เขาหายไปแล้ว

1420 คำ
3 เดือนต่อมา...ณ หมู่บ้านภูพันหมอก บรรยากาศงานศพวันสุดท้ายของ ‘แพทย์หญิงเอี่ยมสุข ประกอบมิตร’ วัย 65 ปี ยังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและอาลัยรัก ด้วยผู้ที่ล่วงลับคือแพทย์หญิงเพียงคนเดียวที่ละทิ้งความสะดวกสบายเดินทางมาอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้ คอยให้การรักษาช่วยเหลือยามผู้คนในหมู่บ้านเจ็บป่วยด้วยความโอบอ้อมอารีและมีน้ำใจเสมอมา เมื่อวันหนึ่งพวกเขาต้องสูญเสียบุคลกรทางการแพทย์ผู้เป็นดั่งนางฟ้าประจำถิ่นไป ความเสียใจ ความกังวล จึงยากที่จะไม่เกิดขึ้น แสงส้มอมเหลืองจากเปลวเทียนวูบไหว กลิ่นธูปหอมมะลิ และกลิ่นของดอกไม้สดที่ผู้คนนำมาร่วมไว้อาลัยอบอวลอยู่ภายในศาลา หยาดน้ำตาและเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ จากหลานสาวเพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่ทุกคนนั้นพร้อมที่จะร่วมแบ่งปันความเสียใจนี้กับหญิงสาว กระทั่งช่วงบ่ายของวันโลงศพได้ถูกเคลื่อนย้ายมายังเมรุเพื่อเข้าสู่พิธีเผาต่อไป แม่งานเช่นเธอและคนในหมู่บ้านได้ตามออกมาร่วมวางดอกไม้จันทน์เป็นลำดับสุดท้าย เพื่อส่งคุณย่าท่านขึ้นสู่สรวงสวรรค์ “ทำใจนะหนูเอย ย่าเอี่ยมแกไปสบายแล้วล่ะ คนอยู่ก็ต้องสู้ต่อไปนะลูก หนูต้องเข้มแข็งไว้นะ มีอะไรก็มาหาป้าที่บ้านได้เสมอ” น้ำเสียงปลอบโยนแว่วมาในขณะที่สายตาของ ‘เอิงเอย’ กำลังมองดูกลุ่มควันสีเทาค่อย ๆ ล่องลอยออกจากปล่องเมรุคลอไปกับเสียงดนตรีเศร้า ๆ ของวงปี่พาทย์ หยาดน้ำตาอุ่นที่พยายามเก็บกลั้นไว้จนมองทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นภาพเบลอรินหล่นอาบแก้มจนชุ่ม แสบตาแสบจมูกไปหมดแต่ไม่อาจหยุดร้องไห้ได้เลย เมื่อความจริงตรงหน้าตอกย้ำให้เธอรู้ว่าคุณย่าเอี่ยมสุข...ญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่มีอยู่ ท่านได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับแล้วจริง ๆ “ขอบคุณค่ะป้าจิตร ฮึก! ขอบคุณลุงป้าที่มาช่วยงานนะคะ ถ้าหนูต้องจัดการคนเดียว ก็ไม่รู้เลยว่าจะจัดการได้เรียบร้อยดีไหม” หญิงสาวฝืนแรงสะอื้นไว้แล้วกล่าวขอบคุณพร้อมยกมือไหว้แขกที่มาร่วมในงานศพของคุณย่า แต่การจะให้เอิงเอยทำใจได้ในเร็ววันนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อคุณย่าเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวทุกความอ้างว้างของเธอ หลังจากที่เธอสูญเสียครอบครัวไปเมื่อ 15 ปีก่อน คุณย่าใช้ความอ่อนโยนและความอารีซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเชือกที่คอยเหนี่ยวรั้งความรู้สึกโศกเศร้านั้นไว้ ทว่าตอนนี้เชือกแสนมีค่าเส้นนั้นได้ขาดสะบั้นลงแล้ว ความรู้สึกของเอิงเอยกลับสู่ความอ้างว้างอีกครั้ง เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวจริง ๆ แล้วล่ะ “น่าเห็นใจหนูเอยนะ เสียพ่อแม่และน้องชายไปตั้งแต่สิบขวบ ตอนนี้ยังมาเสียย่าเอี่ยมอีก โถ! ลูกเอ้ยน่าสงสารจริง ๆ” “ไม่รู้ว่าต่อไปบ้านหมอยาจะยังเปิดบริการต่อไหม หมู่บ้านเราอยู่ห่างจากตัวเมืองด้วยสิ ที่ผ่านมาพึ่งพาแต่ย่าเอี่ยมกับหนูเอย” “หนูเอยจะทำใจอยู่ที่ร้านหมอยาได้ไหมนะ” “ชู่ว์! ตาผินแกอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย หนูเอยยิ่งทำใจไม่ได้อยู่” “ไม่เป็นไรค่ะ หนูรู้ว่าทุกคนเป็นห่วง ส่วนเรื่องร้านหนูคงต้องขอเวลาตัดสินใจอีกทีนะคะ วันนี้หนูขอตัวกลับก่อนค่ะ” เธอตัดบทไปเพียงแค่นั้น เพราะสิ่งที่ทุกคนพูดมามันไม่ผิดไปจากที่เธอรู้สึกเลย และเธอไม่อยากให้ใครต้องมาพูดซ้ำไปซ้ำมาให้ได้ยิน แค่นี้ก็เสียใจมากแล้ว หลังเสร็จพิธีเผาศพคุณย่าและจัดการงานทุกอย่างที่วัดจนเรียบร้อยแล้ว เอิงเอยได้หอบความเศร้าโศกกลับมายัง ‘บ้านหมอยา’ ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานและบ้านพักของเธอ มองดูกระจาดยามากมายที่ช่วยท่านตากสมุนไพร ผ้าม่านผืนเก่าสีมอพลิ้วไหวเบา ๆ เพราะหน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ บนเตียงคนไข้หลังฉากกั้นด้านในสุดมีร่างของใครคนหนึ่งนอนนิ่งไม่ไหวติงมาสามเดือนกว่าแล้ว และเธอไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน รู้เพียงว่า ‘เขาถูกพามาฆ่าทิ้งบนภูพันหมอก’ เท่านั้น “อาการเป็นยังไงบ้างนะ” เสียงหวานเล็กพึมพำพลางเดินไปดูคนเจ็บ เพื่อจะเช็คว่าน้ำเกลือที่ให้ไว้หมดแล้วหรือยัง ทว่าตอนที่เดินพ้นฉากกั้นนั้นไป เอิงเอยกลับพบเพียงความว่างเปล่า เขาหายไปแล้ว...ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ! “เขาฟื้นแล้วงั้นเหรอ” หญิงสาวเอ่ยกับตัวเอง สายตามองดูเข็มน้ำเกลือที่ถูกถอดทิ้งและยังคงมีหยดน้ำเกลือไหลออกมา เดาว่าเขาอาจจะเพิ่งฟื้นคืนสติก็เป็นได้ เธอจึงรีบหมุนตัวกลับหมายจะไปตามหาคนเจ็บ เพราะมีเรื่องที่ต้องสอบถาม และแอบกังวลด้วยว่าร่างกายที่นอนไม่ได้สติมานานอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวหรือหักโหม หมับ! ทว่าในเสี้ยววินาทีที่หมุนตัวกลับมานั้น ร่างของเธอก็ถูกใครบางคนรวบกอดไว้ด้วยท่อนแขนเพียงข้างเดียว ที่คอสัมผัสได้ถึงโลหะเย็นแหลมคมอย่างเช่นมีดผ่าตัดที่ถูกกดจนปลายมันบาดผิวเลือดซึม และไม่ต้องรอให้เธอเอ่ยปากถาม น้ำเสียงห้าวติดแหบพร่าหน่อย ๆ ก็เอ่ยมา “เธอเป็นใคร พูด!” ความเกรี้ยวกราดในน้ำเสียงและแรงรัดของคนที่เพิ่งฟื้นคืนสติบ่งบอกว่าเขากำลังหวาดระแวง สงสัย และพร้อมปะทะหากหญิงสาวคนนี้อยู่ในฐานะศัตรู “คะ...คุณใจเย็น ๆ นะคะ ฉันเป็นหมอผู้ช่วยของร้านหมอยานี้ ฉันเป็นคนดูแลคุณนะ ยะ...อย่าเที่ยวเอามีดมาจ่อคอคนที่ช่วยคุณสิ” เธอละล่ำละลักบอกเขา พระเจ้า! ไม่คิดเลยว่าคนที่นอนนิ่งมาสามเดือนจะมีเรี่ยวแรงได้ถึงขนาดนี้ เจริญน้ำเกลือหรือไงนะ “หมอ?” เจ้าของร่างสูงซึ่งอยู่ในชุดผู้ป่วยพึมพำราวคนกำลังต้องการใช้ความคิด ขณะที่มือยังคงกำมีดผ่าตัดจี้คอเธอไม่ห่าง เธอเจ็บนะเนี่ย เลือดไหลออกมาขนาดนี้แล้วเขาไม่รู้จักสงสารผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ว่าจะตีลังกามองมุมไหนก็ไม่มีปัญญาทำอันตรายเขาได้เหรอ ‘เอ่อ! ยกเว้นตอนเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นะ’ ว่าแล้วภาพในคืนนั้นก็ทำให้เอิงเอยรู้สึกว่าตัวเองช่างใจคอโหดเหี้ยมไม่น้อยที่กล้าฟาดพลั่วใส่หัวเขาซ้ำจนสลบเหมือดไป แต่นั่นมันก็เพราะเธอตกใจที่จู่ ๆ มือของเขาก็พุ่งขึ้นมาจากกองดินที่พวกคนร้ายกลบฝังร่างเขาหรอกนะ ทำตัวอย่างกับผีผุดขึ้นมาจากหลุมแบบนั้นเธอก็ตกใจสิ แต่เห็นเขาลุกขึ้นมาได้แบบนี้เธอก็ค่อยเบาใจหน่อย เพราะถ้าเขานอนนิ่งไม่ไหวติงไปตลอดชีวิต เธอคงรู้สึกผิดและไม่สามารถหยุดกล่าวโทษตัวเองแน่ ๆ “ที่นี่ที่ไหน ฉันมาที่นี่ได้ยังไง” ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยถาม ว่าแต่เขาจำไม่ได้เหรอว่าตัวเองถูกใครก็ไม่รู้อุ้มมาฆ่าฝังทั้งเป็นน่ะ “คุณ...คุณปล่อยฉันก่อนได้ไหมคะ มีดมันแทงคอฉันจนเลือดไหลแล้ว สาบานเลยว่าฉันจะไม่หนี แต่คุณช่วยใจร่ม ๆ ทีนะ” หญิงสาวต่อรองเพราะเจ็บและแสบที่คอไปหมด นี่ถ้าเขากดคมมีดลงลึกกว่านี้มันได้ตัดหลอดลมส่งเธอไปเฝ้ายมบาลแล้ว “ฉันไม่ไว้ใจเธอ แต่จะเอามีดออกให้ก็ได้” เขาว่าเสียงดุ แล้วลากรั้งร่างเธอมาโยนลงที่เตียงคนไข้ ก่อนที่ไอ้ประสาทกลับนี่จะเอาสายน้ำเกลือมามัดข้อมือโยงกับข้อเท้าเธอไว้ เชื่อเลย! ระหว่างเธอกับเขาคนที่ดูอันตรายและมีพิษภัยมากกว่าคือเขานะ เธอดูเหมือนคนที่จะสู้รบปรบมือกับเขาได้รึไง ต้องมัดกันขนาดนี้เลยเหรอ มันเจ็บนะไอ้บ้าเอ้ย!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม