ตอนที่ 8
อุบัติเหตุ
ฉันที่นั่งนิ่งเงียบมาจนถึงบ้านโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับพี่ธันวาอีกแม้แต่คำเดียว ก่อนจะเดินขึ้นห้องมาเก็บเสื้อผ้าด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้
“ถ้าพี่รู้ว่าไอ้ประธานบริษัทคือคนเดียวกับไอ้คนที่หักอกม่านเมื่อตอนนั้น.. จะยังเปิดใจรับแบบนี้ไหมนะ”
“ตอนหากลับไม่เจอ” ฉันหงายหลังลงนอนก่อนจะหยิบไอแพดมาตรวจที่อยู่ของมือถือ เห็นว่ามันอยู่ที่ตำแหน่งของคอนโดปิติภัทร นั่นยิ่งทำให้งุนงงเข้าไปใหญ่
เมื่อรู้ว่ามือถือไม่ได้หายไปไหนจึงปิดหน้าจอแล้วนอนแผ่หลาอีกครั้ง ดวงตาจ้องมองเพดานก่อนจะยกแขนของตัวเองมามองรอยจ้ำสีแดงตามเรียวแขน ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำนั่นยิ่งทำให้ต้องถอนหายใจเข้าไปอีก
เมื่อนอนแผ่หลาอย่างสบายอารมณ์ได้ครู่ใหญ่ ก็ดันตัวเองให้ไปหยิบเสื้อผ้าเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกระโปรงสั้นเข้าไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว ก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าแล้ววิ่งไปที่รถคันหรู
เท้าเหยียบคันเร่งจนแทบมิดไมล์ ดีหน่อยที่ตอนนี้เวลาเกือบจะตีสามแล้วทำใบบนท้องถนนโล่งมากเป็นพิเศษใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงโรงพยาบาล ฉันเดินเข้ามาในห้องกวาดสายตามองดูลูกชายที่ใบหน้าหายบวมจนกลับมาเป็นปกติแล้ว ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟาเอนตัวลงก่อนจะหลับตาจนหลับสนิท
“คุณม่านฟ้าคะ..”
ดวงตาเปิดขึ้นมาด้วยความหนักอึ้งงัวเงียมามองพี่ชบาที่ยืนถือแก้วน้ำและแก้วยาจ้องมองหน้าอยู่ ทำให้ฉันตกใจเด้งตัวขึ้นไปมองลูกชายอย่างอัตโนมัติแต่กลับเห็นว่าเขานั้นนอนหลับอยู่ในท่าปกติทำให้ฉันหันมามองพี่ชบาอีกครั้ง
“ใครเป็นอะไรคะ”
“คุณม่านฟ้าตัวร้อนมากเลยนะคะ นี่พี่ไปขอยาจากพี่พยาบาลมาให้” ฉันใช้มือตัวเองอังหน้าผากตัวเองก่อนจะพยักหน้าแล้วยื่นมือไปรับยามากินอย่างว่าง่าย
“ร้อนนิดหน่อย ไม่ต้องตกใจไปค่ะ” ฉันพูดยิ้ม ๆ กับพี่เลี้ยงที่อยู่ด้วยกันมานานเพื่อให้พี่ชบาสบายใจ แต่พอรู้ว่าตัวเองตัวร้อนไอ้ความรู้สึกปวดหัวและมึนงงก็แล่นเข้ามาราวกับกำลังรอคอยเวลานี้ มือข้างซ้ายยกขึ้นมาดูเวลาก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกเล็กน้อย
“พี่ชบา~ ตาหนูเป็นไงบ้างคะ ม่านนอนหลับสนิทเลยมีหมอมาดูหรือยังคะ” แม้ว่าจะมีคำถามมากมายแต่ตอนนี้เหมือนโลกหมุนอย่างหนักไปหมด ความรู้สึกที่อยากนอนตลอดเวลานี่มันยังไงกัน หรือว่าจะไม่สบายจริง ๆ
“คุณหนูอาการดีขึ้นมากแล้วค่ะ รอคุณหมอมาตรวจช่วงเช้าถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็กลับบ้านได้ค่ะ”
“งานวันนี้ของม่านสำคัญมากหยุดไม่ได้.. พี่ชบาโทรหาพี่ธันวานะคะรายนั้นน่าจะว่าง”
“ได้ค่ะ แต่ว่าคุณม่านจะไปทำงานจริงหรอคะ”
“ม่านไปไหวค่ะ แต่ตอนนี้ขอนอนอีกแป๊บหนึ่งนะคะ”
ฉันนอนหลับไปอีกนานแค่ไหนก็จำไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็หน้าตั้งมาล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะรีบร้อนหอบหิ้วข้าวของลงมาขึ้นรถ สองเท้าที่เหยียบคันเร่งจนแทบมิดเพื่อฝ่าความรถติดจนมาถึงบริษัทในตอนที่เลยเวลามานิดหน่อย ทำให้ต้องรีบหอบเอกสารที่จำเป็นด้วยท่าทางกระหืดกระหอบมายังโต๊ะทำงานก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารที่ต้องใช้เดินเข้าไปในห้องของประธาน
ก๊อก! ก๊อก!
“เชิญ” ฉันเปิดประตูเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางสง่าราวพญาหงส์ผิดจากคนที่กระเสือกกระสนเมื่อครู่เสียสนิท เดินไปวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ก่อนจะสะดุดกับกระเป๋าสะพายที่ถูกวางไว้อย่างจงใจ
“นั่นมันของฉันนี่คะ” ฉันเอื้อมมือไปหวังจะหยิบกระเป๋าของตัวเอง แต่ต้องชะงักเพราะมือของปิติภัทรนั้นไวกว่าก้าวหนึ่ง มือหนาคว้าหมับไปที่กระเป๋าก่อนจะยื่นมันมาโชว์ตรงหน้าห้อยต่องแต่งด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ.. แล้วเขาไม่พอใจอะไรกัน
“อยากได้คืนหรอ”
“ก็มันของฉันก็ต้องอยากได้สิ”
“งั้นง่ายมาก แค่เธอตอบคำถามฉันมาว่า ที่ไอ้หน้าหล่อบอกว่าลูกงอแงนี่ลูกคน ลูกหมา หรือลูกแมว!”
ฉันชะงักนิ่งเพราะไม่คิดว่าคนเขาจะแอบดูมือถือ แต่ฉันมั่นใจว่ามือถือฉันนั้นล็อกไว้อย่างดี เขาอาจจะเห็นแค่ข้อความบางส่วนเท่านั้น แต่แล้วมันยังไงล่ะ จะลูกคน ลูกหมา ลูกแมว แล้วเขามีสิทธิ์อะไร
“ฉันว่าเรื่องนี้มันเรื่องส่วนตัวนะคะ ไม่เกี่ยวกับงานไม่สะดวกตอบ”
“หึ!ไม่สะดวกตอบ หรือไม่อยากตอบ”
“แล้วมันต่างกันยังไงคะ”
ฉันตะแคงหน้ากวนประสาทเลิกคิ้วถามเขาอย่างคนยั่วโมโห ปิติภัทรขบกรามแน่นจนเห็นได้ชัด เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางน่าเกรงขาม แต่มีหรือที่คนอย่างฉันจะเกรงกลัวไม่ใช่ว่าไม่รู้จักผู้ชายคนนี้สักหน่อย
“ทำไมคะ”
“ตอบมา! เธอมีลูกแล้วหรอ”
“ใช่ค่ะ! ฉันมีลูกแล้ว”
“กับไอ้หน้าหล่อคนนั้นหรอ”
“คุณละลาบละล้วงเกินไปแล้วนะคะ”
“ดีนิ! นอกใจฉันไปคบกับมันแถมยังมีลูกด้วยกัน! ดี! ดีมาก!” เขาก้าวเข้ามาประชิดตัวด้วยความรวดเร็วก่อนจะใช้ฝ่ามือหนาคว้าที่ท่อนแขนของฉันนั้นเอาไว้อย่างแรง
“คุณพูดอะไรเนี่ย! ใครกันแน่ที่นอกใจ ไปคิดให้ดีฉันหรือคุณ!” ฉันทำได้เพียงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีสะบัดจนแขนหลุดจากฝ่ามือของเขา แต่เหมือนการกระทำนี้จะยิ่งทำให้เขานั้นโมโหเพิ่มขึ้นไปอีกไม่น้อย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เราทั้งสองมองหน้ากันนิ่ง ก่อนที่ฉันจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าของตัวเองแล้วถอยหลังออกมาสองสามก้าว
“เชิญ” เขาเอ่ยด้วยเสียงที่ดังกังวานอย่างคนที่ยังควบคุมสติอารมณ์ไม่อยู่ ก่อนจะกลับไปนั่งลงดังเดิม
ทันทีที่ประตูนั้นเปิดออก เห็นเป็นร่างบางน่าทะนุถนอมของน้ำตาลที่เดินมากับผู้ช่วยคนหนึ่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอส่งยิ้มหวานให้ฉันและฉันก็ส่งยิ้มตอบเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินไปหาปิติภัทร
“พี่เธียร”
“น้ำตาลมาได้ยังไงครับ วันนี้พี่มีออกไปดูหน้างานน่าจะไม่มีเวลาอยู่คุยกับเรานะ”
“อ่าวหรอคะ.. ถ้าอย่างนั้นน้ำตาลขอไปด้วยได้ไหมคะ”
“ร้อนมากนะครับ ผิวสวย ๆ ของน้องน้ำตาลจะเสียเอา”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงอนาคตน้ำตาลก็ต้องได้แต่งงานกับพี่เธียรอยู่แล้ว ไปเรียนรู้งานบ้างก็ไม่มีปัญหานี่คะ”
“เอ่อ..”
“ไม่รู้แหละ.. น้ำตาลไปด้วยคนนะคะ” ฉันมองทั้งสองที่คุยกันด้วยท่าทีที่สนิทสนม แม้ในใจจะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เขาพยักหน้ารับเธอก่อนจะส่งยิ้มหวานให้แล้วเบือนหน้ามามองที่ฉันด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“เตรียมของให้คุณน้ำตาลเพิ่มด้วย”
“ค่ะ”
“พี่มนต์ไปช่วยพี่ม่านฟ้าเถอะค่ะ” ฉันรับปากเขาก่อนจะขอตัวหันหลังเตรียมจะเดินออกมาจัดการงานของตัวเอง ข้างหลังนั้นก็ตามมาด้วยผู้ช่วยของเธอที่มีท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม
แต่ทันทีที่เราทั้งสองเดินพ้นประตูห้องทำงานของประธานอย่างเขาออกมาได้ ท่าทางของผู้ช่วยคนนี้ก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้า เธอยืนกอดอกใช้สายตาหยามเหยียดกวาดมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้ารากับคนที่กำลังประเมินผลงานอะไรอยู่อย่างนั้น
“นี่นะหรอ คนสวยที่ใคร ๆ ต่างพูดถึง”
“ว่าไงนะคะ”
“หูหนวกหรอถึงไม่ได้ยิน ได้ยินมานานละว่าเลขาของว่าที่สามีคุณหนูน้ำตาลสวยนักสวยหนา พอมาเจอก็แค่..”
“เราไม่ได้รู้จักกัน แต่อย่างน้อยคำว่ามารยาทก็ควรสะกดเป็นสักหน่อยนะคะ” ฉันส่ายหน้าส่งให้ผู้หญิงคนนี้ด้วยสายตาที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าเอือมระอา ก่อนจะเดินมานั่งโต๊ะทำงานดังเดิม
“อ่อ! ไม่มีงานอะไรให้ทำนะคะ อยากจะทำอะไรก็ไปทำเถอะค่ะ” ฉันหันไปพูดกับผู้ช่วยของคุณหนูน้ำตาลด้วยน้ำเสียงและสายตาที่มั่นใจว่าน่าหมั่นไส้ไม่น้อย เหลือบเห็นทางหางตาว่าเธอนั้นมีอาการไม่พอใจอยู่มาก ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดเดินไปนั่งที่โซฟาไม่ห่างกันนัก
ไซต์งาน
ทันทีที่ประตูรถตู้สีดำสนิทเปิดออก ความร้อนจากด้านนอกได้ตีปะทะเข้ามากระทบผิวจนรู้สึกได้ว่าขนลุกขนชัน สองเท้าของฉันเดินลงจากรถใช้สายตากวาดมองพื้นที่โล่งกว้างที่มองไปที่ไกล ๆ มีส่วนที่กำลังปลูกสร้าง ฉันหยิบร่มขึ้นมากางออกก่อนจะยื่นไปบังแดดให้กับคุณปิติภัทรตามความเคยชิน
“คุณหนูบอกว่าอยากลองกางร่มให้คุณปิติภัทรใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นใช้ร่มของคุณม่านฟ้าก็ดีนะคะใหญ่ดี” สิ้นสุดคำพูดของผู้ช่วยคนนี้ มือของเธอได้เอื้อมมากระชากร่มคันนี้ออกไปจากมืออย่างไร้มารยาท ฉันมองหน้าเธอด้วยตาขวางก่อนจะหันไปมองที่เขาอย่างต้องการความเห็น
สายตาที่เหลือบมามองอย่างไม่แสดงท่าทีใด ก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบร่มไปจากมือของผู้ช่วยคนนี้แล้วไปกางให้กับคุณหนูน้ำตาลแทนทำให้ฉันรู้สึกไม่พอใจอยู่ไม่น้อย
“เดี๋ยวผมกางให้ดีกว่า น้องน้ำตาลจะได้ไม่เมื่อย” ฉันเบะปากมองบนให้กับท่าทางของผู้ชายคนนี้อย่างลืมตัว ก่อนจะหันไปมองที่ผู้ช่วยคนนั้นเพราะก่อนมานั้นจำได้ว่าหยิบร่มมาอีกคัน
“งั้นฉันไปกับคุณ” ผู้หญิงคนนี้ยิ้มออกมาด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท ก่อนจะเปิดรถตู้ไปหยิบหมวกใบโตออกมาสวม
“อุ้ย! เหมือนว่าร่มที่เธอเตรียมให้ ฉันจะลืมไว้ที่บริษัทน่ะ.. หมวกมีใบเดียวสะด้วยสิ ทำไงดี” สาบานได้ว่าถ้าตรงหน้านี้ไม่ผู้ช่วยของว่าที่เมียในอนาคตของบอสที่ฉันต้องทะนุถนอมเป็นอย่างดีละก็ ได้มีเลือดตกยางออกหัวแตกขาหักกันไปข้างแน่นอน
“ไม่เป็นไรค่ะ แดดแค่นี้ฉันสบายมาก” ฉันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังออกมาลอดไรฟัน
“งั้นก็ดีค่ะ” พวกเราพากันเดินตามท่านประธานและผู้หญิงของเขามาติด ๆ
“มาแล้ว..” ฉันหันไปมองตามสายตาของคุณปิติภัทรที่เอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะเห็นว่ามีรถกอล์ฟไฟฟ้าสองคันวิ่งมาจอดด้านหน้าของพวกเรา ร่มที่เขาเคยกางให้คุณหนูหุบลงอย่างรวดเร็วก่อนจะหันหลังมายื่นให้
ฉันเอื้อมมือไปรับมานิ่ง ๆ ก่อนจะเดินไปใกล้เพราะคิดว่าจะต้องไปคันเดียวกับเขา แต่กลับต้องชะงักเมื่อปิติภัทรนั้นเชิญให้น้องน้ำตาลขึ้นไปแทน
ฉันมองทั้งสองที่ขึ้นรถจนเรียบร้อยแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็วด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ ก่อนจะก้าวถอยหลังมาขึ้นรถอีกคันแทน
“น่าจะรู้นะว่าตัวเองอยู่ตำแหน่งไหน.. คุณปิติภัทรเขาก็ต้องไปกับคุณหนูอยู่แล้วปะ”
ฉันใช้หางตามองผู้ช่วยที่นั่งไคว่ห้างนั่งอยู่บนรถด้วยท่าทีของคนที่ไม่คิดจะแบ่งพื้นที่ให้ใครนั่ง ฉันเหลือบสายตาไปมองพี่คนงานที่ขับรถแล้วหันมายิ้มให้ฉันแห้ง ๆ แล้วฉันเองก็ทำได้แค่ส่งยิ้มให้
สองเท้าก้าวเดินขึ้นมาบนรถก่อนจะนั่งแทรกลงตรงที่ว่างที่คับแคบนั้น ก่อนจะจงใจขยับสะโพกไปชนผู้ช่วยคนนี้อย่างแรงจนเธอนั้นโดนกระแทกเกือบตกลงไปจากรถ
“อุ้ย! ขอโทษทีนะพอดีที่มันแคบ!” ฉันส่งสายตาเยาะเย้ยใส่เธอ และเป็นจังหวะเดียวกับที่รถนั้นเคลื่อนตัวออกจากที่พอดี เราทั้งสองขยับออกห่างจากกันอย่างคนที่ไม่ถูกชะตาก่อนจะสะบัดหน้าหันมองด้านนอกไปคนละฝั่ง เพียงไม่ถึงสิบห้านาทีรถของเราก็มาจอดที่หน้าไซต์งานเป็นที่เรียบร้อย
“หมวกครับหัวหน้า” ฉันเดินลงจากรถเป็นจังหวะที่หัวหน้าคนงานนั้นรับหมวกเซฟตี้มายื่นให้ปิติภัทรและคุณหนูน้ำตาล ก่อนที่พวกเขานั้นจะเดินมายื่นให้ฉันและผู้ช่วยด้านข้างคนละใบ
“งานนี้ต้องขึ้นไปชั้นสาม น้องน้ำตาลรออยู่ข้างล่างดีกว่าไหม”
“ไม่ค่ะ น้ำตาลอยากขึ้นไปด้วย”
“โอเคครับ”
ฉันยืนหอบเอกสารมองทั้งสองที่คุยกันอย่างสนิทสนมด้วยท่าทางเรียบนิ่ง แสงแดดที่เคยอึมครึมเริ่มแรงขึ้นจนแสบตา ฉันเดินตามทั้งสองเข้ามายังเขตก่อสร้าง
เริ่มจดรายละเอียดตามที่ปิติภัทรร่ายยาวอย่างเร่งรีบ แต่ก็เหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันที่ดีสำหรับคนอย่างม่านฟ้าสักเท่าไหร่ ทันทีที่พวกเราขึ้นมาชั้นสามของอาคาร
เมื่อสิ้นสุดพื้นที่ที่ช่วยบดบังแสงแดดแล้ว ความรู้สึกมึนหัวและตาลายก็ย่างกรายเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉันขยี้ตาตัวเองอยู่หลายรอบมองเห็นทั้งสามคนและหัวหน้าคนงานเดินไกลออกไป
สองเท้าของฉันเร่งก้าวเข้าไปใกล้พวกเขาอย่างเร่งรีบ แต่ยิ่งเข้าใกล้พวกเขามากเท่าไหร่ กลับรู้สึกว่าตัวเองหูอื้อมากเท่านั้น สายตาที่มองผ่านแสงแดดเริ่มมองไม่ชัด แต่ไม่มีใครหันกลับมามองฉันสักคน
สองเท้าพยายามพยุงตัวเองให้เดินตามพวกเขาไปยังทางลงไปชั้นล่างอย่างทุลักทุเล แต่เมื่อสายตามองเห็นความสูงของบันไดนั่นกลับเป็นภาพสุดท้ายที่ฉันมองเห็น
“ม่านฟ้า! ระวัง!”