ตอนที่ 5 จิตใจสูงส่ง

1500 คำ
วันนี้อวี้เฟิ่งเข้ามาสอนเด็กกำพร้าเป็นวันสุดท้าย นางสอนตั้งแต่เช้าจรดเย็น วันนี้พิเศษกว่าทุกวันเด็กๆ ชวนนางวิ่งรอบกองไฟ ในยามค่ำคืน อีกทั้งแม่ของเด็กๆ ก็มาร่วมด้วยจนกลายเป็นการวิ่งรอบกองไฟที่สนุกสนาน อีกทั้งยังมีการขับร้องเพลงอวยพรให้อวี้เฟิ่ง อวี้เฟิ่งนางปีติยินดียิ่งนัก ก่อนจะกลับ พวกนางให้กระพรวนห้อยเพื่อขับสิ่งชั่วร้าย อวี้เฟิ่งจึงรับไว้ด้วยใจจริง เช้าวันรุ่งขึ้นเตี่ยของอวี้เฟิ่งนั่งรถม้าคันใหญ่มาส่งที่ชายแดนเมืองฉู่หวั่นเข้าเขตเมืองฉางเทียน รวมระยะการเดินทางสามวันเต็มๆ จึงต่อเข้าเมืองหลวง นางจึงเลือกทางใกล้ที่สุดเพื่อเข้าเมืองหลวงโดยมีพ่อบ้านและสาวใช้ตามมาส่ง เมื่อถึงเขตวังหลวง นางมายืนรอต่อแถวกันกับหญิงสาวบุตรีขุนนางหลายพันคน เมื่อถึงตัวของอวี้เฟิ่งนางส่งป้ายและราชโองการให้ขันทีที่ประตูก่อนเข้าวังดู ขันทีดูใบหน้าของนางเผยยิ้มเล็กน้อย แล้วคืนป้ายหยกและราชโองการให้อวี้เฟิ่ง นางจึงเดินเข้าประตูทิศเหนือของวัง ทว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องนาง ขณะย่างก้าวเข้ารั่วของพระราชฐานชั้นนอก อวี้เฟิ่งและเหล่าหญิงสาวที่ได้เข้ามาในวังประมาณสองพันคน เดินมาตรงลานกว้างที่เหล่าขันทีประมาณร้อยคนพวกนางทีละแถว อวี้เฟิ่งอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมที่นี่มีแต่ขันที ไม่มีนางใน นางจึงเอ่ยถามหญิงสาวข้างแถว “นี้ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมวังของต้าหวางมีแต่เหล่าขันที” เมื่ออวี้เฟิ่งถามจบ มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ต้าหวางไม่โปรดอิสตรีให้รับใช้ใกล้ชิด แต่เมื่อราชโองการออกมาเช่นนี้ เตี่ยของข้าจึงอยากให้ข้ามารับใช้ต้าหวางเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล” เมื่อหญิงสาวผู้นี้พูดขึ้น อวี้เฟิ่งนึกถึงเตี่ยของนางว่า กว่านางจะได้เข้ามาในวังถึงกับต้องชักแม่น้ำทั้งห้าไม่เช่นนั้นอย่าได้ย่างกายเข้ามาในวังแห่งนี้เลย เมื่อถึงตัวนาง ขันทีผู้หนึ่งมีบันทึกอยู่ที่มือ แล้วเอ่ยถามนางทันทีว่า “เจ้าแซ่อะไร” “แซ่ไป๋ ไป๋อวี้เฟิ่งเจ้าค่ะ” “มาจากเมืองใด” “เมืองฉู่หวั่นเจ้าค่ะ” “อายุ” “สิบสี่เจ้าค่ะ” ขันทีผู้นี้จึงเดินไปด้านหลังของนางแล้วถามคนอื่นต่อ หญิงสาวที่อวี้เฟิ่งถาม เมื่อครู่จึงหันมาคุยกับอวี้เฟิ่งต่อ “เจ้าแซ่ไป๋หรือ” “ใช่ ข้าแซ่ไป๋” “เตี่ยของเจ้าไป๋เจิ้นเจ้าเมืองฉู่หวั่นใช่หรือไม่” “ใช่แล้ว” “ดีจริงข้าเจอคนรู้จักแล้ว เหนียงชินของข้าก็แซ่ไป๋ ข้าหวังเม่ยเหนียง บุตรของหวังเฉาเฉิน เรียกข้าว่าเม่ยเหนียงดีกว่า” “เรียกข้าว่าอวี้เฟิ่งแล้วกัน” “ถ้าเราได้อยู่ต่อคงได้เจอกัน” วันต่อมา ถูกคัดเลือกเหลือห้าร้อยคน คนที่ไม่ได้ถูกเลือกก็โดนส่งกลับบ้านทันที วันนี้เหล่าขันทีต่างมาวัดมือและเท้าของพวกนาง วัดเสร็จก็ให้พวกนางเดินไปเดินมาหลายรอบ อวี้เฟิ่งบนในใจว่า เดินไปก็เดินมา เดินมาก็เดินไป เวียนหัวมา ก็เวียนหัวไป สามวันต่อมาอวี้เฟิ่งถูกเข้าวังอีกครั้งพร้อมกับหญิงสาวทั้งหกคน อวี้เฟิ่งจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่านางมีศัตรูที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับนางมาตั้งแต่รอบแรกคือ จื่อหลาน กับผิงฮัว พวกนางสองคนไม่ค่อยชอบอวี้เฟิ่งนัก นางสองคนต่างริษยาในความรู้และความงามของนาง เช่นการตอบปัญหาเรื่องการปกครอง อวี้เฟิ่งตอบได้ดียิ่ง ว่าแต่มีคนเกลียดก็ต้องมีคนที่เคียงข้างอยู่ด้วยกับเสมอมาคือ หวังเม่ยเหนียง รู้จักตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา คนที่สองอิงเหม่ยฮัว ผู้ชอบกิน มีอะไรนางก็กินหมดแทบไม่เหลือ จนอวี้เฟิ่งตั้งฉายากูเหนียงจอมเขมือบ และคนที่สามจ้าวหลิวเซียว ผู้ชอบเล่านิทาน ทุกสิ่งทุกอย่างนางจับมาเล่าได้หมด ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ จนกระทั่งผีสางนางไม้นางเล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้ อีกทั้งนางเป็นเม่ยเมยขององครักษ์จ้าวเสิ่น แต่นางไม่ได้ใช้เส้นของเกอเกอของนางแต่อย่างใด ขณะที่อวี้เฟิ่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเม่ยเหนียงที่นั่งอยู่ด้านข้างอวี้เฟิ่งจึงถามขึ้นมา “อวี้เฟิ่งหมูในเตาสุกแล้ว เจ้ากินได้ แล้วก่อนที่เหม่ยฮัวจะกินหมดเสียก่อน” เมื่อเม่ยเหนียงพูดเช่นนี้ เหม่ยฮัวรีบคีบหมูไปต่อหน้าต่อตาของอวี้เฟิ่งอย่างหน้าตาเฉย ขณะที่หลิวเซียงผู้ชำนาญการปิ้งย่างวางหมูเนื้อบางลงไปในตะแกรงเหล็กปิ้งบนเตาถ่าน “ไม่ต้องแย่งกันได้กินทุกคน” จ้าวหลิวเซียงเอ่ยบอก อวี้เฟิ่งหลิวเซียงเอ่ยบอกอวี้เฟิ่ง “จะว่าไปพวกเราเข้าวังมาหลายวัน เหล่าขันทีสอนแต่กฎระเบียบ แต่พวกเรายังไม่ได้ถวายงานเสียที” อวี้เฟิ่งกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย เหตุใดต้าหวางยังไม่เรียกไปรับใช้พระองค์เสียที “นั้นสิ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเห็นว่ากันว่าต้าหวางทรงจะมาเลือกด้วยพระองค์เอง” เหม่ยฮัวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแจ่มใส จึงคีบหมูบนเตาถ่านมากินอีก “ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าถึงอยากมาเป็นนางกำนัล?” อวี้เฟิ่งเอ่ยถามพวกนาง เม่ยเหนียงเอ่ยขึ้นมาขณะที่กินปลาหมดปลาแล้ว “เตี่ยของข้า อยากให้ข้ามาอยู่ในวังเพราะเขาอยากให้ข้ารับใช้ต้าหวาง อีกทั้งเป็นหน้าเป็นตาของวงศ์ตระกูล แล้วเจ้าเล่าหลิวเซียว” เม่ยเหนียงเอ่ยถามจ้าวหลิวเซียวที่กำลังเอาเนื้อใส่ในเตาปิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียเหน็บแนม “จริงหรือ เม่ยเหนียงเจ้าเข้าวังมาเพราะเกอเกอของข้า เจ้าจะได้เห็นเขาทุกๆ วัน” “และแล้วความจริงก็ปรากฏ” เหม่ยฮัวและอวี้เฟิ่งพูดพร้อมกัน เม่ยเหนียงถึงกับอายอยากแทรกแผ่นดินหนี เม่ยเหนียงปฏิเสธขึ้นทันที “เปล่าเสียหน่อย เขากับข้าแค่คนรู้จัก รู้จักกันเฉยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น พวกเจ้าทำไมมองหน้าข้าเช่นนี้” เม่ยเหนียงมองหน้าพวกนางที่กำลังมองตนเหมือนนางเป็นนักโทษ ที่กำลังหาความจริงจากปากของนาง “อย่ามองข้าเช่นนี้กันสิ เหม่ยฮัวแล้วเจ้าเล่า เข้าวังเพราะอะไร” เม่ยเหนียงเปลี่ยนเรื่องพูดทันที เหม่ยฮัวที่กำลังกินไก่ปิ้งเอ่ยบอก “เรื่องนี้ล่ะ ที่เข้ามาอยู่ในวัง เตี่ยข้าบอกว่าข้ากินเถอะทุกวันกลัวบ้านจะยากจน จนไม่มีอะไรกิน จึงให้ข้าเข้ามาอยู่ในวัง อีกทั้งข้ายังได้เจอผู้ชายใบหน้างดงามเจริญตาดีใช่ไหมล่ะ” เหม่ยฮัวจบ แล้วกินต่อ “มาอยู่ในวังเพราะเรื่องกินและผู้ชาย” อวี้เฟิ่งเอ่ยแล้วยิ้ม อวี้เฟิ่งจึงเอ่ยถามหลิวเซียงทันที “หลิวเซียงแล้วเจ้าเล่า อยากมาอยู่ในวังเพราะอะไร” เมื่ออวี้เฟิ่งถาม หลิวเซียงจึงเอ่ยตอบ “ข้าโดนไล่มาอยู่ในวังเพราะข้าหนีการแต่งงานมา เตี่ยอยากให้แต่งงาน ซึ่งข้าไม่ได้ชอบเขาเลย เพราะหน้ายังไม่เคยเห็น นิสัยของเขาข้าก็ไม่รู้ ข้าคิดว่าการเข้าวังคือทางรอดที่ดีที่สุด เมื่อหมดวาระต้าหวางก็ประทานคู่ให้สักคน แล้วเจ้าเล่าอวี้เฟิ่ง ทำไมเจ้าจึงอยากเข้ามาอยู่ในวัง” เมื่อหลิวเซียงเอ่ยถามเช่นนี้ นางอยากจะบอกว่าสมัครใจมาเอง มาอยู่รับใช้ใกล้ชิดต้าหวาง อีกทั้งนางชอบต้าหวางตั้งแต่จำความได้ จากที่เตี่ยเคยเล่าบ้างหรือตำราเรื่องราวการครองราชย์ของต้าหวาง อวี้เฟิ่งเงียบไปเหม่ยฮัวจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เหตุใดอวี้เฟิ่งจึงเงียบไป “อวี้เฟิ่งเหตุใดเจ้าจึงเงียบไป มีอะไรไม่สบายใจ” “ข้าเข้าวังมาเพราะข้าชอบตำราของหอฉีหนาน ได้ยินมาว่าตำราต่างแดนเก็บไว้อยู่ในหอฉีหนานจนหมดสิ้น ข้าจึงอยากเข้ามาศึกษา อีกทั้งยังได้รับใช้ต้าหวางถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดของข้า” เมื่ออวี้เฟิ่งกล่าวจบ นางได้รับเสียงปรบมือจากพวกนางทั้งสาม เม่ยเหนียงจึงเอ่ยขึ้นด้วยความนับถือ “จิตใจเจ้าสูงส่งยิ่งนักอวี้เฟิ่ง สักวันเจ้าต้องได้ฟูจวินที่ดีและเพียบพร้อมเป็นแน่” “ขอให้จริงตามที่เจ้าว่า” อวี้เฟิ่งเผยยิ้มแหยๆ แล้วบรรจงกินต่อไป อย่าลืมเม้นท์และมอบหัวใจ เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม