ตอนที่ 7 คิดให้ดีก่อน! ถ้าจะโกหก.. ไม่ต้องพูด!

1793 คำ
ตอนที่ 7 คิดให้ดีก่อน! ถ้าจะโกหก.. ไม่ต้องพูด! เธอไม่รู้ว่าเพราะเขามอมเมาหรือว่าตัวเธอเองก็ต้องการ ร่างบางเองก็ขยับไปตามจังหวะรักที่เขามอบให้ จากเชื่องช้าเป็นขยับเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เนินอกสองเต้าของเธอยังคงถูกริมฝีปากร้อนครอบครองอย่างไม่ห่าง สลับดูดเม้มไปมาราวกับเด็กน้อยที่กำลังหิวกระหาย “อื้อ~ ส.. เสียว” มือทั้งสองข้างของเธอขยับกำเส้นผมของเขาพร้อมทั้งดึงทึ้งอย่างต้องการหาที่ระบาย “จะแตกแล้ว.. หนูเร็วหน่อย” ทันทีที่เสียงเร่งเร้าของผู้ชายด้านล่างดังขึ้นนั่นทำให้สะโพกกลมได้รูปของเธอเร่งไปตามจังหวะที่เขามอบให้ สร้างเสียงครางของความเสียวกระสันดังไปทั่วห้อง “อื้อ!!” *///* ความรู้สึกเย็นเฉียบของเครื่องปรับอากาศที่กระทบเข้ากับร่างกายทำให้ฉันลืมตาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อเปลือกตาที่แสนจะหนักหน่วงนี้เปิดขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือความมืดภายในห้องนี้มีเพียงแสงสว่างจากในห้องน้ำที่ส่องเข้ามาเล็กน้อย พร้อมกับเสียงน้ำไหลจากฝักบัวที่ตกกระทบพื้น ไม่ใช่ว่าฉันจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะจำได้นั่นจึงทำให้รู้สึกว่าควรจะย้ายตัวเองออกไปจากที่นี่ด้วยความรวดเร็ว สายตาพยายามโฟกัสภายในห้องเป็นอย่างดีก่อนจะขยับสองเท้าเพื่อก้าวลงจากเตียงนอน สองมือก้มลงหยิบเศษซากเสื้อผ้าที่พอจะเก็บได้ค่อย ๆ ย่องออกจากห้องอย่างรวดเร็ว และเมื่อออกมาด้านนอกพบกับแสงสว่างของห้องโถง ทำให้เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าของตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะสวมใส่ออกไปได้เลยแม้แต่น้อย มันทั้งฉีกขาดจนคล้ายกับจะเป็นเศษซากของผ้าขี้ริ้วก็ว่าได้ ก่อนที่สายตาจะไปโฟกัสที่เสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวของเขาที่ถูกโยนทิ้งไว้ ฉันยกมือของตัวเองลูบใบหน้าตัวเองทันทีที่ภาพการกระทำของตัวเองวิ่งเข้ามาในสมอง ก่อนจะสะบัดหน้าแล้ววิ่งไปหยิบเสื้อผ้าพวกนั้นมาสวมอย่างรวดเร็ว “กระเป๋าล่ะ.. มือถือล่ะ” ฉันเดินวนหากระเป๋าสะพายอยู่เพียงไม่กี่นาที แต่เมื่อหาอย่างไรก็ไม่พบนั่นทำให้รู้สึกว่าเป็นลางที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ ก่อนจะพบว่าในกระเป๋ากางเกงของปิติภัทรนั้นมีกระเป๋าเงินอยู่ “ยืมก่อนแล้วกัน” สองมือเปิดดูในกระเป๋าพบว่ามีธนบัตรสีม่วงนอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋าตังค์แบรนด์ดังราคาหลายหมื่นเพียงหนึ่งใบเท่านั้น นั่นทำทำให้ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้หยิบมันออกมายืนมองนิ่ง ๆ ก่อนจะวางกระเป๋าเงินของเขาเอาไว้บนโซฟาแล้วรีบสวมรองเท้าส้นสูงห้านิ้วของตัวเองวิ่งออกไปจากห้องด้วยความเร็วแสง “หึ! ยังมีแรงวิ่งหนีอยู่อีกหรอ” ผมกวาดตามองหาร่างบางของม่านฟ้าที่ปรากฏว่าบนเตียงนั้นว่างเปล่า ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดผมขยี้ผมตัวเองเบา ๆ พร้อมทั้งเดินออกมาเก็บเศษซากเสื้อผ้าที่เหลือเพียงเสื้อผ้าของเธออย่างไม่รีบร้อน หยิบกระเป๋าเงินที่วางไว้ที่โซฟาออกมาเปิดดูก่อนจะส่ายหัวพร้อมยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ถ้ารู้ว่าเธอจะหยิบเงินไป.. รู้งี้กดเงินสดมาไว้ให้มากหน่อย” อ๊อด~ อ๊อด~ ผมเดินไปเปิดประตูเพราะเดิมทีแล้วคิดว่าเงินแค่ห้าร้อย น่าจะไม่พอให้ม่านฟ้าเรียกรถกลับบ้าน แต่เมื่อเปิดออกเห็นว่าเป็นเดชาคนขับรถที่ยืนถือกระเป๋าสะพายที่ดูคุ้นตาอยู่ “อะไร” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เดชานั้นยื่นกระเป๋าใบนั้นส่งมาให้ “ของเลขาคนสวยของนายครับ อ่อ.. เมื่อกี้ผมเจอเธอวิ่งไปเรียกรถแท็กซี่ด้วย” “อืม.. ปล่อยเธอไป” “แต่ว่าสภาพเธอ..” “ไม่มีอะไร เอาของมาแล้วนายก็ไปพักผ่อนเถอะ” “ครับ” ติ๊ง! ผมถือวิสาสะล้วงหยิบมือถือที่แสนจะหวงนักหวงหนาของม่านฟ้าออกมาดู พลิกหน้าจออ่านข้อความก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันนิ่ง ความรู้สึกที่เย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามันเป็นเช่นนี้นี่เอง ‘อยู่ไหนทำไมยังไม่กลับบ้าน ลูกงอแงไม่เอาใครเลย’ “ม่านฟ้า.. นี่เธอกับไอ้หน้าหล่อนี่มีลูกแล้วยังงั้นหรอ!” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้รู้สึกยังไง แต่ที่รู้คือมือข้างนั้นกำถือมือถือของเธอเอาไว้แน่นราวกับจะทำให้มันแตกละเอียดคามือ คนที่ทิ้งผมไปมีชู้ในตอนนั้น ตอนนี้เธอกลับกำลังมีครอบครัวที่ดีอย่างนั้นหรอ มันยุติธรรมแล้วจริง ๆ หรอ “เท่าไหร่คะ” “498บาทครับ” “นี่ค่ะ.. ไม่ต้องทอน” ฉันยื่นธนบัตรใบนั้นให้เขาก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ให้ลุงที่ขับแท็กซี่แล้วรีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว สองเท้าก้าวไปตามทางที่ไม่ได้รู้สึกเปลี่ยวเท่าไหร่นัก เดินเพียงไม่นานก็เข้ามาในหมู่บ้านจนมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ฉันอาศัยมาตั้งแต่เด็ก หากฉันมีเงินมากกว่านี้ฉันจะนั่งแท็กซี่กลับคอนโดไม่ยอมกลับมาบ้านด้วยสภาพนี้เป็นแน่ แต่เพราะนี่ฉันมีติดตัวแค่ห้าร้อยนั่งได้เต็มที่ก็แค่กลับบ้านแหละนะ “ป่านนี้ตาหนูกับพี่ธันวาน่าจะนอนแล้วละมั้ง” ฉันชะเง้อมองในบ้านก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูแล้วเตรียมย่องไปเข้าทางหลังบ้าน กลับต้องสะดุ้งโหยงเมื่อไฟทั่วทั้งบ้านพร้อมใจกันติดพึ่บพั่บพร้อมประตูบ้านที่ถูกผลักออกมาอย่างรวดเร็ว “อ่าว! ไอ้ม่านมาแล้วมัวทำอะไร ตาหนูไข้ขึ้นแถมอ้วกไปหลายรอบไปโรงพยาบาลเร็ว” ฉันรีบวิ่งไปรับลูกชายมาอุ้มไว้ ปล่อยให้พี่ธันวาวิ่งไปเอารถทันที “เกิดอะไรขึ้นคะพี่ชบา” “จู่ ๆ คุณหนูก็อาเจียนแล้วก็ไข้ขึ้นค่ะ พี่ไม่ได้ทำอาหารอะไรที่ผิดไปจากเดิมเลยนะคะ” ฉันมองหน้าพี่เลี้ยงที่บัดนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ก่อนจะสลับมองพี่ชายที่ออกรถมาจอดรอเป็นที่เรียบร้อย สองเท้าของฉันรีบวิ่งไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว โรงพยาบาล รถเข็นของโรงพยาบาลพาลูกชายเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ความรู้สึกที่คับแน่นในอกด้วยความเป็นห่วงนี่ทำให้ฉันรู้สึกปวดหนึบในใจไปหมด พี่ธันวาเองก็รีบวิ่งมาหาฉันก่อนที่พี่ชายของฉันจะหยุดยืนมองฉันด้วยสายตาแปลก ๆ “ไอ้ม่าน.. เมื่อเช้าแกแต่งตัวลืมความเข้ากันของชุดหรอ” ฉันหันไปมองหน้าพี่ชายที่เขาเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะก้มลงใช้จมูกสูดดมไปตามเสื้อผ้า “กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย” “น้ำหอมผู้ชายที่ไหน.. ฉันแค่เปลี่ยนน้ำหอม” ฉันตอบไปด้วยท่าทางเรียบง่าย พยายามปกปิดและกลบเกลื่อนพี่ชายอย่างสุดความสามารถ “คนที่เรียนจบด้านดีไซเนอร์แบบแกเนี่ยนะ.. จะแต่งตัวได้อุบาทว์ขนาดนี้” “นี่มันออกจะเท่.. พี่ไม่มีศิลปะในการมองอย่ามาโทษเสื้อผ้าน้องดิ” “ไปไหนมา” ฉันสะดุ้งอีกครั้งที่พี่ธันวาเริ่มขึ้นเสียงแข็ง ดวงตาของฉันในตอนนี้บอกได้เลยว่ามันต้องเลิ่กลั่กมากเป็นแน่ ฉันที่กำลังจะเบือนหน้าไปสารภาพบาปกับพี่ชาย เป็นต้องหันกลับไปที่ห้องฉุกเฉินแทน “คุณหมอคะ! ลูกชายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ” “เด็กมีอาการแพ้นมวัวคุณแม่รู้หรือเปล่าครับ” “รู้ค่ะ.. ที่บ้านไม่มีอาหารที่ใช้นมวัวเลย” “อาการที่เห็นมาจากการแพ้นมวัวระยะรุนแรงครับ แต่ถ้าคุณแม่ยืนยันว่าไม่มีอาหารที่ใช้นมวัวหมอจะขอตรวจเพิ่มนะครับ” “สักครู่นะคะ.. พี่ชบา..” “เอ่อ.. ชบาขอโทษค่ะคุณม่านฟ้า เมื่อเย็นชบาไปรับคุณหนู เห็นว่าน้องกำลังแบ่งนมกันดื่มกับเด็กผู้หญิงที่โรงเรียน ชบารีบวิ่งเข้าไปคุณหนูบอกว่าไม่ได้ดื่มชบาเลยไม่ได้เอะใจค่ะ” ฉันได้แต่ขมวดคิ้วนิ่ง เพราะมั่นใจได้ว่าลูกชายไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าตัวเองแพ้นมวัวเป็นแน่ แล้วจู่ ๆ อาการแพ้กำเริบแบบนี้คงมาจากสิ่งที่พี่เลี้ยงเห็นแน่นอน “เข้าใจแล้วค่ะคุณหมอ จะระวังให้มากกว่านี้ค่ะ” ฉันหันไปมองคุณหมอที่พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว รอเพียงไม่กี่นาที ก็ตามมาด้วยรถเข็นของเด็กน้อยวัยห้าขวบที่นอนหลับตาพริ้ม ฉันเดินตามลูกชายมาติด ๆ เข้ามาในห้องพิเศษที่ถูกจัดไว้เป็นอย่างดี รอจนพยาบาลจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยและเดินออกไป สองเท้าของฉันก้าวเข้ามายืนข้างเตียงมองดูลูกชายที่ใบหน้าที่เคยบวมก่อนนี้ ยุบลงมากจนแทบจะเป็นปกติแล้ว “คุณม่านฟ้า..” “ไม่ใช่ความผิดของพี่ชบาที่ตาหนูแอบดื่มนมวัวหรอกนะคะ.. ไม่ต้องคิดมาก” ฉันหันไปยิ้มให้พี่เลี้ยงของเตชินที่มีสีหน้าวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ก่อนจะหันมามองลูกชายอีกเล็กน้อย “ม่าน.. พี่จะกลับบ้านไปเอาของเราจะเอาอะไรมั้ย” “เดี๋ยวกลับด้วย จะไปเอาเสื้อผ้าสักหน่อยพรุ่งนี้ต้องออกไปดูไซต์งาน.. พี่ชบาฝากตาหนูอีกหน่อยนะคะเดี๋ยวม่านรีบไปรีบมา” “ม่านฟ้า..” “พี่ธันมีอะไร” “ไปไหนมา” “ไปฉลองกับท่านประธานเรื่องโปรเจกต์ใหญ่สำเร็จ” “แล้วทำไมมีสภาพแบบนี้” “ฝนตกเสื้อผ้าเปียกเลยขอยืมเสื้อผ้าท่านประธานมา” “ฝนบ้าฝนบอที่ไหนตก แหกตาดูดินี่มันหน้าร้อน” “ก็ฝนตก.. ไม่เชื่อจะถามทำไม” ฉันหันไปมองพี่ชายด้วยท่าทางของคนพร้อมจะหาเรื่อง นั่นทำให้พี่ธันวาหัวเราะหึในลำคอ “หึ!” “หึอะไร พี่หาเรื่องฉันทำไมเนี่ย” “หวังว่าไอ้ประธานบริษัทอะไรนี่จะไม่หน้าตัวเมียทำแกร้องไห้เหมือนหมูเหมือนหมาอย่างเมื่อตอนหกปีที่แล้วนะม่านฟ้า.. คิดจะเปิดใจทั้งทีก็ขอให้ได้คนดี ๆ หน่อย ไม่งั้นพี่จะตามไปฆ่ามัน!” “ม่านกับเขาเป็นแค่..” “คิดให้ดีก่อน! ถ้าจะโกหก.. ไม่ต้องพูด!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม