ผมไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง ได้ยินแต่เสียงคนเดินรอบบ้านทั้งคืน พี่แผนน่าจะจัดลูกน้องออกมาเฝ้า ส่วนตัวเขานั้นได้นอนหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ เพราะตื่นขึ้นมาก็เห็นเขานั่งลับมีดอยู่ คนอะไรนั่งลับมีดได้ทั้งวัน ถ้าจะลับมีดเก่งขนาดนี้มาเป็นโจรทำไมนะ ทำไมไม่ไปหารับจ้างลับมีด ผมจะได้ช่วยอุดหนุนสักเล่มสองเล่ม
“อย่ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่”
“ค้ำหัวที่ไหน ผมก็ยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เอามือไปค้ำหัวพี่สักหน่อย”
ผมเถียงกลับทันควัน จู่ ๆ มาหาเรื่องทันทีที่ตาเห็นแบบนี้ ผมสู้กลับนะบอกไว้ก่อน รู้จักไอ้บังอรน้อยไปซะแล้ว
“เฮ้อออ กูหมายถึงอย่ามายืนใกล้ ๆ เวลาที่ผู้ใหญ่นั่ง”
“ทำไม”
ผมถามกลับด้วยความสงสัย
“ก็มันหมายถึงการยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ไง”
“เอ้า ผมก็บอกอยู่นี่ไงว่าไม่ได้ยืนค้ำ ก็ยืนอยู่เฉย ๆ เนี่ย”
แกร๊ง!!
เสียงมีดกระทบเข้ากับหินลับมีดแรง ๆ ทำเอาผมสะดุ้งโหยง สงสัยความปากดีของผมมันจะสร้างเรื่องแล้ว
“มึงจะไปไหนก็ไป”
ก็ไม่ได้อยากจะอยู่ด้วยหรอกนะ แค่สงสัยว่าคนอะไรลับมีดได้ทั้งวันเลยเดินเข้ามาดูแค่นั้นเอง
“เดี๋ยว”
เสียงเอ่ยเรียกทำให้ผมชะงักขาที่กำลังจะเดิน
“มึงจะไปไหน”
“หอบผ้าเต็มมือขนาดนี้ คงจะไปกินข้าวมั้ง”
“เอ้า ไอ้นี่ กูถามดี ๆ เสือกกวนตีน ผีเจาะปากมึงมาเกิดแท้ ๆ”
เมื่อเห็นท่าทางฉุนเฉียวผมจึงยอมเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรออกมาอีก
“จะไปซักผ้าใช่ไหม ทำไมไม่เอาเสื้อผ้ากูไปซักด้วย”
“จะบ้าเหรอ เสื้อผ้าใครก็ซักเองดิ ขนาดของผมยังให้ชบาซักให้เลย”
“ฮะ!! ทำไมถึงให้ชบาซักให้ คิดว่านี่เป็นบ้านตัวเองหรือไง ที่ใครจะมาเป็นขี้ข้าก็ได้”
แววตาดุ ๆ ของเขา ทำให้คำตำหนิดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
“ก...ก็ผมซักไม่เป็น”
ผมตอบกลับเสียงอ้อมแอ้มพลางกระชับกอดเสื้อผ้าในอกแน่น เกิดมาจากท้องแม่ก็มีคนคอยซักให้ตลอด แถมชบายังอาสาซักให้เองด้วย ไม่ใช่ว่าผมบังคับเขาสักหน่อย
“เฮ้อออ นี่กูเอาตัวภาระมาทำไมวะเนี่ย รู้งี้น่าจะยิงทิ้งซะแต่แรก”
คนบนแคร่บ่นอุบก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปบนบ้าน แล้วเดินลงมาพร้อมตะกร้าใส่เสื้อผ้าในมือ
มาถึงเขาก็แย่งเสื้อผ้าในมือผมยัดใส่ตะกร้า แล้วก็ยัดเยียดตะกร้าผ้าสานด้วยไม้หวายหนัก ๆ มาให้ผมถือ
ตะกร้าหนัก ๆ ทำเอาตัวผมโอนเอนไปมาเวลาเดินตามแผ่นหลังของเขามาที่น้ำตก
คนอะไรไม่มีน้ำใจเลย ในนี้ก็มีเสื้อผ้าเขาเหมือนกัน แทนที่จะช่วยผมถือคนละครึ่งทาง
“ทำหน้าอย่างงี้คงกำลังด่ากูในใจอยู่สินะ”
“ก็ใช่น่ะสิ ผมด่าออกเสียงได้เหรอ เดี๋ยวพี่ก็ว่าผมอีก”
“บางครั้งมึงไม่ต้องเถียงกูกลับก็ได้นะอร”
คนตัวสูงหันมาถอนหายใจแรง ๆ ด้วยความละเหี่ยใจก่อนจะแย่งตะกร้าในมือผมไปถือด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ก็ยังดี อย่างน้อยก็ช่วยกันถือละวะ
พอเดินมาถึงน้ำตกก็เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องลงไปซักผ้าตามที่เขาบอก
“ขยี้แรง ๆ สิวะ มึงกลัวมันเจ็บหรือไง”
นี่ผมก็ขยี้แรงแล้วนะ เขายังต้องการให้มันแรงถึงระดับไหนอีก
“โอ๊ยยยย ไม่ใช่อย่างงั้น”
คนนั่งดูบนโขดหินทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความไม่พอใจ ภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็นคงเป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิด
“ขยี้อีก ไม่เห็นหรือไงว่ามันยังมีรอยเปื้อนอยู่”
“โอ๊ยยยย ถ้างั้นพี่มาซักเองเลยมา ตัวเองซักเก่งนักหรือไงถึงมานั่งออกคำสั่ง”
เมื่อความอดทนถึงขีดสุด ผมก็โยนผ้าลงน้ำแรง ๆ จนน้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว พี่แผนเห็นแบบนั้นก็ทึ้งหัวตัวเองแรง ๆ
“งั้นมานั่งนี่มา เดี๋ยวกูจะซักให้คนโง่ ๆ อย่างมึงดูเป็นขวัญตา”
ไม่ว่าเปล่า เขาลุกขึ้นถอดเสื้อออกแล้วพับขากางเกงขึ้น จากนั้นก็เดินลงมาในน้ำ ผลัดให้ผมได้ขึ้นมานั่งบนโขดหินแทนตำแหน่งเดิมของเขา
“มึงดูนี่นะ จับอย่างนี้ แล้วก็ขยี้ ขยี้ ขยี้ แบบนี้ มันยากตรงไหนวะ”
เขาอธิบายเป็นขั้นตอนไปด้วยสีหน้าตั้งใจ มองดูแล้วก็อดที่จะแกล้งไม่ได้
“โอ้โหหห พี่แผนเนี่ยซักเสื้อผ้าเก่งจังเลย แล้วถ้าเป็นกางเกงล่ะพี่”
“กางเกงเหรอ ก็ซักแบบเดียวกันนี่แหละ”
เขาหันกลับไปที่ตะกร้าแล้วหยิบกางเกงของผมขึ้นมาซักให้ดูเป็นตัวอย่าง
“อะ ทีนี้มึงทำเป็นหรือยัง”
“ยากจังพี่ ทำให้ดูอีกสักสองสามตัวหน่อยสิ”
ผมกะพริบตาปริบ ๆ เชิงอ้อนวอน เขาก็ไม่ได้ขัด รีบหยิบเสื้อผ้าในตะกร้ามาซักต่อ
“คิก ๆ ๆ”
ผมมองดูเขาตั้งใจซักผ้าแล้วก็แอบหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ป่านนี้เขายังไม่รู้ตัวอีกว่าโดนผมหลอกใช้ซักเสื้อผ้า
จู่ ๆ เขาก็หยุดชะงักมือที่กำลังขยี้แล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมตาขวาง
“เดี๋ยวนะ นี่มึงหลอกกูซักผ้าเหรอ”
“ล...หลอกเหลิกอะไรกัน ไม่มี้”
“มึงนี่มัน...!!”
เมื่อเห็นท่าไม่ดี ผมก็รีบตั้งท่าจะหลบหนี แต่ก็ช้ากว่าฝ่ามือหนาที่คว้ามาดึงข้อมือ
ตู้มมมมม!!
“แคก ๆ ๆ พ...พี่แผน แคก ๆ ช...ช่วยด้วย”
ผมตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ หลังจากโดนเขากระชากแรง ๆ จนหน้าขมำจมลงน้ำบ่อลึกจนรู้สึกแสบจมูกไปหมด โดยมีผู้ชายใจร้ายยืนกอดอกดูอยู่ ช่างเลือดเย็นอะไรขนาดนี้ ฆ่าคนแล้วยืนดูเขาดิ้นทุรนทุรายตายต่อหน้าต่อตา
“แคก ช...ช่วยด้วย แคก ๆ”
“น้ำตื้น”
“แคก ๆ บุ๋ง ๆ ๆ”
“ไอ้อร มึงตั้งสติ น้ำมันสูงแค่เอว”
ในจังหวะเฮือกสุดท้าย ผมกลั้นใจหยั่งเท้าลงและยืนขึ้น ก่อนจะค้นพบว่ามันเป็นน้ำตื้น
ผลัวะ!
“พี่แกล้งผมเหรอ!”
เมื่อรู้ว่าโดนเอาคืน ผมไม่รอช้าที่จะเดินตรงไปทุบหมัดเล็ก ๆ ใส่รอยสักเสือที่หน้าอกเขาอย่างเดือดดาล แต่นอกจากเขาจะไม่สะทกสะท้านกับหมัดเล็ก ๆ ของผมแล้ว เขายังกลั้วขำจนทำให้ผมควันออกหูอีกต่างหาก
“คนใจร้าย!”
ผมฮึดฮัดหมายจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไป แต่ก็ถูกคนด้านหลังรวบตัวไปกอดไว้แน่น
“หึหึ โกรธจริงเหรอเนี่ย”
“ไม่ต้องมาแตะต้องตัวผม!”
ยิ่งเขากอดรัด ผมก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ มันน่าโมโหจริง ๆ
“เลิกโกรธได้แล้ว กูง้อคนไม่เป็นนะ”
“ง้อไม่เป็นก็ไม่ต้องง้อสิ ผมขอให้พี่ง้อเหรอ ปล่อยนะ ปล่อยยยย”
ฟอดดด!!
ปลายจมูกกดสูดดมที่ข้างแก้มเต็มปอดจนผมหยุดชะงัก ตาที่โตเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนที่จะเริ่มตกตะกอนเป็นความเขินอาย
ผมเพิ่งรู้สึกว่าเรากำลังแนบชิดกันมากเพียงใด เสื้อของผมมันเปียกจนแนบเนื้อ ส่วนพี่แผนเองก็ถอดเสื้อจนทำให้แผ่นหลังบางแนบสนิทกับอกแกร่งของเขามากขึ้น
“มึงหายโกรธหรือยัง”
“ย...ยัง”
“ถ้ายังกูจะได้จูบ”
ไวกว่าคำพูด เขารีบโน้มหน้าลงมาจนผมต้องโวยวาย
“ด...เดี๋ยวสิ หายแล้ว ๆ”
“หึหึ ไม่โกรธต่ออีกนิดล่ะ เผื่อไม่หายกูจะได้พาไปเอาข้างโขดหิน”
“พูดอะไรเนี่ย”
ความรู้สึกร้อนผ่าวผุดขึ้นมาตามใบหน้าลามไปถึงใบหู ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้เขาคงรู้ว่าผมเสียอาการแน่ ๆ
ผมรีบผละตัวออกทันทีในจังหวะที่เขายอมคลายมือ ทำให้ผมหลุดพ้นออกมาได้โดยง่าย แต่ยิ่งมองหน้าเขาที่จ้องมาอย่างล้อ ๆ ผมก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกจนต้องรีบงุดหน้าแล้ววิ่งไปหอบผ้าที่ซักเสร็จใส่ตะกร้า
แกร๊ก!
“เฮ้ย!!”
แต่แล้วผมก็ต้องหัวเสียขั้นสุดเมื่อจังหวะที่ผมยกตะกร้าขึ้น กำไลแขนสุดหวงมันดันไปงัดเข้ากับหูจับของตะกร้า จนทำให้มันหลุดตกน้ำดังจ๋อม
โชคดีที่น้ำมันใสผมจึงหากำไลเจอได้โดยง่าย แต่ก็ไม่โชคดีขนาดนั้นเพราะมันดันหักออกเป็นสองท่อน
“อะไร”
คนตัวสูงเดินเข้ามาชะเง้อคอดูในมือผมด้วยความอยากรู้
“กำไลข้อแขนหัก”
ผมทำตาละห้อยมองตามกำไลสุดหวงอย่างปลงตก ของชิ้นนี้ราคาแพงซะด้วยสิ เพราะแม่ผมสั่งทำพิเศษ
“ทำไมทำหน้าหงอยเป็นหมาแบบนั้นวะ กะอีแค่กำไลแขน กูไปซื้อมาให้ใหม่ก็ได้”
“ซื้อใหม่ก็ไม่เหมือนเดิมหรอก นี่มันแบบพิเศษเลยนะ แม่ผมสั่งทำให้ตอนวันเกิดอายุสิบห้าปี แถมด้านในมันยังสลักชื่อผมลงไปด้วย”
ไม่เพียงพูดอธิบาย แต่ผมหยิบกำไลแขนชิ้นส่วนที่มีชื่อผมสลักอยู่ด้านในยื่นส่งให้เขาดู
“หือ ด้านล่างนี่เลขอะไร”
“เลขวันเกิดผมนี่แหละ”
ผมตอบกลับอย่างหงอย ๆ พลางเก็บกำไลแขนลงใส่ถุงเสื้อ
พี่แผนพาผมเดินกลับมาจนถึงบ้าน พอมาถึงก็เห็นอาหารที่ชบาทำให้รอวางอยู่บนแคร่หน้าบ้านแล้ว ชบานี่เป็นแม่ศรีเรือนดีจริง ๆ ข้าวปลาอาหารไม่เคยขาดเลยสักมื้อ
“อะไรน่ะพี่แผน”
ผมเอ่ยถามตอนเห็นพี่แผนยกเปิดฝาชีที่สานด้วยไม้ไผ่ขึ้น
“อ่อมกระแต”
“ฮะ! กระแตอีกแล้วเหรอ”
ผมรู้มาจากชบาว่าพี่แผนเขาชอบกินกระแตมาก แต่จะกินกระแตทุกคาบไม่ได้ เขาไม่เบื่อบ้างหรือไงกัน
“ถ้ามึงเบื่อมึงก็ไปทอดไข่สิ”
“ไม่เอาอะไข่ก็ไม่อยากกิน”
ผมตอบกลับอย่างเอาแต่ใจ
“งั้นจะกินอะไร กินปลาไหมเดี๋ยวให้พวกไอ้สิงห์เอามาให้”
“ไม่เอาาาา ก้างมันเยอะผมไม่ชอบ”
“โวะ! แล้วมึงจะแดกอะไร”
เขาเริ่มเปลี่ยนท่าทางเป็นยืนค้ำเอวอย่างหัวเสีย
“ผมอยากกินไก่”
“เหอะ ดีเนาะ ของมีไม่อยากแดก เสือกจะแดกของที่มันไม่มี”
ผมก็อยากจะเถียงกลับเหมือนกันแหละว่าอยากกินแค่ไก่ ทำไมถึงมีทุกอย่างยกเว้นไก่ ผมเป็นคนที่เลือกกินมาก ๆ แม่ครัวที่บ้านเขาจะรู้ดี ผมถึงต้องมีแม่ครัวประจำคอยจัดอาหารให้ตรงตามใจผมในแต่ละมื้อยังไงล่ะ
“เออ ๆ ๆ คาบนี้ก็แดกกระแตนี่แหละไปก่อน ไว้กินอิ่มจะพาไปหาไก่”
“จริงนะ”
ผมตาโตด้วยความดีใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมตามใจ
“ถ้างั้น คาบนี้ขอกินไข่ก่อนได้ไหมล่ะ”
“อืม ไปทอดสิ”
“ทอดยังไงล่ะ ผมทอดไม่เป็น”
“เฮ้อออ ภาระฉิบหาย ผีห่าตนใดมันดลใจให้กูลักพาตัวมันมาวะ กูจะแช่งไม่ให้มันได้ผุดได้เกิด!”
ทั้งที่บ่นอย่างกระแทกแดกดันแต่เขาก็ยอมปิดฝาชีลงแรง ๆ แล้วเดินอ้อมกลับเข้าไปที่ครัวเพื่อทอดไข่ให้ผมกิน
สมน้ำหน้า อยากลักพาตัวผมมาดีนัก นี่แหละเขาเรียกว่าตัวเวรกรรม