ตอนที่ 3
การเจอกันครั้งแรก
เสียงดังกุกกักดังตั้งแต่เช้าแต่เมลินญาน์ก็ไม่ได้สนใจเพราะเธอรู้ว่าตอนนี้แม่เลี้ยงของเธอกับลูกชายคงกำลังย้ายของออก บ้านของเธอไม่มีข้าวของมีค่าอะไร ถ้าหากสองคนนั้นอยากจะเอาไปก็คงเอาไปได้แค่ทีวีเครื่องเก่าที่ตั้งอยู่กลางห้องรับแขกเท่านั้น
หญิงสาวหยิบหูฟังมาใส่จากนั้นเปิดเพลงโปรดและนอนต่อวันนี้เธอมีนัดกับคุณยายราตรีให้ไปที่บ้านในเวลาสิบนาฬิกาและตอนนี้มันเพิ่งจะหกโมงเช้า เมลินญาน์จึงไม่รีบร้อนเท่าไหร่
เมื่อเสียงทางด้านนอกเงียบลงในเวลาแปดโมงเช้าเมลินญาน์ก็เดินออกมาจากห้องนอน หญิงสาวทำความสะอาดคร่าวๆ ก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินไปทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย ก่อนจะเดินไปยังบ้านของคุณยายราตรี
เมลินญาน์กดออดแล้วเสียงจากอินเตอร์คอมที่อยู่ตรงประตูบอกให้เธอเปิดประตูเล็กด้านข้างเข้ามาได้เลย
เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นคุณยายราตรีกับเด็กรับใช้นั่งอยู่บริเวณห้องรับแขก
“สวัสดีค่ะคุณยาย คุณยายคะวันนี้เราจะไปตลาดเลยไหมคะ” หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น
“วันนี้ยังไม่ถึงกำหนดหรอก แต่ยายอยากให้หนูมาเรียนรู้งานก่อนว่าแต่ละตลาดต้องเก็บเงินวันไหน ยังไงบ้าง เราเข้าไปในห้องทำงานกันเถอะ เดี๋ยวยายจะอธิบายทั้งหมดให้ฟัง”
เมลินญาน์เดินตามคุณยายราตรีเข้ามาในห้องทำงานที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องรับแขก
คุณยายราตรีอธิบายถึงการเข้าไปเก็บเงินที่ตลาดทั้งสามตลาดให้กับหญิงสาวฟังพร้อมทั้งยื่นสมุดบัญชีให้ในนั้นมีตัวหนังสือขยุกขยิกให้กับหญิงสาวดู
“ปกติใครเป็นคนเก็บเงินให้คุณยายคะ”
“ก็ผู้ช่วยของยาย แต่พอเขาลาออกก็ให้ปัท คนที่หนูเจอเมื่อกี้เป็นคนช่วยไปพลางๆ ก่อน”
“แล้วแบบนี้หนูจะไม่แย่งงานพี่เขาใช่ไหมคะ”
“ไม่หรอก ปัทเขาไม่ใช่คนไทยและเรียนมาน้อย แค่ช่วยจดแค่นี้ยายก็ปวดหัวแย่แล้ว ได้หนูมาช่วยยายคงสบายขึ้นมาหน่อย”
“หนูไม่รู้จะมาช่วยคุณยายหรือจะมาทำให้ยายปวดหัวเพิ่มไหม หนูเพิ่งเรียนจบหนูก็ไม่รู้ว่าหนูจะทำงานนี้ได้ดีหรือเปล่า”
“ถ้าหนูไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามยายได้ตลอดนะ การทำบัญชีของยายมันอาจจะไม่ตรงเป๊ะเหมือนที่หนูเรียนมาหรอก เอาแค่เราพอเข้าใจว่าใครจ่ายเงินเท่าไหร่ครบหรือไม่ครบแค่นั้นเอง”
“คุณยายคะแล้วตัวหนังสือแดงนี่หมายถึงคนที่ยังจ่ายเงินไม่ครบใช่มั้ยคะ”
“ใช่จ้ะ บางคนเขาก็ไม่มีเงินจ่ายค่าแผงเพราะรายได้มันไม่พอกับรายจ่าย ยายก็จะผ่อนผันให้เขาเป็นกรณีไปน่ะ” คุณยายอธิบายอย่างใจเย็น
“คุณยายให้ค้างค่าเช่านานที่สุดเท่าไหร่คะ”
“ที่ผ่านมายายก็ให้เขาผ่อนผันได้ประมาณสามเดือน มีตอนไหนก็ค่อยเอามาจ่าย”
“คุณยายใจดีมากๆ เลยนะคะแบบนี้คนทั้งตลาดคงรักคุณยายกันมาก”
“ก็มีทั้งคนที่รักและเกลียด บางคนเวลาเห็นยายก็รีบหลบหน้าไปเลยก็มี”
“แล้วคุณยายทำยังไงล่ะคะ”
“ใครอยากหลบก็หลบไป สำหรับคนพวกนี้ถ้าครบสามเดือนไม่เอาเงินมาจ่าย ยายก็ให้เขาออกจากตลาดน่ะ ยายชอบคนแบบหนูมากกว่า ไม่มีเงินก็เข้ามาพูดเข้ามาคุยบอกถึงปัญหาจะได้ช่วยกันแก้ไขไม่ใช่หลบหน้าหนี ปัญหาเรื่องเงินทองมันเป็นเรื่องสำคัญก็จริงแต่การพูดคุยกันมันก็สำคัญกว่า ยายรู้ว่าบางคนก็หน้าบางไม่กล้าพูดไม่กล้าขอความช่วยเหลือ” คุณยายราตรีพูดอย่างคนมีประสบการณ์
“ก็จริงนะคะคุณยาย”
“สำหรับหนูถ้ามีปัญหาอะไรอยากให้ยายช่วยก็ต้องรีบบอกนะเงินไม่พอใช้ก็บอกยายตรงๆ”
“ค่ะคุณยาย”
“การทำงานแบบนี้เห็นเงินสดตรงหน้าเยอะๆ มันก็ทำให้เราเกิดกิเลสได้ ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
“หนูจะไม่ทำให้คุณยายผิดหวังค่ะ ถึงหนูจะไม่มีเงินมาซื้อตึกคืนแต่ตอนนี้หนูก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้างหนูสัญญาเลยค่ะว่าเงินที่คุณยายให้หนูไปเก็บจะเข้ากระเป๋าคุณยายทุกบาททุกสตางค์เลยนะคะ” หญิงสาวให้คำสัญญาจากนั้นเธอก็นั่งดูบัญชีกับคุณยายราตรีจนกระทั่งเวลาอาหารกลางวัน
น้าประนอมแม่บ้านเข้ามาเรียกทั้งเธอและคุณยายไปทานอาหารจากนั้นก็มานั่งทำงานกันต่อจนกระทั่งเย็น
“หนูกลับบ้านไปแล้วจะทำอะไรต่อล่ะ”
“หนูว่าจะทำความสะอาดบ้านค่ะ ตอนนี้น้าวารีกับลูกของเขาย้ายออกไปแล้ว”
“เรื่องธนาคารล่ะว่ายังไงหนูยังไม่ได้ไปคุยเลยค่ะ เมื่อเช้าหนูโทรที่ธนาคารแล้วเขานัดให้หนูเข้าไปคุยบ่ายวันศุกร์นี้ค่ะ”
“มีอะไรให้ยายช่วยก็บอกนะ แล้วหนูจะไม่กินข้าวกับยายก่อนกลับบ้านเหรอลูก ยายนั่งกินข้าวคนเดียวมันเหงานะ”
“ขอบคุณนะคะคุณยายแต่เอาไว้วันหลังดีกว่าค่ะ วันนี้หนูจะไปจัดการบ้านให้เรียบร้อยค่ะ”
“แล้วจะกลับยังไงเดี๋ยวยายให้คนขับรถไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณยายบ้านของอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่เดินไปสะดวกกว่า”
“เอาอย่างงั้นก็ได้แต่ถ้าวันไหนขี้เกียจเดินก็บอกนะยายจะให้คนขับรถไปส่ง”
“ค่ะคุณยายหนูไปก่อนนะคะขอบคุณค่ะสวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมืไหว้คุณยายราตรีจากนั้นก็เดินออกจากประตูรั้วไปด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความสุขเพราะงานที่ทำวันนี้ไม่ยากเท่าไหร่
หญิงสาวเดินเหม่อลอยและไม่รู้เลยว่าตนเองเดินออกมาอยู่กลางถนนตั้งแต่ตอนไหน
ปริ๊น!...ปริ๊น!..
เสียงบีบแตรทำให้เธอรีบกระโดดหลบและล้มลงไปข้างทางเพราะความตกใจ
รถยนต์คันหรูจอดข้างทางก่อนที่ประตูฝั่งจะเปิดออก ผู้ชายสวมสูทท่าทางภูมิฐานเดินตรงมาที่เมลินญาน์ซึ่งยังนั่งอยู่กับพื้น
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เมลินญาน์รับปฏิเสธ แม้จะรู้สึกเจ็บที่ข้อศอกแต่ไม่กล้าบอกไป
“แต่ศอกเธอมีเลือดนะ”
“แค่นี้เองสบายมากค่ะ”
“ให้ฉันพาไปทำแผลไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ แผลแค่นี้เองหนูขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเสียเวลา” หญิงสาวลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ขอโทษ
ชายสวมสูทยกมือรับไหว้แทบไม่ทันเขายังไม่ทันพูดอะไรเธอก็เดินหันหลังให้เหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น