เธอพูดพลางนึกไปถึงน้องชายฝาแฝดวัยยี่สิบแปดปีของพวกเธออย่าง พงศ์วสิษฐ์ หรือ ว่าน แฝดพี่ และ พงศ์วรินทร์ หรือ วิน แฝดน้อง ซึ่งมีหน้าตาไม่เหมือนกันแต่ความหล่อเรียกว่ากินกันไม่ลงเช่นเดียวกับพี่ชายคนโตที่หากใช้ภาษาชาวบ้านก็เรียกได้ว่าหล่อวัวตายควายล้ม แต่ตอนนี้น้องชายทั้งสองคนกำลังดูแลกิจการอสังหาริมทรัพย์และบริษัทผลิตน้ำยาฟอกไตและจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ของครอบครัวอยู่
(“ก็ใครบางคนงานแน่นทุกวัน พี่จะไปแทรกตารางได้ตอนไหน”)
เขาเอ่ยหยอกบ้าง เสียงทุ้มฟังดูอบอุ่นกว่าทุกครั้งที่พูดกับคนอื่น
(“พูดเหมือนพี่ไม่ยุ่งเลยนะคะ”) น้องสาวต่อว่าเบาๆ
(“แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังได้คุยกันวันนี้”)
น้ำเสียงร่าเริงพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น
(“พี่วิชญ์…วีณ์มีเรื่องจะปรึกษา”)
(“ว่าแล้วเชียว โทรหาพี่ต้องมีเรื่องแน่ๆ สรุปว่ามีอะไรล่ะ หรืออยากได้กระเป๋าใบใหม่ พี่จะได้ให้นายแสนจัดการให้”)
(“เปล่าค่ะ แต่พักนี้มีพวกแฟนคลับโรคจิตตามวีณ์ค่ะ”) เสียงเธอแผ่วลงก่อนพูดต่อ
(“ตอนแรกก็คิดว่าบังเอิญ แต่หลังๆ เหมือนเขาตามไปทุกกองถ่าย ทุกงานอีเวนต์ แถมยังมาดักรอที่หน้าคอนโดอีก แล้วก็ส่งจดหมายมาบอกว่าห้ามแต่งตัวโป๊ ห้ามเล่นฉากเลิฟซีน ไม่งั้นเค้าจะกรีดหน้าวีณ์ จนวีณ์เริ่มกลัว ทำงานไม่ค่อยเต็มที่แล้วค่ะ”)
พงศ์วิชญ์นิ่งฟัง ใบหน้าที่เคยผ่อนคลายแข็งกร้าวขึ้นทันตา
(“เคยเจอหน้ามันชัดๆ มั้ย”)
(“ไม่ค่ะ เห็นแต่เงาไกลๆ หรือไม่เค้าก็ใส่หมวกคลุมหน้า นี่ขนาดว่าเมื่อคืนวีณ์เลิกดึกนะปกติคงหลับสนิทไปแล้ว แต่นี่ยังข่มตาให้หลับได้ยากเลยค่ะ มัน...หลอนๆ ยังไงไม่รู้สิ กลัวว่าถ้าตื่นแล้วเค้าบุกมาถึงในห้อง วีณ์คง...”)
เขากวาดสายตาไปทางสารินที่ยืนเงียบอยู่ไม่ไกลก่อนตอบคนในสาย
(“งั้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเก็บเสื้อผ้าที่จำเป็น พี่จะให้คนไปรับ ช่วงนี้ย้ายมาอยู่กับพี่ก่อน ตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าพี่จะจัดการเรื่องนี้ได้ จะมีคนตามคุ้มกันวีณ์ตลอดเวลา”)
(“เอ๋ จะมีบอดี้การ์ดส่วนตัวเหรอคะ วีณ์ตื่นเต้นจัง ใครคะ?”)
น้ำเสียงเธอแปรเป็นสดใสขึ้นทันที
พงศ์วิชญ์หันไปพูดกับสาริน
“แสน จัดการตามที่ฉันสั่ง”
สารินชะงักเล็กน้อย ใจเต้นแรงแต่พยายามเก็บสีหน้า
“ครับเฮีย” เสียงตอบรับเรียบเฉย ทว่าลึกๆ ในใจกลับปั่นป่วน ชื่อของเธอคนเดียวทำให้ทุกความรู้สึกที่ซ่อนไว้พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ได้ยินชื่อของพี่ชายคนสนิทอีกคนปลายสายก็หัวเราะอย่างร่าเริง
(“พี่แสนจะมารับวีณ์เหรอคะ ดีจัง ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย วีณ์คิดถึงพี่แสนเหมือนกันนะ”)
สารินได้ยินประโยคสุดท้ายผ่านเสียงโทรศัพท์ที่ยังเปิดลำโพง ใจที่พยายามทำเป็นนิ่งยิ่งสั่นแรงกว่าเดิม เขารีบหลบตาเจ้านายหวั่นว่าความรู้สึกที่แอบเก็บมานานจะถูกอ่านออก
พงศ์วิชญ์เพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่เอ่ยอะไรต่อ
(“เตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวแสนจะไปถึง เก็บเสื้อผ้ามาสำหรับอยู่สักสองอาทิตย์ละกัน ถ้าต้องอยู่นานกว่านั้นค่อยให้คนไปช่วยขนมาเพิ่ม”)
(“โอเคค่ะ พี่แสนรีบมานะคะ วีณ์จะรอ”)
หญิงสาวกดตัดสายหลังพูดจบเพราะต้องรีบไปอาบน้ำแต่งตัว ไหนจะต้องเก็บเสื้อผ้าอีก
บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง สารินยืนนิ่ง สูดลมหายใจลึก พยายามซ่อนความดีใจที่จะได้พบเธออีกครั้งใต้สีหน้าเรียบเฉย ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น
“งั้นผมไปก่อนนะครับเฮีย”
พงศ์วิชญ์เพียงพยักหน้า ดวงตาคมทอดมองออกไปยังวิวตัวเมืองนอกผนังกระจก ขณะที่ในใจเขาเริ่มคิดแผนการคุ้มครองน้องสาวให้รัดกุมที่สุด พอเข้าใจว่าที่เธอไม่แจ้งตำรวจก็เพราะไม่อยากให้เป็นข่าว เขาจึงต้องจัดการเรื่องนี้ให้เธอเอง ก่อนเรื่องจะไปถึงหูบิดาแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้
เสียงออดดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่บานประตูคอนโดหรูจะเปิดออก พรปวีณ์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นสารินในชุดสูทเข้มกับท่าทีสุขุมคุ้นตา
“พี่แสน!”
เธอเรียกด้วยน้ำเสียงที่ทั้งตื่นเต้นและโล่งอกในคราวเดียว
“ดีใจจัง นึกว่าพี่วิชญ์จะอำเล่นแล้วซะอีกค่ะ”
สารินก้มศีรษะเล็กน้อยให้น้องสาวเจ้านาย แววตาคมที่มักเยือกเย็นกว่าภูเขาน้ำแข็งกลับอ่อนลงชั่ววูบเมื่อเห็นดวงตากลมโตของเธอ
“เฮียสั่งให้พี่มารับเอง วีณ์เก็บกระเป๋าพร้อมหรือยังครับ”
“พร้อมแล้วค่ะ” เธอถอยเพื่อให้ทาง พลางชี้ไปที่กระเป๋าล้อลากใบกลางที่วางรออยู่ข้างชั้นวางรองเท้า
“มีแค่นี้เองค่ะ วีณ์ไม่อยากขนเสื้อผ้าไปเยอะ เพราะปกติก็ใส่เสื้อผ้ากองถ่ายอยู่แล้ว”
สายตาของสารินกวาดสำรวจห้องอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ในฐานะผู้บุกรุก แต่ในฐานะคนที่ต้องประเมินความปลอดภัยตามนิสัย เขาเห็นแจกันดอกลิลลี่สีขาวตั้งอยู่บนโต๊ะกาแฟ กลิ่นหอมสะอาดตีกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ประจำตัวของเธอ ในมุมระเบียงมีขาตั้งกล้องเล็กและกีตาร์โปร่งสีไม้วางพิงกำแพง ภาพทั้งหมดนั้นทำให้ความทรงจำเก่าของเด็กหนุ่มที่เคยนั่งฟังเด็กสาวฝึกจับคอร์ดกีตาร์แบบผิดๆ ผุดขึ้นมาทันที พร้อมทั้งหัวใจที่เคยเต้นถี่อย่างไม่เข้าใจในเหตุผล
“งั้นไปกัน วีณ์ล็อกห้องให้เรียบร้อยนะ” เขาพูดด้วยเสียงเรียบ แต่สายตาเฝ้ามองทุกกิริยาของเธออย่างตั้งใจ
“รับทราบค่ะผู้กอง…อ้อ ลืมไปว่าพี่ลาออกจากทหารแล้ว” เธอแกล้งยกมือขึ้นทำความเคารพแบบเล่นๆ
มุมปากของสารินกระตุกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปั้นหน้านิ่งเช่นเคย
“อย่ามัวแต่เล่นอยู่เลย รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวรถติด”
เธอยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะดึงกระเป๋าผ่านธรณีประตูแล้วปิดห้องเรียบร้อย สารินจึงได้ยื่นมือไปรับกระเป๋าจากมือของเธอ
“พี่จัดการเอง” เขาพูดสั้นๆ
“ขอบคุณค่ะ…พี่แสน”
เสียงเรียกชื่อเขาที่ได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่า ฟังเหมือนคำพูดธรรมดา แต่สำหรับเขา เสียงนั้นเหมือนปลายนิ้วแตะลงตรงบาดแผลเก่า เจ็บน้อยๆ ทว่ากลับน่าหลงใหลอย่างประหลาด