ผมไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดีที่เขาทำตามสัญญาจริง ๆ
พี่แผนพาผมเข้ามาดักจับไก่ป่าห่างออกไปจากน้ำตกไม่ไกลนัก ผมดีใจที่จะได้กินไก่สมใจหมาย แต่ไม่คิดว่ามันจะยุ่งยากขนาดนี้
เขาพาผมออกมาใส่บ่วงจากนั้นก็ทำเสียงล่อไก่ป่าออกมาให้ติดกับดัก ระหว่างนี้ก็ต้องนอนรอ
“พี่หลอกผมไหมเนี่ย ไม่มีไก่มาสักตัว”
“ชูววว ไก่มันตกใจเสียงแหลม ๆ ของมึงนี่แหละ”
อะไรกันวะเนี่ย ผมก็เพิ่งปริปากพูดออกมาเองนะ มาโบ้ยความผิดส่งให้ผมได้ยังไง
ตอนนี้เราสองคนมานั่งซุ่มดูอยู่หลังพุ่มไม้เงียบ ๆ รอจนผมรากจะงอกก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดผ่านมาสักตัว
“หึหึ เป็นไง เพิ่งผ่านไปชั่วโมงเดียวมึงท้อแล้วเหรอ”
“ก็ท้อน่ะสิ หากินยากกินเย็นอะไรขนาดนี้”
ผมเหม่อลอยมองขึ้นฟ้าพร้อมเบะปาก ชีวิตไอ้บังอรช่างน่าสงสาร ต้องมาตกระกำลำบาก
“มึงอย่ามาเจ้าน้ำตา นั่งรออีกนิด กูได้ยินเสียงไก่เดินมาแล้วเนี่ย”
“จริงเหรอพี่”
ผมเบิกตาโพลงรีบหันมาจดจ่อกับบ่วงที่วางเป็นกับดักไว้อยู่ไม่ไกล
“อือ ไก่สี่ขาซะด้วย”
เขาเอ่ยบอกด้วยท่าทางไม่ยี่หระ แต่กลับยื่นมือมากำข้อมือผมไว้แน่นคล้ายกลัวว่าผมจะวิ่งหนีไปไหน
เสียงใบไม้ถูกเหยียบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำเอาผมตื่นเต้น แต่รู้สึกแปลกใจลึก ๆ ที่เสียงฝีเท้ามันหนักเกินกว่าที่จะเป็นไก่ ถึงผมจะไม่ชำนาญด้านนี้แต่ผมก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะคิดวิเคราะห์เองไม่ได้
เสียงเริ่มดังเข้ามาใกล้ทุกทีพร้อมกับพุ่มไม้ที่เริ่มขยับ ไก่ป่าตัวนี้ต้องตัวใหญ่ขนาดไหนกันนะถึงทำให้พุ่มไม้ไหวเอนรุนแรงได้ขนาดนี้
แต่ทันทีที่พุ่มไม้เปิดออก ผมก็ต้องเกาะกำแขนพี่แผนไว้แน่น นาทีนี้บอกได้เลยว่าแทบหยุดหายใจ ไก่ป่าที่พี่แผนบอกมันกลับกลายเป็นสัตว์สี่เท้าอุ้งมือใหญ่คล้ายแมวยักษ์ ตัวสีเหลืองแต่พาดลายทางตามตัวด้วยสีดำ เสียงคำรามดังกึกก้องป่า ตอนนี้มันคงเห็นว่าพวกผมนั่งอยู่ตรงนี้แล้วมันถึงได้ค่อย ๆ เดินย่างก้าวมุ่งตรงเข้ามา
“พ...พี่แผน”
ขาแข็ง ๆ พยายามจะก้าวหนีแต่กลับทำไม่ได้
“อยู่เฉย ๆ”
พี่แผนยันตัวลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเสือโคร่งตัวเขื่องที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังกำข้อมือเล็กของผมไว้แน่น
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่จ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ไม่กี่อึดใจไอ้เสือโคร่งตัวนี้ก็เบือนหน้าหลบแล้วเดินหนีหายเข้าไปในป่า
“พี่แผน พี่ทำได้ยังไงเนี่ย”
เหลือเชื่อเลย เมื่อกี้เขาทำอะไรน่ะ ทำไมเสือถึงยอมถอยหลังให้โดยง่าย
“มันไม่ทำอะไรหรอก แค่เข้ามาแจ้งข่าว”
“แจ้งข่าวเหรอ เสือนี่นะพี่”
ผมเพิ่งมาฉุกคิดถึงคำพูดของชบาได้ ที่เขาเคยบอกผมว่าพี่แผนเลี้ยงเสือ นี่เขาเลี้ยงเสือจริง ๆ น่ะเหรอ ผมนึกว่าเป็นคำขู่ไม่ให้ผมหนีออกจากที่นี่ซะอีก
“กลับเถอะ กูเริ่มหิวข้าวแล้ว”
“กลับยังไงล่ะพี่ ไก่ยังไม่ได้สักตัวเลยเนี่ย”
ไม่ใช่ว่าผมไม่หิวหรอกนะ แต่ได้ตั้งตารอกินไก่แล้วก็ไม่อยากที่จะกินแห้วแทน
“มึงจะเอากี่ตัว”
“อยากได้สอง จะเอาไปแบ่งชบาด้วย”
พี่แผนส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินไปเก็บบ่วงใส่ถุงที่ผมถือแล้วควานมือเข้าไปหยิบกระบอกไม้ไผ่เล็กเรียวลักษณะคล้ายขลุ่ยขึ้นมาถือไว้ในมือ
เขาจับมันไว้หลวม ๆ แล้วทำเสียงล้อเลียนไก่ป่า ไม่กี่อึดใจผมก็ได้ยินเสียงใบไม้เริ่มขยับและเสียงขานตอบรับจากไก่จริง ๆ
แม้จะดีใจมากแต่ผมก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา เอาแต่ยืนนิ่ง ๆ มองดูพี่แผนว่าเขาจะจัดการยังไงต่อ
พอมองเห็นตัวไก่เขาก็หยิบลูกดอกยัดใส่ปลายกระบอกก่อนจะออกแรงเป่าจนปลายลูกดอกแหลม ๆ ปักใส่ไก่จนมันดิ้นกระแด่ว ๆ
“เฮ้ยย!! โคตรแม่นเลยพี่แผน”
ผมรีบวิ่งเข้าไปดูไก่ที่นอนแน่นิ่ง ลูกดอกน่าจะปักตัดขั้วจุดสำคัญของมันให้ตายคาที่
พูววว!!
เขาจัดการเป่าลูกดอกออกไปอีกครั้งเพื่อปักใส่ไก่ป่าอีกตัวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“เดี๋ยวนะพี่ ถ้ามันจะง่ายขนาดนี้แล้วพี่พาผมมานอนรอไก่ทำไมตั้งชั่วโมง”
“กูบอกเหรอว่ากูมานอนรอไก่”
“ฮะ!”
“กูแค่มานอนเล่น ถือไก่ตามมาได้แล้ว กูหิวจนไส้จะขาด”
คนว่าอย่างหน้าตายเดินนำหน้าออกไป ทิ้งให้ผมยืนเหวออยู่ตรงนั้น นี่ผมถูกเขาแกล้งอีกแล้วเหรอ!!
ในครัว
มาถึงบ้านพี่แผนก็ให้ผมถอนขนไก่ ผมก็ถอนไปบ่นไป กลิ่นคาวเลือดไก่คลุ้งไปทั่วครัวจนอยากอ้วก โชคดีที่เขาเกรงว่ามีดจะบาดมือจึงยอมไปสับไก่ให้ ส่วนผมก็มาทำเครื่องเทศรอ พอเตรียมวัตถุดิบเสร็จเขาก็ไล่ผมมาก่อกองไฟ ก่ออยู่นานก็ไม่ติด ลำบากพี่แผนต้องมาก่ออีกรอบ เรียกได้ว่าเสียงบ่นกันดังไปจนถึงบ้านหลังสุดท้าย
“ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด แล้วก็หอม เอาใส่หม้อ”
“ไก่เอาลงด้วยไหมพี่”
“แล้วเมื่อกี้กูได้พูดไหมล่ะ”
ผมคิดตามอีกรอบแล้วส่ายหน้าพัลวัน พอเจอสายตาดุ ๆ ของเขาจ้องมองอย่างเหนื่อยหน่ายผมจึงยอมหันกลับไปคว้าวัตถุดิบตามที่เขาบอกยัดลงหม้อ รออยู่สักพักหนึ่งเขาก็หันมาบอกอีก
“เอาไก่ลง”
“เอ้า! ก็ถามอยู่เมื่อกี้ว่าเอาลงไหม พี่ก็บอกว่าไม่”
“ก็เมื่อกี้มันยังไม่เดือด ใส่ลงไปมันก็คาวสิวะ”
“เมื่อกี้มันเดือดแล้ว ผมเห็นว่าน้ำมันร้อน”
“โอ๊ยยย ไอ้อร! กูหมายถึงมันยังไม่ได้เดือดขนาดนี้ เฮ้ออ คุยกับมึงแล้วปวดหัวฉิบหาย แดกข้าวเสร็จไปบอกไอ้ชบาหายาแก้ปวดหัวมาให้กูด้วยนะ”
ผมก็ปวดหัวเหมือนกันแหละ คนอะไรชอบทำให้เถียงอยู่ตลอดเวลา
“เอาทัพพีมาตักฟองออก”
“ตักทำไมเหรอ”
“ตักเฉย ๆ ให้มึงถามนี่แหละ คนอะไรถามได้ตลอดเวลา ตอนเด็กแม่มึงเอาเขียดตบปากมึงหรือไง”
ไม่รู้ก็ต้องถามน่ะสิ ถ้ารู้จะถามทำไม พี่แผนนี่ก็แปลกคน
พอตักฟองไปเรื่อย ๆ จนมันสุกเขาก็ยกหม้อมาวางที่เตาเปล่าพร้อมกับออกคำสั่งให้ผมปรุง ผมก็ปรุงไปตามปริมาณที่เขาบอกและปิดท้ายด้วยการบีบมะนาว เขาบอกว่าปรุงตอนยกออกจากเตาแล้วมันจะทำให้น้ำแกงอร่อยยิ่งขึ้น
พอเสร็จสรรพผมก็ยกถาดอาหารมานั่งที่แคร่หน้าบ้านจุดเดิม ซดน้ำร้อน ๆ เข้าไปนี่มันช่างชื่นใจดีจริง ๆ เลย
แต่ทันทีที่ผมตักไก่ขึ้นมากัด ผมก็แทบจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะไก่มันเหนียวกว่าที่จินตนาการเอาไว้เยอะเลย
“พี่แผน ทำไมมันเหนียวอย่างนี้ล่ะ”
“เหนียวสิวะ ไก่ตัวผู้”
“โอ๊ยยยยย!! นี่ผมอุตส่าห์ลงทุนไปนอนเฝ้าทั้งวัน เพื่อจะได้กินไก่เหนียว ๆ เนี่ยนะ”
หน้าตาของผมตอนนี้บ่งบอกได้แน่ชัดว่าผมกำลังรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด คิดถึงบ้านจัง คิดถึงไก่นุ่ม ๆ หรือไม่ก็ไก่เคเอฟซีตามห้าง
“ทำไม มึงจะเรื่องมากอะไรอีก”
พอเห็นหน้าหงอย ๆ เขาก็เอ่ยถามอย่างรู้ทัน
“ไม่ได้เรื่องมากสักหน่อย ผมแค่อยากกินไก่นุ่ม ๆ อย่างเช่นพวกเคเอฟซีอะไรทำนองนั้น”
“อะไรวะ เคอีเซฟอะไรของมึง”
“โวะ เขาเรียกว่าเคเอฟซี อร่อยมากเลยนะพี่ มันจะเป็นไก่ชุบแป้งทอดนุ่ม ๆ เพิ่งเข้าไทยได้ไม่นานนี้เอง ไม่เหนียวเหมือนเคี้ยวส้นรองเท้าแบบนี้หรอก”
ผมว่าพลางพเยิดหน้าไปที่ต้มไก่ในชาม
“ความพยายามที่มึงลงทุนไปทั้งวันกว่าจะได้กินเนี่ย มันไม่ได้ทำให้มึงรู้สึกอร่อยขึ้นเลยเหรอวะ”
พี่แผนว่าอย่างเหนื่อย ๆ เขาคงปลงตกกับความเรื่องมากของผม
“มันก็อร่อยแหละ แต่มันเหนียว”
“กิน ๆ ไปเถอะอร นะ กูขอร้องนะ มึงอย่าสร้างความปวดหัวให้กูมากกว่านี้เลย”
พี่แผนแทบจะยกมือกราบขอร้องให้ผมหยุดบ่นแล้วกินสักที ไอ้ผมมันก็ไม่ใช่คนเชื่อฟังอะไรหรอกนะ แต่ก็รับรู้ชะตากรรมตัวเองอยู่พอสมควร
ลาก่อนนะเคเอฟซี ลาก่อนนะไก่นุ่ม ๆ และไฟแสงสีแห่งความเจริญ ต่อไปนี้ไอ้บังอรจะเป็นคนป่าจริง ๆ แบบเต็มตัวแล้ว
อยากร้องไห้ว่ะ ฮืออออออ