำให้เห็นหน้าอีกคนไม่ชัดเท่าไหร่ พรีมยิ้มแล้วกวักมือเรียกชินให้เข้ามาทำความรู้จักกันไว้
“เจ้านายน่ะ เขาติดรถมาทำธุระที่นี่”
เสียงของพรีมเต็มไปด้วยความร่าเริงแต่กลับเหมือนฟ้าผ่าลงกลางอกของพศิณ เขายืนนิ่งอยู่หน้าบ้านพักริมทะเล สายตาคมมองข้ามไหล่ของพรีมไปยังชายร่างสูงที่เดินตามหลังมาอย่างเชื่องช้าและนั่น.....คือภาพที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกในชีวิต
“คุณชิน...”
คลื่นทะเลซัดกระทบฝั่งเป็นจังหวะเหมือนเสียงหัวใจของใครหลายคนที่เริ่มไม่เป็นจังหวะ พศิณพูดอะไรไม่ออกร่างทั้งร่างเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ด้วยความตกใจ ดวงตาสั่นไหวขณะสบเข้ากับดวงตาของอีกคนหนึ่งที่กำลังมองเขากลับมาและในวินาทีนั้นเอง นิตา... ที่อุ้มนิรินไว้แนบอกก็หันกลับตามเสียงทุ้มต่ำที่เธอไม่มีวันลืม
“.....สวัสดีครับ คุณพศิณ....นิตา.....”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยเหลือเกินดังขึ้นท่ามกลางเสียงลมและกลิ่นเค็มของทะเล นิตาชะงักไปร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน สีหน้าซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะไร้โฟกัส ความจริงที่พยายามซ่อนไว้มาตลอดสองปีหลุดลอยออกมาพร้อมกับสายลมทะเลและคำทักทายเรียบง่ายนั้น
“...พี่ชิน...” เสียงเธอสั่น เบา แทบจะหล่นหายไปกับเสียงคลื่น เสียงที่เคยเต็มไปด้วยความรักในอดีตบัดนี้กลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวของคนที่ยังคงวิ่งหนีความจริงมาตลอด
นิรินในอ้อมแขนเธอก็พลอยรับรู้ถึงความผิดปกติ หันหน้าไปมองชายแปลกหน้าที่แม่เรียกชื่อออกมาอย่างแผ่วเบา
“คุมแม่ขา?”
ชินมองภาพตรงหน้าหัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ไม่ใช่แค่เพราะได้เจอเธออีกครั้ง... แต่เพราะเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนนั้นมีบางอย่างสะกิดใจเขา ราวกับว่าเห็นเงาของตัวเขาเองสะท้อนอยู่บนใบหน้าเล็ก ๆ นั่น
ความเงียบปกคลุมไปทั่ว เหลือเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งและเสียงลมหายใจที่สั่นเทาของคนทั้งสี่ บรรยากาศอึมครึมจนแม้แต่แสงแดดยามเย็นก็ยังดูหม่นหมอง
สองปีที่ผ่านไป ความจริงทั้งหมด... ไม่ได้ถูกฝังไว้ใต้ดิน แต่มันลอยขึ้นมา... พร้อมกับคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังซัดเข้าหาฝั่งอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไงนิตา? เธอยังไม่ตาย?แล้วนั่น....นั่นลูกพี่ใช่ไหม?”