เวลาผ่านไปเกือบสิบโมง พงศ์วิชญ์ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ความหนาของม่านกันแดดทำให้ห้องยังคงมีอุณหภูมิเย็นจัดอย่างที่เขาชอบ ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งเหมือนจะตั้งสติครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกจากเตียงแล้วเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดลำลองสบายตัวเพราะเช้านี้ไม่มีธุระที่ไหน ก่อนจะก้าวลงสู่โถงรับแขกที่ไร้เสียงใดๆ เขาจึงได้เดินไปที่ห้องอาหาร
บนโต๊ะอาหารมีไข่กระทะ ไข่ลวก แซนด์วิชหลายชิ้น และกาแฟในหม้อร้อน กระดาษโน้ตสีขาววางเคียงกัน เขาหยิบขึ้นอ่านทีละบรรทัด ดวงตาคมกริบกวาดผ่านตัวอักษรเรียบง่ายที่แฝงความตั้งใจ
ใบหน้าเย็นชาไม่เผยร่องรอยความรู้สึก แต่ปลายนิ้วกลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นอย่างไม่รีบร้อน เขากดบันทึกเบอร์โทรที่เธอเขียนไว้ จากนั้นเปิดแอปพลิเคชันไลน์แล้วกดเพิ่มเพื่อนจนขึ้นชื่อ ‘Noo_Eye’ บนหน้าจอ
เสียงแจ้งเตือนเบาๆ ดังขึ้นขณะที่เขาวางโทรศัพท์กลับลงบนโต๊ะ พงศ์วิชญ์นั่งลงบนเก้าอี้หนังที่ส่งเสียงเบาเมื่อรับน้ำหนักร่างสูง เขาใช้ช้อนค่อยๆ ตักไข่กระทะที่เย็นชืดเข้าปากและไม่คิดจะลุกไปอุ่นเพราะขี้เกียจก่อนชิมกาแฟที่อุณหภูมิลดลง แต่รสเข้มยังคงเดิม
ไม่มีใครรู้ว่าในใจเขากำลังคิดสิ่งใด...
ดวงตาคมยังคงนิ่งสงบ ริมฝีปากไม่ขยับ มีเพียงเสียงลมหายใจช้าๆ ในห้องกว้างที่ตอบแทนความเงียบของเช้าวันนั้น
เสียงประตูเพนต์เฮาส์เลื่อนเปิดอย่างเงียบงัน ก่อนที่สารินจะก้าวเข้ามาในโถงกว้างด้วยท่วงท่าคุ้นเคย เขาไม่จำเป็นต้องกดกริ่ง รหัสผ่านประตูนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ และเขาคือหนึ่งในนั้น
พงศ์วิชญ์ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ดวงตาคมเพียงเหลือบมองผู้มาเยือนครู่หนึ่งก่อนยกกาแฟขึ้นจิบ
“เมื่อคืนนายไปส่งเธอเองใช่รึเปล่า?” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยโดยไม่จำเป็นต้องทักทายก่อนตั้งคำถามนั้นขณะที่สารินก้าวเข้ามาใกล้ยืนตรงข้างโต๊ะ
“ครับเฮีย ผมไปส่งเธอที่หอพักเมื่อคืนตามคำสั่ง ให้เธอเก็บของใช้จำเป็นแล้วกลับมาที่นี่ ไม่มีปัญหาอะไร”
“อืม” พงศ์วิชญ์พยักหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนถามต่อ
“แล้วเรื่องที่ให้สืบล่ะ”
“เธอเป็นเด็กกำพร้าจริงๆ ครับ พ่อแม่เสียจากอุบัติเหตุเมื่อหกปีก่อน ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยปีสามคณะวารสารศาสตร์ เคยทำงานพาร์ตไทม์หลายที่ ผมตรวจละเอียดแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกับศัตรูของเฮียหรือกลุ่มที่เราเคยมีเรื่องด้วยแม้แต่คนเดียว”
พงศ์วิชญ์ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง แววตานิ่งราวกับกำลังประเมินในสิ่งที่ได้ยิน
“แน่ใจ?”
“แน่ใจครับ ประวัติทุกอย่างสะอาดหมดจด แค่...รันทดไปหน่อยเท่านั้น”
“งั้นไปตรวจสอบมาอีกเรื่อง”
“อะไรเหรอครับ”
“ฉันอยากรู้ว่าพ่อแม่ที่ตายไป ใช่พ่อแม่แท้ๆ ของเธอรึเปล่า ถ้าหากว่าไม่ใช่แล้วก่อนหน้านั้นเธอเคย...อยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าที่ไหนมั้ย”
“ทำไมเฮียถึง..”
“ฉันสั่งก็แค่ทำตาม”
“ครับเฮีย”
ความเงียบปกคลุมโต๊ะอาหารอยู่ครู่หนึ่ง สารินมองเจ้านายอย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเอ่ยคำถามที่เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
“เฮียครับ…ผมขอถามตรงๆ ได้มั้ยครับ”
“ว่ามา”
“ทำไมเฮียถึงเก็บเธอไว้ข้างตัวล่ะครับ ทั้งที่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด ถ้ากลัวว่าเธอจะแพร่งพรายเรื่องที่เห็นเมื่อคืน เฮียจัดการวิธีอื่นก็ได้ ทำไมถึง...ให้เธอมาเป็นสาวใช้ แถมยังให้เงินเดือนอีก หรือว่าเฮียสงสารที่เธอเป็นเด็กกำพร้าเท่านั้น”
พงศ์วิชญ์วางถ้วยกาแฟลงบนจานรองเสียงเบา เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมกริบตวัดขึ้นสบลูกน้องที่มีอายุเท่ากัน ก่อนตอบออกไปเสียงเรียบ
“ไม่มีเหตุผลจะให้ ถึงนายจะมีสิทธิ์ถาม แต่ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบนี่ จริงรึเปล่า?”
สารินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ขอโทษครับเฮีย”
พงศ์วิชญ์ไม่พูดต่อ เพียงทอดสายตากลับไปยังไข่กระทะและโน้ตที่วางอยู่ แววตาเย็นสงบไร้ร่องรอยบอกความคิด ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ยากจะคาดเดา
กระทั่งเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะอาหารดังขึ้นพร้อมจังหวะสั่นเบาๆ เขาเหลือบตามองหน้าจอเพียงแวบเดียวก็เห็นชื่อที่คุ้นเคย วีณ์ น้องสาวเพียงคนเดียวที่เขายอมให้ขัดจังหวะได้ทุกเวลา
เขากดรับสายทันทีแต่ไม่ได้นำโทรศัพท์มาแนบหูเพราะเขากดเปิดลำโพงแทน
(“ว่าไงเราทำไมโทรมาเช้าจัง”) ถามเธอพลางหยิบแซนด์วิชชิ้นหนึ่งขึ้นมากัด ขณะที่สารินก็ยืนฟังอยู่เงียบๆ
(“เช้าอะไรกันคะ นี่มันสิบโมงกว่าแล้วนะ แต่สงสัยพี่วิชญ์เพิ่งตื่นล่ะสิ”) เสียงหวานใสที่คุ้นเคยของ พรปวีณ์ นางเอกชื่อดังของวงการบันเทิงวัยสามสิบสามปีดังลอดออกมา
(“นั่นสินะ แล้วสรุปว่ามีอะไรถึงโทรมา”)
(“คิดถึงพี่ชายน่ะค่ะ นานๆ ทีจะได้ยินเสียงกันสักหน พี่วิชญ์สบายดีมั้ย ช่วงนี้ทำงานหนักหรือเปล่า”)
พงศ์วิชญ์หัวเราะในลำคอก่อนตอบไป
(“ยังหายใจอยู่ก็ถือว่าสบายดีแล้วล่ะ แล้วเราล่ะ มีงานละครถ่ายถึงดึกทุกวันไม่ใช่เหรอ ยังไหวรึเปล่า พ่อบอกแล้วว่าให้เลิกทำงานแล้วกลับไปเกาะท่านกินได้แล้ว ท่านบ่นคิดถึงให้พี่ฟังตลอดนะเวลากลับบ้านน่ะ”)
(“โอ๊ย สบายมากค่ะ วีณ์แข็งแรงจะตาย แล้วก็ยังไม่อยากกลับไปเกาะคุณพ่อกินด้วย ปล่อยให้คุณพ่อเค้าสวีตกับคุณแม่ให้เต็มที่ดีกว่า ไม่อยากไปเป็น ก.ข.ค. แต่...วีณ์อยากเจอพี่วิชญ์จังค่ะ อยู่กรุงเทพฯ ด้วยกันแท้ๆ แทบไม่ค่อยเห็นหน้ากันเลย ตาว่านกับตาวินก็ไม่ค่อยโผล่ไปหาที่กองถ่ายเหมือนแต่ก่อน สงสัยกลัวโดนจับไปเป็นดารา เล่นหล่อไม่เกรงใจพระเอกกันบ้างเลย”)