ตอนที่ 5
ถ่านไฟเก่า
“แล้วทำไมพี่ไม่ไปละ! อยู่กับคุณราชันย์อะไรของพี่นั่นอันตรายจะตาย มีแต่เรื่องชกต่อยไล่ตีกันเป็นว่าเล่น ทำไมไม่ลาออกไปทำงานที่บริษัทล่ะ!” ฉันหันไปมองหน้าพี่ชายทั้งที่ยังเคี้ยวส้มที่หวานจนตาแทบหยี
“ก็..”
แต่ยังไม่ทันที่พี่ชายของฉันจะได้พูดอะไรต่อ ส้มสามกลีบใหญ่ถูกยัดเข้าไปในปากของเขาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว นั่นเรียกให้ฉันรู้สึกชอบอกชอบใจไม่น้อย
“ไอ้ม่าน! ส้มบ้าอะไรวะเปรี้ยวฉิบหาย”
“พี่ธัน! ทำไมพูดจาไม่สุภาพ! ถ้าตาหนูมาได้ยินจะทำยังไง”
ฉันแยกเขี้ยวใส่พี่ชายด้วยใบหน้าที่จริงจังผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ สำหรับฉันคำพูดในบ้านเป็นเรื่องที่ซีเรียสมาก
“เออ ๆ ขอโทษมันหลุดปาก” ฉันมองพี่ชายที่พยายามเคี้ยวส้มในปากด้วยใบหน้าที่เหยเกจนหมด
“อร่อยเนอะ.. เอาอีกมั้ยคะ”
“เก็บไปกินเองเถอะ! แล้วบอกพี่ชบาอย่าไปซื้อมาอีกนะส้มร้านนี้น่ะ ถ้าไม่อยากให้พี่ไปเผาร้านทิ้ง!” พี่ธันวาบ่นยาวก่อนจะลุกขึ้นเดินขึ้นไปด้านบน
“คุณแม่ครับ”
“ว่าไงครับ”
“พี่ชบาบอกว่าผมต้องไปโรงเรียน.. ไม่ไปได้ไหมครับ”
ฉันหันมองลูกชายที่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ อย่างไม่เข้าใจ เตชินเป็นเด็กชายวัยห้าขวบที่ตลอดเวลานั้นอยู่กับแม่นมอย่างพี่ชบาและอยู่กับฉันตลอด จะมีบางครั้งที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศกับพี่ธันวาบ้างเท่านั้น
“ทำไมละครับ”
“ผมอยากอยู่กับแม่มากกว่า”
เด็กน้อยพูดจบได้ใช้ขาป้อม ๆ นั้นปืนโซฟาขึ้นมานั่งก่อนจะเอนตัวลงหนุนตักอย่างออดอ้อน
“ที่โรงเรียนมีคุณครู.. มีเพื่อนเยอะแยะเลย”
“ผมไม่ชอบ.. คนเยอะน่าเบื่อ”
“แต่หนูต้องมีเพื่อนและต้องเรียนหนังสือนะครับ” ฉันมองหน้าของลูกชายก่อนจะยิ้มให้เขา
“ครับ”
เด็กน้อยตอบออกมาด้วยเสียงราบเรียบก่อนจะหลับตาลงอย่างสนิท มือข้างหนึ่งของฉันลูบเส้นผมที่นุ่มนิ่มของเขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะช้อนมืออุ้มเขาขึ้นมาเดินพาเข้าไปนอนที่ห้องอย่างเบามือ
สามวันต่อมา
“สวัสดีค่ะคุณแม่.. น้องเตชินสวัสดีคุณแม่ก่อนเข้าโรงเรียนหรือยังครับ”
ฉันยืนมองลูกชายของตัวเองที่ทำตามคุณครูบอกอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินเข้าไปในเนิร์สเซอรี่หวานหวานด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้าย
“ฝากคุณครูดูแลเตชิน และระวังเรื่องอาหารที่น้องแพ้หน่อยนะคะ”
“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
ฉันหันมองลูกชายอีกครั้งก่อนจะถอยหลังเดินออกมาเงียบ ๆ ตาก็จ้องมองไปในโรงเรียนเล้กแห่งนี้ มองด้านหลังของลูกชายที่สะพายกระเป๋าเข้าไปในโรงเรียนจนลับสายตา
“ที่รัก! ยูมาทำอะไรแถวนี้น่ะ”
ฉันหันขวับไปเห็นอันวาที่เดินเข้ามายืนข้างกัน สายตาของเธอนั้นจ้องมองเข้าไปในโรงเรียนด้วยใบหน้าสงสัยสลับกับหันมามองหน้าฉันอย่างต้องการอยากรู้
“มาส่งลูกชายไง” ฉันตอบเธอยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินออกมาจากบริเวณนั้น
“ยูมีลูกแล้วหรอ! ไอไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“อ่าว! ไอไม่ได้บอกยูหรอ”
ฉันตอบเพื่อนด้วยท่าทางที่คิดว่าน่าหมั่นไส้ที่สุด พร้อมกับเดินวนมาเปิดประตูรถแล้วยัดตัวเองลงไปอย่างไม่เร่งรีบ
“ไปด้วย”
อันวาเดินตามมาขึ้นรถอย่างงง ๆ พร้อมทั้งหันไปมองด้านในโรงเรียนอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ม่านฟ้า! ถามจริงยูมีลูกแล้วจริงหรอ”
“ทำไม.. หน้าแบบไอไม่เหมาะกับการเป็นแม่คนหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้น ไอแค่ไม่เคยเห็นยูพูดถึงไง”
“ก็ยูไม่เคยถาม”
ฉันตอบเสียงเรียบก่อนจะเหยียบคันเร่งขับรถไปพร้อมทั้งมองหน้าของเพื่อนไปอย่างตลกขบขันกับท่าทางของเธอ ใบหน้าสวยของอันวายู่ยี่อย่างน่าขบขัน
“ผู้หญิงผู้ชายหรอ.. แล้ว.. แล้วกี่ขวบหรอ”
“ผู้ชายห้าขวบที่สำคัญหล่อมาก”
“จองได้ปะ! ว่าที่สามีในอนาคต ฮี่ ๆ” ฉันหันไปแยกเขี้ยวให้เพื่อนอย่างขอไปที
ไม่นานพวกเราก็ขับรถมาจนถึงบริษัท ทำให้ประโยคสนทนาเหล่านี้จบลงไปด้วย ก่อนจะพากันแยกย้ายไปทำงานหน้าที่ของตนเอง ฉันเดินตรงไปยังลิฟต์ทันที และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกฉันก็รู้สึกถึงความปวดหัวที่เข้ามาเยือนราวกับว่าชั้นบนนี้มีพลังงานอะไรที่แรงมาก
วันนี้มีเซนต์สัญญากับคุณจอห์น.. ตรวจสอบเอกสารหน่อยดีกว่า แม้ว่าเมื่อคืนจะเรียบเรียงเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะบริษัท ABS เป็นทุนที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้การเซนต์สัญญาจะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
“ม่านฟ้าเอกสารเรียบร้อยใช่ไหม”
เสียงของผู้ทรงอำนาจที่สุดในบริษัทดังขึ้น ก่อนที่ตัวของเขาจะก้าวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
“เรียบร้อยค่ะ”
“ดี! งั้นเดี๋ยวเธอเตรียมตัวให้พร้อมเราจะออกเดินทางไปก่อนเวลาเพื่อสร้างความประทับใจ”
“ค่ะ”
“อ่อ.. อาจจะกลับดึกหน่อยนะ”
“กลับดึก? .. เราไปเซนต์สัญญาตอนเช้าไม่ใช่หรอคะ”
“ใช่! แต่โปรเจกต์ของบริษัท SKS จะมีการประมูลลับพวกเราจะไปดูสักหน่อย”
“แต่เรื่องนี้ฉันไม่ได้เตรียมตัวไว้ ไม่ได้ศึกษาบริษัทนี้มาก่อนมันจะ..”
“ไม่ต้องคิดมากผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราแยกกันทำจะได้เสร็จไวเธอจัดการเกี่ยวกับ ABS ผมจัดการ SKS คุณมีหน้าที่แค่ไปกับผม”
ฉันมองหน้าของปิติภัทรด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็จำยอมพยักหน้าตอบรับเขา ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาพี่ธันวาให้ไปรับตาหนูแทน
การเซนต์สัญญาของบริษัท ABS ผ่านไปด้วยดีทำให้มีทุนในการสร้างหมู่บ้านในทำเลทอง นอกจากนั้นเพราะความมีชื่อเสียงและฝีมือในการทำงานของบริษัททำให้สามารถเซนต์สัญญากับบริษัท SKS ด้วยอีกหนึ่งทุน ถือเป็นปรากฏการณ์แรกที่บริษัทสามารถร่วมทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ในเวลาเดียวกัน
“ฉลอง!”
ฉันยื่นแก้วเหล้าที่ไม่ได้แตะมานานชนกับประธานบริษัทหน้าหล่ออย่างเขาที่ดีอกดีใจเกี่ยวกับเรื่องงาน นั่นจึงทำให้เขานั้นลากฉันมาเข้าผับเพื่อฉลองงานใหญ่
“ชน!”
เราสองคนนั่งกระดกเหล้าเข้าปากกันอย่างไม่มีใครยอมใครที่เคาน์เตอร์บาร์ โดยมีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ขยันจะชงเหล้ามาให้ไม่ขาด
“ม่านฟ้าเธอไหวหรือเปล่า”
ฉันหรี่ตามองปากของเขาที่พูดออกมาด้วยเสียงที่เบากว่าเสียงเพลงในผับ สายตาเริ่มพร่าเบลอเพราะฤทธิ์ของน้ำเมา
“ห๊ะ! คุณพูดว่าอะไรนะ!”
“ผมถามว่าคุณไหวหรือเปล่า!!”
“คุณปิติภัทรฉันไม่ได้ยิน!”
ฉันไม่พูดเปล่ายังโน้มใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้เขาเพื่อฟังใกล้ ๆ ว่าเขานั้นพูดว่าอะไร
แต่เพราะคนในนี้แออัดเกินไป ไม่รู้ว่าใครกันที่เดินมาชนฉันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์จนต้องเซเข้าไปกอดเขาเอาไว้ เพราะความตกใจฉันเหลือบสายตาขึ้นไปมองเขาที่มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย
เราสองคนมองหน้ากันด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม ฉันไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากไหน มือข้างหนึ่งเลื่อนไปลูบไล้ใบหน้าของผู้ชายคนนี้อย่างนุ่มนวลโดยที่หลงลืมไปเลยว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน
ก่อนจะเลื่อนนิ้วชี้มาที่ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของเขาช้า ๆ ดวงตาทั้งสองของเราประสานกันหวานเยิ้มจากฤทธิ์ของน้ำเมาสีอำพัน
“ปากนี้~ ยังหวานเหมือนเดิมไหมนะ”
ฉันมองริมฝีปากของเขาด้วยความรู้สึกอยากลิ้มลอง ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้นแต่ยังขยับใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ สายตาหลุบจ้องริมฝีปากของเขานิ่งด้วยความรู้สึกที่ยั่วยวนไม่น้อย
“อื้อ!”