ตอนที่ 2
ว่าที่ภรรยาของท่านประธานหน้าหม้อ
ร้านชาบู
“อารมณ์ไม่ดีหรอที่รัก” อันวาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่พวกเธอนั้นนั่งตักหมูเข้าปากกันอย่างเงียบ ๆ มาเกือบครึ่งชั่วโมง
“อือ.. นิดหน่อย”
“โดนท่านประธานสุดหล่อพาสาวมาให้ปวดหัวอีกแล้วละสิ” เธอยังคงถามไปตักหมูเข้าปากไป ราวกับเรื่องที่พูดนั่นคือกิจวัตรประจำวันของเขา
“อือ” ม่านฟ้าเองก็ตอบไปด้วยเสียงที่ราบเรียบเพราะมันก็คือเรื่องจริงนั่นแหละนะ
“แย่เลย สู้ ๆ นะที่รักของอันวา” เธอยังคงพูดไปพร้อมกับเคี้ยวเต้าหู้ที่เพิ่งตักขึ้นมาจากหม้อร้อน ๆ จนแก้มของเธอตุ่ยอย่างน่ารักน่าชัง
“ไอชินละ” ปากก็ตอบไปเหมือนกับว่าไม่ได้สนใจอะไร มือก็ตักเนื้อ นม ไข่ และผักในหม้อขึ้นมาใส่จาน
“ที่รัก.. หรือว่าท่านประธานจ้องจะเคลมยูวะ” เธอถามพร้อมกับจ้องหน้าของเลขาคนสวยอย่างเธอเขม็ง
“แค่ก! แค่ก!”
“เห้ย! ไอแค่ถามเล่น ๆ ยูเป็นไร อ่ะ! น้ำ! ดื่มน้ำก่อน” เธอยื่นแก้วน้ำให้อย่างละล่ำละลัก ม่านฟ้าคว้าแก้วน้ำนั้นมาดื่มจนเกือบหมด พร้อมกันนั้นยังมองใบหน้าของเพื่อนอย่างไม่สามารถเป็นไปได้
“ยูพูดอะไรที่เป็นไปได้หน่อยเถอะ”
“เป็นไปไม่ได้ได้ยังไง นี่แหละเรื่องที่เป็นไปได้! ยูสวยขนาดนี้แถมพ่วงตำแหน่งเลขาส่วนตั๊วส่วนตัวอีก ไอว่าท่านประธานจ้องจะเคลมยูแน่ ๆ”
“พอ ๆ เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ อ่ะ! กินเข้าไปปากจะได้ไม่ว่าง” ม่านฟ้าบอกพร้อมกับตักหมูในหม้อใส่ในจานของอันวาจนพูนจาน
“พอก่อนเดี๋ยวกินไม่หมด!”
หลังจากที่เปลี่ยนเรื่องคุยทั้งคู่ก็รู้สึกว่าอาหารอร่อยขึ้นมาทันที พูดคุยเรื่อยเปื่อยตามประสาคนโสดเป็นอะไรที่มีความสุขมากจริง ๆ
“เดี๋ยวไอไปส่ง”
“ไอว่าจะแวะไปห้างหน่อยอะ.. ยูกลับก่อนเลย” อันวาโบกมือปฏิเสธและทำท่าจะเดินออกไป คาดว่าน่าจะไปเรียกแท็กซี่นั่นแหละ
“ไอไปเป็นเพื่อน”
“โอเค ๆ งั้นไปห้างแถวนี้ละกันยูจะได้ไม่ขับรถไกล”
“อืม.. ขึ้นรถเถอะ”
เมื่อตกลงกันได้แล้วทั้งสองสาวก็ทิ้งตัวลงในรถยนต์ของม่านฟ้า เธอไม่รอช้าเหยียบคันเร่งและมุ่งหน้าไปยังห้างดังแถวนั้นทันที แต่เพราะเวลาหนึ่งทุ่มกว่า ๆ เป็นเวลาที่ท้องถนนอัดแน่นไปด้วยรถราคาแพงจนมันติดแน่นไปหมด ถึงจะใกล้มากขนาดไหนแต่ก็ยังใช้เวลามากพอสมควรอยู่ดี
“ทำไมไม่รู้จักไปทางเดียวกันไปด้วยกันบ้างนะ” อันวานั่งบ่นตลอดทางที่ม่านฟ้าขับมาเพราะทั้งคู่เรียกได้ว่าติดทุกไฟแดงเลยนั่นแหละนะ
“ก็ถึงแล้วนี่ไง” เธอพูดเสียงเรียบไม่ได้แสดงอาการว่าหงุดหงิดหรืออะไร พร้อมกันนั้นก็กดล็อกรถยนต์และเดินนำอันวาเข้ามาในห้างอย่างคุ้นเคย
“ก็นั่นแหละไอถึงไม่เข้าใจไง ทำไมบอกว่าคนไทยประชากรคนจนเยอะก็ไม่รู้ ทั้งที่รถก็เต็มถนนแน่นไปหมด บางบ้านมีสามคันสี่คัน” เธอยังคงบ่นไม่หยุดในขณะที่เดินเข้ามาด้านใน
“เอาไว้ไอจะซื้อเฮลิคอปเตอร์ก่อนนะ ยูจะได้ไม่หงุดหงิด”
“ทำเป็นพูดไป ยูรีบซื้อเลยงั้นไอรอนั่งอยู่” ทั้งคู่หัวเราะเสียงดังทันทีที่สิ้นสุดเสียงพูดของอันวา ก็เป็นช่วงที่เธอเดินผ่านร้านแบรนด์เนมราคาหลายแสนพอดีและก็เป็นอันวาคนดีคนเดิมที่เริ่มร่ายยาว
“สวยนะแต่แพงมาก! เงินเดือนไอสักปีนึงยังไม่พอซื้อเลยมั้งเนี่ย” อันวาปรายตามองกระเป๋าที่วางโชว์ระยิบระยับบนนั้นด้วยสายตาชื่นชมปนมาด้วยความรู้สึกขนลุกไม่น้อย
ม่านฟ้ามองตามสายตาของอันวาไปสะดุดกับกระเป๋าหนังสีดำรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเข้าช็อป เธอยืนมองอย่างชั่งใจก่อนจะสะกิดให้อันวาเดินเข้าไปในช็อปด้วยกัน
“ไม่ไป!”
“ไปเป็นเพื่อนไอหน่อย”
“ไอรู้ว่ายูมีเงิน แต่ใบที่ยูสะพายนั่นน่ะ เพิ่งถอยมาไม่ถึงเดือนเองนะ” เธอยังคงบ่นอึบไปตามเรื่องตามราว แต่ถึงจะบ่นขนาดไหนก็ไม่วายเดินตามม่านฟ้าเข้ามาในช็อปต้อย ๆ อย่างห้ามไม่ได้เหมือนเดิม และเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่สองสหายมาเดินห้าง
“สวัสดีค่ะยินดีต้อนรับค่ะ คุณลูกค้าสนใจใบไหนเรียกน้องพนักงานได้เลยนะคะ หรือสนใจเป็นตัวล่าสุดที่เพิ่งเข้าช็อปวันนี้เลยไหมคะ สินค้ามีเข้ามาจำกัดแค่ห้าใบ..”
“รับใบนี้ค่ะ” ยังไม่ทันที่พนักงานจะพูดจนจบก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลังของทั้งคู่
และเมื่อหันไปพบว่าเสียงที่ไพเราะหูนั้นเป็นของหญิงสาวที่มีใบหน้าหวานและการพูดที่อ่อนน้อมละมุนหู ที่ยื่นการ์ดสีดำและบัตรวีไอพีให้กับพนักงาน
“เอ่อ..” และคงเรียกว่าจังหวะนรกของพนักงานก็ว่าได้ เพราะม่านฟ้ารู้ว่าตัวเองนั้นสวยในสายตาคนอื่น แต่ถ้ารู้สึกไม่พอใจอะไรละก็ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้เลยเช่นกัน
“ขอโทษนะคะ ใบนี้ฉันมาก่อน” ม่านฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยกับผู้หญิงด้านหน้าจากที่มองแล้วตัวเล็กกว่าเธออยู่ไม่น้อย
“แต่ฉันเป็นวีไอพี มีสิทธิ์ได้ก่อนใช่ไหมคะพี่พนักงาน” เธอคนนี้ยังคงไม่ยอมแพ้ ถามสร้างแรงกดดันให้พนักงานด้วยใบหน้าที่ไม่รู้สึกรูสาใด
“แล้วใครบอกว่าฉันไม่ใช่วีไอพีละคะ” ม่านฟ้าล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบการ์ดสีดำแบบเดียวกันกับที่เธอยื่นให้พนักงานมายื่นให้
“แต่ว่าน้ำตาลอยากได้ใบนี้นี่คะ” เธอพูดกับม่านฟ้าด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับม่านฟ้าเลยแม้แต่น้อย
“แต่ฉันจะซื้อใบนี้” ม่านฟ้าเองก็ไม่ใช่คนยอมคนซะด้วยสิ
“งั้นฉันเพิ่มเงินให้สองเท่าเลยค่ะพี่พนักงาน”
“ถ้าคุณพนักงานยอมรับสินบน ฉันจะส่งเรื่องเข้าสำนักงานใหญ่”
“งั้นน้ำตาลให้เป็นค่าคอมเพิ่มก็ได้ค่ะ”
“แบบนี้ก็เรียกว่าติดสินบนนะคะ”
“คุณพี่คนสวยคะ ให้น้ำตาลเถอะนะ น้ำตาลอยากซื้อไปฝากคุณแม่”
“ขอโทษนะคะคุณหนูน้ำตาล แต่ฉันจะซื้อใบนี้ไปฝากคนสำคัญของฉันเช่นกัน”
“คุณซื้อใบอื่นได้ไหมคะ น้ำตาลจ่ายให้เองค่ะ จะกี่ใบในร้านหรือเหมาหมดเลยก็ได้ แต่ใบนี้น้ำตาลขอนะคะ”
“จะกี่ใบก็ไม่เอาค่ะ”
“เอ่อ..คุณลูกค้าคะ รุ่นล่าสุดนี้เหลือสองใบสุดท้าย ไม่ต้อง.. ทะเลาะกัน.. ดีไหมคะ”
“แล้วทำไมเพิ่งบอก!”
“แล้วทำไมเพิ่งบอกคะ!”
ทั้งสองคนหันขวับไปไปถามพนักงานอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ขอโทษค่ะ.. ค .. คือเชิญที่เคาน์เตอร์ได้เลยนะคะ”
เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองจึงเดินตามพนักงานไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์ทันที เมื่อได้รับสินค้าแล้ว ทั้งคู่จึงรีบเดินออกจากร้านมาพร้อมกันแบบไม่มองหน้ากันสักเท่าไหร่ และต่างคนต่างเดินออกไปคนละทาง
“เกือบได้กระเป๋ายกร้านละไหมล่ะยู” อันวาที่ยืนเงียบมองทั้งคู่เถียงกันอยู่นานพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่ด้านหลังของผู้หญิงคนนั้น
“กี่ใบก็ไม่เอา มีแขนแค่สองข้างจะสะพายยังไงไหว” ม่านฟ้าตอบพร้อมกับมองตามด้านหลังของผู้หญิงคนนั้นไปเช่นกัน
“นึกว่ายูจะบอกว่ามีทุกคอลเลกชันแล้วซะอีก” อันวาพูดแซวก้าวเท้าไปด้านหน้าช้า ๆ
“อันวา” เพราะเสียงเรียกนิ่ง ๆ ของม่านฟ้าละมั้ง ทำให้อันวาหันมามองเธอพร้อมกับขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม
“หืม”
“ของเธอ” ม่านฟ้ายื่นถุงที่บรรจุกระเป๋าราคาเกือบเจ็ดหลัก ที่เพิ่งแกร่งแย่งกับผู้หญิงคนนั้นมาให้อันวาแบบไม่ลังเล
“เห้ย! อะไรยู ไอไม่ขำนะ” อันวาถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว ด้วยใบหน้าที่สงสัยและงงมากอย่างเห็นได้ชัด
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะคะที่รัก” ม่านฟ้าก้าวเดินไปหาอันวาหนึ่งก้าวก่อนจะยืนถุงกระเป๋าใบนั้นให้เธออีกครั้ง และยิ้มให้กับเพื่อนสนิทคนนี้อย่างอ่อนโยน
“ไอไม่รู้ว่ายูชอบอะไร ไอเห็นว่ายูมองใบนี้นานแล้วเลยคิดว่ายูชอบ ไอซื้อให้”
“มันแพงไปรับไม่ได้หรอก” เธอยังคงส่ายหน้าไปมาพรืด
“แต่ไอซื้อมาแล้ว” เธอยังคงดึงมืออันวามาก่อนจะวางถุงกระเป๋านั้นบนมือของเธอและพากันเดินต่อ
“แต่..”
“ไอไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะตกลงตามนี้” ม่านฟ้าหันมายิ้มให้เพื่อนสนิท ก่อนจะเดินไปตามร้านแบรนด์เนมต่าง ๆ เข้าร้านนั้นซื้อร้านนี้อยู่นานจนเมื่อเป็นที่พอใจ
“ยู.. นั่นใช่ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า”
อันวาหันไปทางผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ในร้านอาหารสุดหรู ไม่นานนักก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปหาและพากันเดินไปยังโต๊ะส่วนตัวที่อยู่โซนด้านหลัง
“นั่นประธานปิติภัทรนี่” อันวาหันมามองหน้าม่านฟ้าสลับกับมองไปยังโต๊ะนั้นด้วยใบหน้าที่บอกไม่ถูก
“อืม.. เราไปซื้อของเราต่อเถอะ” เธอทำได้เพียงแค่ปรายตาไปมองสองคนนั้นแวบหนึ่งพูดจบ ก็พากันก้าวเท้าออกจากตรงนั้น และตามมาด้วยเสียงรองเท้ากระทบพื้นของอันวาที่เดินเร็วตามมาติด ๆ
“ทำไมยูไม่เข้าไปห้ามละ คุณหญิงให้ยูห้ามผู้หญิงของท่านประธานไม่ใช่หรอ” เธอถามด้วยความสงสัยถึงแม้ว่าเท้าจะยังก้าวตามมาติด ๆ แต่สายตายังหันไปมองที่ทั้งคู่ไม่ห่าง
“ผู้หญิงคนนี้คงเป็นลูกสาวท่านเจ้าสัว.. เป็นคนของคุณหญิง ว่าที่ภรรยาของเจ้านายเรา” อันวาทำหน้าเหลือเชื่อแต่ก็เดินตามมาติด ๆ
“โห! โลกกลมมาก”
“ม่านฟ้า” สองเท้าของเธอหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่ดังมาจากทางด้านหลัง ม่านฟ้าหันกลับไปมองพบว่าเป็นใบหน้าของคุณหญิงอมรที่ยืนมองทั้งสองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มดูใจดี
“คุณหญิงสวัสดีค่ะ” เธอยกมือขึ้นไหว้แม่ของปิติภัทรด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“มาซื้อของกันหรอ”
“ค่ะ”
“ตามสบายกันเลยนะ ฉันขอเข้าไปหาตาเธียรกับว่าที่ลูกสะใภ้คนเก่งของฉันก่อน” คุณหญิงอมรพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้เธอจาง ๆ ก่อนจะเดินกลับไปทางร้านอาหารสุดหรู
“ยู.. คุณหญิงเดินเลยร้านอาหารมาเพื่อจะบอกกับพวกเราว่าจะไปทานอาหารกับว่าที่ลูกสะใภ้แค่นี้น่ะหรอ” อันวาทำหน้าเหวอมองม่านฟ้าสลับกับมองตามหลังคุณหญิงอมรอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่รู้ซิ” ถึงแม้นว่าปากจะตอบเพื่อนออกไปแบบนั้นแต่สองมือของเธอกลับกำลังกำแน่นอย่างคนที่สะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้
“พวกเรากลับกันเถอะ”