ตอนที่ 4 ลูกชาย

1423 คำ
ตอนที่ 4 ลูกชาย “อ่าว.. ทำไมเป็นพี่ล่ะ!?” ฉันหันไปมองตามเสียงของคนที่มาใหม่ เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นคนที่จะมาเป็นว่าที่ภรรยาของของผู้ชายอย่างปิติภัทร เธอมองเราสองคนด้วยสายตาที่แปลกใจ “น้ำตาลมาผิดเวลาหรือเปล่าคะ” “ไม่ค่ะ.. สวัสดีค่ะคุณน้ำตาล” “สวัสดีค่ะ ดีใจจังที่พี่คนสวยก็ทำงานที่นี่” “อ่อ.. ค่ะ” “น้องน้ำตาลมาทำอะไรที่นี่ครับ” “วันนี้น้ำตาลซื้อของมาฝากพี่เธียรเยอะเลยค่ะ” ฉันมองผู้หญิงตรงหน้าที่มีความสดใสในตัวด้วยความรู้สึกเรียบเฉยไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรสักเท่าไหร่ “งั้นเข้าไปในห้องก่อนนะครับ” “ค่ะ” “ม่านฟ้า.. เอ่อ.. ขอกาแฟสองแก้วนะ” “ค่ะ” ฉันตอบออกไปเรียบ ๆ ก่อนจะเดินหลบออกมาทำหน้าที่ของตัวเอง จนเมื่อเอากาแฟไปเสิร์ฟให้ทั้งสองคนเรียบร้อยแล้วถึงได้ออกมานั่งลงที่โต๊ะทำงานหน้าห้องอีกครั้ง “เฮ้อ~ ม่านฟ้านะม่านฟ้า แกกำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่” ตืด~ ฉันปรายตามองไปยังมือถือที่กำลังส่งแรงสั่นจากสายเรียกเข้าด้วยความไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครที่โทรมาก็รีบเด้งตัวขึ้นมากดรับด้วยความเร็วแสง “ฮัลโหล~” “จริงหรอ.. กลับพรุ่งนี้แล้วหรอ ดีใจจังเลย” “คิดถึงเหมือนกัน~ ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปรับที่สนามบินนะคะ” “พี่ม่านฟ้าใช่ไหมคะ” ฉันหันไปมองตามเสียงเรียกที่มาจากด้านหลัง เห็นว่าเป็นผู้หญิงที่ชื่อน้ำตาลคนนั้นเดินออกมาส่งยิ้มหวานให้ สองเท้าของเธอก้าวเดินมาใกล้ก่อนจะมาหยุดยืนส่งยิ้มหวานให้โดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา “เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้นะคะ วางก่อนน๊า” ฉันกดตัดสายมือถือก่อนจะหันไปมองผู้หญิงคนนี้ด้วยความสงสัย “ใช่ค่ะ.. ฉันชื่อม่านฟ้าเป็นเลขาของคุณปิติภัทร.. คุณน้ำตาลต้องการอะไรหรือเปล่าคะ” “เรียกน้ำตาลเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ” “ไม่ดีมั้งคะ.. คุณน้ำตาลเป็นถึงลูกสาวของเจ้าสัวฉันไม่กล้าค่ะ” “ไม่เป็นไรค่ะน้ำตาลไม่ถือ” “แต่ฉันถือ” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้กลับรู้สึกหงุดหงิดจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ยิ่งเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสของเธอแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่เข้าใจตัวเอง “งั้น.. แล้วแต่พี่ก็แล้วกันค่ะอันนี้น้ำตาลให้” หญิงสาวคนนี้ยื่นถุงของขวัญแบรนด์เนมมาให้ก่อนจะยิ้มหวานที่ดูว่าไม่ได้เสแสร้ง ฉันเหลือบตามองนิ่งก่อนจะใช้สายตาคมกริบมองเธออีกครั้ง “คืออะไรคะ” เธอดูมีท่าทีอ้ำอึ้งไม่น้อยกับการกระทำนี้ แต่ก็ยังคงยื่นของชิ้นนั้นให้ไม่ได้ขยับไปไหน “ของขวัญที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการค่ะ” “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ.. ยังไงคุณน้ำตาลก็เป็นแขกของเจ้านายฉัน ถือว่าเรารู้จักกันอย่างเป็นการแล้วแต่ของขวัญขออนุญาตไม่รับนะคะ” “พี่ม่านฟ้ารังเกียจของขวัญของน้ำตาลหรอคะ” ผู้หญิงคนนี้ยังคงยื่นถุงของขวัญนั้นมาให้ “เขาไม่เอาก็ไม่ต้องไปยัดเยียดหรอกครับ” เขาเดินตามเธอออกมาก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งหยิบถุงของขวัญนั้นวางไว้บนโต๊ะของฉันด้วยใบหน้าเรียบเฉย “แบบนี้ก็ถือว่าน้องน้ำตาลให้แล้ว.. ส่วนคุณเลขาเขาจะรับหรือไม่รับก็แล้วแต่เขา เราไปกันดีกว่าครับ” ฉันมองเขาด้วยท่าทางของคนไม่สบอารมณ์ตามหลังพวกเขาไปนิ่ง ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ใช้สายตาคมกริบมองทั้งสองเดินออกไปด้วยสายตาเรียบเฉย “บ่ายมีประชุมกับคุณจอห์นกลับมาทันไหมคะท่านประธาน” “ยกเลิก!” “ค่ะ!” สิ้นสุดคำพูดของฉันปิติภัทรก็พาว่าที่ภรรยาของเขาเดินออกไปทันที ฉันทำได้เพียงแค่มองทั้งสองจนสุดสายตา ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะของตัวเองอีกครั้ง สายตาจ้องมองไปที่ถุงของขวัญที่ผู้หญิงคนนี้นำมาให้ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดดูเห็นว่าเป็นสร้อยเพชรจี้หยดน้ำเส้นหนึ่งที่สวยมากจริง ๆ ด้านในมีการ์ดใบหนึ่งที่ถูกเขียนด้วยลายมือฉันหยิบมันขึ้นมาอ่านเนื้อหาด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง ‘ของขวัญที่พบกัน’ ดูก็รู้ว่าสร้อยเส้นนี้ถูกซื้อมาให้กับเลขาของปิติภัทร ต่อให้ตรงนี้เป็นฉันหรือคนอื่นสร้อยเส้นนี้ก็ต้องมีเจ้าของอยู่ดี “หึ! เข้าหาคนด้วยเงินตามฉบับลูกคนรวยจริง ๆ” *///* ครืด~ “ฮัลโหล” ‘ลืมหรือเปล่าว่าวันนี้ต้องมารับพี่’ “ลืมไปเลย!” ‘ยัยบื้อเอ๊ย!’ ฉันยกมือถือออกห่างจากหูทันทีที่ได้ยินเสียงของพี่ธันวา ซึ่งเป็นพี่ชายของฉันที่แผดเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ สายตาของฉันจ้องมองไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนหงุดหงิดขยี้ผมตัวเองอย่างน่าขบขันอยู่ไม่ไกลนัก ฉันตัดสายของเขาทิ้งก่อนจะรีบเดินไปหาด้วยความคิดถึง “มาแล้ว!” ฉันตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมทั้งสับขาทั้งสองข้างวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยวัยห้าขวบเศษขึ้นมากอดด้วยความคิดถึง ก่อนจะหันไปเห็นท่าทางที่หงุดหงิดของพี่ชายตัวเอง “เดี๋ยวนี้รู้จักโกหก!” พี่ธันวาประเคนมะเหงกมาที่หน้าผากของฉันหนึ่งที ก่อนจะหันไปลากกระเป๋าเตรียมพร้อมจะกลับบ้านด้วยความเร่งรีบ “พี่จะรีบไปไหนเนี่ย” “กลับบ้าน” “คุณลุงธันวาหงุดหงิดที่พี่เว่ยเอินไม่ยอมมากับคุณลุงครับ” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยห้าขวบเอ่ยออกมาอย่างล้อเลียน ฉันเหลือบตาไปมองพี่ชายตัวเองก็เห็นว่าเขามีอาการไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “เว่ยเอิน.. ผู้หญิงที่พี่ตามจีบมาหลายปีน่ะหรอ” “ไม่ต้องอยากรู้มากได้ไหม ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” “ทำไม! อยากรู้จักจริง ๆ เลยผู้หญิงที่สามารถทำให้พี่ชายของฉันเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้หน้าตาเป็นยังไงนะ” ฉันอุ้มเตชินลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดินตามหลังของพี่ชายที่ลากกระเป๋าออกไปด้วยท่าทางของคนอารมณ์ไม่ดี “ลุงของลูกนี่ไม่ไหวเลยเนาะ.. ผู้หญิงคนเดียวก็จีบไม่ติด” ฉันแกล้งทำเป็นคุยกับลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ดังหน่อย ทำให้พี่ธันวาหันมาแยกเขี้ยวใส่ชี้หน้าด้วยท่าทางไม่จริงจังนัก ก่อนจะยัดตัวเองลงไปในรถที่จอดไว้แล้วขับออกมาทันที “ได้โรงเรียนหรือยัง” ทันทีที่พวกเรามาถึงบ้าน พี่ธันวาก็เริ่มถามเกี่ยวกับโรงเรียนของลูกชายทันที “ได้แล้ว” “ที่ไหน.. ปลอดภัยไหม.. ไกลหรือเปล่า” “ไม่ไกล.. พี่ชบาไปรับไปส่งได้” “อือ.. งั้นก็ดี แล้วนี่พี่ชบาไปไหน” “พอรู้ว่าตาหนูกลับมาวันนี้ ก็ออกไปซื้อของมาทำอาหารให้เยอะแยะเลยน่าจะอยู่ในครัวมั้ง” เพราะพี่ชบานั้นเลี้ยงเตชินมาตั้งแต่เกิด ทันทีที่เจ้าเด็กน้อยคนนี้ได้ยินว่าแม่นมของเขาอยู่ที่ไหน ก็รีบวิ่งตัวกลมไปหาแทบจะทันที “ระวังล้มนะลูก” ฉันมองลูกชายที่วิ่งไปในครัวจนลับสายตา ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าของพี่ชายตัวเองที่ดูเหมือนคนอกหักอย่างใส่ใจ “อยากเล่าให้ฟังไหม” ฉันเดินตามพี่ชายมานั่งลงบนโซฟากลางห้องรับแขก ก่อนจะเปิดทีวีจอใหญ่หันไปเอ่ยถามพี่ชายอย่างไม่ได้ใส่ใจคำตอบของเขามากนัก “ไม่มี” “อือ.. งั้นก็เลิกทำหน้าเหมือนหมาหงอยไม่มีเจ้าของได้ละ” “ปากแกนี่มัน!” “ได้พี่มาไง.. ได้มาเยอะด้วย ภูมิใจสิ!” ฉันหันไปยิ้มหน้าทะเล้นให้เขา ก่อนจะหันไปจ้องจอทีวีต่อ “เมื่อไหร่จะออกจากบริษัทนั้นสักที” ทุกอย่างชะงักเมื่อเจอคำถามของพี่ชาย ก่อนก็ตีมึนหยิบส้มมาปอกเปลือกกินหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้สนใจจะตอบคำถามของเขา “ม่านฟ้า! พ่อถามพี่หลายรอบแล้วนะเมื่อไหร่แกจะไปทำงานที่บริษัท”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม