มันคงเป็นเวรกรรม

2031 คำ
ผมไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง ได้ยินแต่เสียงคนเดินรอบบ้านทั้งคืน พี่แผนน่าจะจัดลูกน้องออกมาเฝ้า ส่วนตัวเขานั้นได้นอนหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ เพราะตื่นขึ้นมาก็เห็นเขานั่งลับมีดอยู่ คนอะไรนั่งลับมีดได้ทั้งวัน ถ้าจะลับมีดเก่งขนาดนี้มาเป็นโจรทำไมนะ ทำไมไม่ไปหารับจ้างลับมีด ผมจะได้ช่วยอุดหนุนสักเล่มสองเล่ม “อย่ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่” “ค้ำหัวที่ไหน ผมก็ยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เอามือไปค้ำหัวพี่สักหน่อย” ผมเถียงกลับทันควัน จู่ ๆ มาหาเรื่องทันทีที่ตาเห็นแบบนี้ ผมสู้กลับนะบอกไว้ก่อน รู้จักไอ้บังอรน้อยไปซะแล้ว “เฮ้อออ กูหมายถึงอย่ามายืนใกล้ ๆ เวลาที่ผู้ใหญ่นั่ง” “ทำไม” ผมถามกลับด้วยความสงสัย “ก็มันหมายถึงการยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ไง” “เอ้า ผมก็บอกอยู่นี่ไงว่าไม่ได้ยืนค้ำ ก็ยืนอยู่เฉย ๆ เนี่ย” แกร๊ง!! เสียงมีดกระทบเข้ากับหินลับมีดแรง ๆ ทำเอาผมสะดุ้งโหยง สงสัยความปากดีของผมมันจะสร้างเรื่องแล้ว “มึงจะไปไหนก็ไป” ก็ไม่ได้อยากจะอยู่ด้วยหรอกนะ แค่สงสัยว่าคนอะไรลับมีดได้ทั้งวันเลยเดินเข้ามาดูแค่นั้นเอง “เดี๋ยว” เสียงเอ่ยเรียกทำให้ผมชะงักขาที่กำลังจะเดิน “มึงจะไปไหน” “หอบผ้าเต็มมือขนาดนี้ คงจะไปกินข้าวมั้ง” “เอ้า ไอ้นี่ กูถามดี ๆ เสือกกวนตีน ผีเจาะปากมึงมาเกิดแท้ ๆ” เมื่อเห็นท่าทางฉุนเฉียวผมจึงยอมเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรออกมาอีก “จะไปซักผ้าใช่ไหม ทำไมไม่เอาเสื้อผ้ากูไปซักด้วย” “จะบ้าเหรอ เสื้อผ้าใครก็ซักเองดิ ขนาดของผมยังให้ชบาซักให้เลย” “ฮะ!! ทำไมถึงให้ชบาซักให้ คิดว่านี่เป็นบ้านตัวเองหรือไง ที่ใครจะมาเป็นขี้ข้าก็ได้” แววตาดุ ๆ ของเขา ทำให้คำตำหนิดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น “ก...ก็ผมซักไม่เป็น” ผมตอบกลับเสียงอ้อมแอ้มพลางกระชับกอดเสื้อผ้าในอกแน่น เกิดมาจากท้องแม่ก็มีคนคอยซักให้ตลอด แถมชบายังอาสาซักให้เองด้วย ไม่ใช่ว่าผมบังคับเขาสักหน่อย “เฮ้อออ นี่กูเอาตัวภาระมาทำไมวะเนี่ย รู้งี้น่าจะยิงทิ้งซะแต่แรก” คนบนแคร่บ่นอุบก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปบนบ้าน แล้วเดินลงมาพร้อมตะกร้าใส่เสื้อผ้าในมือ มาถึงเขาก็แย่งเสื้อผ้าในมือผมยัดใส่ตะกร้า แล้วก็ยัดเยียดตะกร้าผ้าสานด้วยไม้หวายหนัก ๆ มาให้ผมถือ ตะกร้าหนัก ๆ ทำเอาตัวผมโอนเอนไปมาเวลาเดินตามแผ่นหลังของเขามาที่น้ำตก คนอะไรไม่มีน้ำใจเลย ในนี้ก็มีเสื้อผ้าเขาเหมือนกัน แทนที่จะช่วยผมถือคนละครึ่งทาง “ทำหน้าอย่างงี้คงกำลังด่ากูในใจอยู่สินะ” “ก็ใช่น่ะสิ ผมด่าออกเสียงได้เหรอ เดี๋ยวพี่ก็ว่าผมอีก” “บางครั้งมึงไม่ต้องเถียงกูกลับก็ได้นะอร” คนตัวสูงหันมาถอนหายใจแรง ๆ ด้วยความละเหี่ยใจก่อนจะแย่งตะกร้าในมือผมไปถือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก็ยังดี อย่างน้อยก็ช่วยกันถือละวะ พอเดินมาถึงน้ำตกก็เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องลงไปซักผ้าตามที่เขาบอก “ขยี้แรง ๆ สิวะ มึงกลัวมันเจ็บหรือไง” นี่ผมก็ขยี้แรงแล้วนะ เขายังต้องการให้มันแรงถึงระดับไหนอีก “โอ๊ยยยย ไม่ใช่อย่างงั้น” คนนั่งดูบนโขดหินทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความไม่พอใจ ภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็นคงเป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิด “ขยี้อีก ไม่เห็นหรือไงว่ามันยังมีรอยเปื้อนอยู่” “โอ๊ยยยย ถ้างั้นพี่มาซักเองเลยมา ตัวเองซักเก่งนักหรือไงถึงมานั่งออกคำสั่ง” เมื่อความอดทนถึงขีดสุด ผมก็โยนผ้าลงน้ำแรง ๆ จนน้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว พี่แผนเห็นแบบนั้นก็ทึ้งหัวตัวเองแรง ๆ “งั้นมานั่งนี่มา เดี๋ยวกูจะซักให้คนโง่ ๆ อย่างมึงดูเป็นขวัญตา” ไม่ว่าเปล่า เขาลุกขึ้นถอดเสื้อออกแล้วพับขากางเกงขึ้น จากนั้นก็เดินลงมาในน้ำ ผลัดให้ผมได้ขึ้นมานั่งบนโขดหินแทนตำแหน่งเดิมของเขา “มึงดูนี่นะ จับอย่างนี้ แล้วก็ขยี้ ขยี้ ขยี้ แบบนี้ มันยากตรงไหนวะ” เขาอธิบายเป็นขั้นตอนไปด้วยสีหน้าตั้งใจ มองดูแล้วก็อดที่จะแกล้งไม่ได้ “โอ้โหหห พี่แผนเนี่ยซักเสื้อผ้าเก่งจังเลย แล้วถ้าเป็นกางเกงล่ะพี่” “กางเกงเหรอ ก็ซักแบบเดียวกันนี่แหละ” เขาหันกลับไปที่ตะกร้าแล้วหยิบกางเกงของผมขึ้นมาซักให้ดูเป็นตัวอย่าง “อะ ทีนี้มึงทำเป็นหรือยัง” “ยากจังพี่ ทำให้ดูอีกสักสองสามตัวหน่อยสิ” ผมกะพริบตาปริบ ๆ เชิงอ้อนวอน เขาก็ไม่ได้ขัด รีบหยิบเสื้อผ้าในตะกร้ามาซักต่อ “คิก ๆ ๆ” ผมมองดูเขาตั้งใจซักผ้าแล้วก็แอบหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ป่านนี้เขายังไม่รู้ตัวอีกว่าโดนผมหลอกใช้ซักเสื้อผ้า จู่ ๆ เขาก็หยุดชะงักมือที่กำลังขยี้แล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมตาขวาง “เดี๋ยวนะ นี่มึงหลอกกูซักผ้าเหรอ” “ล...หลอกเหลิกอะไรกัน ไม่มี้” “มึงนี่มัน...!!” เมื่อเห็นท่าไม่ดี ผมก็รีบตั้งท่าจะหลบหนี แต่ก็ช้ากว่าฝ่ามือหนาที่คว้ามาดึงข้อมือ ตู้มมมมม!! “แคก ๆ ๆ พ...พี่แผน แคก ๆ ช...ช่วยด้วย” ผมตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ หลังจากโดนเขากระชากแรง ๆ จนหน้าขมำจมลงน้ำบ่อลึกจนรู้สึกแสบจมูกไปหมด โดยมีผู้ชายใจร้ายยืนกอดอกดูอยู่ ช่างเลือดเย็นอะไรขนาดนี้ ฆ่าคนแล้วยืนดูเขาดิ้นทุรนทุรายตายต่อหน้าต่อตา “แคก ช...ช่วยด้วย แคก ๆ” “น้ำตื้น” “แคก ๆ บุ๋ง ๆ ๆ” “ไอ้อร มึงตั้งสติ น้ำมันสูงแค่เอว” ในจังหวะเฮือกสุดท้าย ผมกลั้นใจหยั่งเท้าลงและยืนขึ้น ก่อนจะค้นพบว่ามันเป็นน้ำตื้น ผลัวะ! “พี่แกล้งผมเหรอ!” เมื่อรู้ว่าโดนเอาคืน ผมไม่รอช้าที่จะเดินตรงไปทุบหมัดเล็ก ๆ ใส่รอยสักเสือที่หน้าอกเขาอย่างเดือดดาล แต่นอกจากเขาจะไม่สะทกสะท้านกับหมัดเล็ก ๆ ของผมแล้ว เขายังกลั้วขำจนทำให้ผมควันออกหูอีกต่างหาก “คนใจร้าย!” ผมฮึดฮัดหมายจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไป แต่ก็ถูกคนด้านหลังรวบตัวไปกอดไว้แน่น “หึหึ โกรธจริงเหรอเนี่ย” “ไม่ต้องมาแตะต้องตัวผม!” ยิ่งเขากอดรัด ผมก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ มันน่าโมโหจริง ๆ “เลิกโกรธได้แล้ว กูง้อคนไม่เป็นนะ” “ง้อไม่เป็นก็ไม่ต้องง้อสิ ผมขอให้พี่ง้อเหรอ ปล่อยนะ ปล่อยยยย” ฟอดดด!! ปลายจมูกกดสูดดมที่ข้างแก้มเต็มปอดจนผมหยุดชะงัก ตาที่โตเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนที่จะเริ่มตกตะกอนเป็นความเขินอาย ผมเพิ่งรู้สึกว่าเรากำลังแนบชิดกันมากเพียงใด เสื้อของผมมันเปียกจนแนบเนื้อ ส่วนพี่แผนเองก็ถอดเสื้อจนทำให้แผ่นหลังบางแนบสนิทกับอกแกร่งของเขามากขึ้น “มึงหายโกรธหรือยัง” “ย...ยัง” “ถ้ายังกูจะได้จูบ” ไวกว่าคำพูด เขารีบโน้มหน้าลงมาจนผมต้องโวยวาย “ด...เดี๋ยวสิ หายแล้ว ๆ” “หึหึ ไม่โกรธต่ออีกนิดล่ะ เผื่อไม่หายกูจะได้พาไปเอาข้างโขดหิน” “พูดอะไรเนี่ย” ความรู้สึกร้อนผ่าวผุดขึ้นมาตามใบหน้าลามไปถึงใบหู ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้เขาคงรู้ว่าผมเสียอาการแน่ ๆ ผมรีบผละตัวออกทันทีในจังหวะที่เขายอมคลายมือ ทำให้ผมหลุดพ้นออกมาได้โดยง่าย แต่ยิ่งมองหน้าเขาที่จ้องมาอย่างล้อ ๆ ผมก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกจนต้องรีบงุดหน้าแล้ววิ่งไปหอบผ้าที่ซักเสร็จใส่ตะกร้า แกร๊ก! “เฮ้ย!!” แต่แล้วผมก็ต้องหัวเสียขั้นสุดเมื่อจังหวะที่ผมยกตะกร้าขึ้น กำไลแขนสุดหวงมันดันไปงัดเข้ากับหูจับของตะกร้า จนทำให้มันหลุดตกน้ำดังจ๋อม โชคดีที่น้ำมันใสผมจึงหากำไลเจอได้โดยง่าย แต่ก็ไม่โชคดีขนาดนั้นเพราะมันดันหักออกเป็นสองท่อน “อะไร” คนตัวสูงเดินเข้ามาชะเง้อคอดูในมือผมด้วยความอยากรู้ “กำไลข้อแขนหัก” ผมทำตาละห้อยมองตามกำไลสุดหวงอย่างปลงตก ของชิ้นนี้ราคาแพงซะด้วยสิ เพราะแม่ผมสั่งทำพิเศษ “ทำไมทำหน้าหงอยเป็นหมาแบบนั้นวะ กะอีแค่กำไลแขน กูไปซื้อมาให้ใหม่ก็ได้” “ซื้อใหม่ก็ไม่เหมือนเดิมหรอก นี่มันแบบพิเศษเลยนะ แม่ผมสั่งทำให้ตอนวันเกิดอายุสิบห้าปี แถมด้านในมันยังสลักชื่อผมลงไปด้วย” ไม่เพียงพูดอธิบาย แต่ผมหยิบกำไลแขนชิ้นส่วนที่มีชื่อผมสลักอยู่ด้านในยื่นส่งให้เขาดู “หือ ด้านล่างนี่เลขอะไร” “เลขวันเกิดผมนี่แหละ” ผมตอบกลับอย่างหงอย ๆ พลางเก็บกำไลแขนลงใส่ถุงเสื้อ พี่แผนพาผมเดินกลับมาจนถึงบ้าน พอมาถึงก็เห็นอาหารที่ชบาทำให้รอวางอยู่บนแคร่หน้าบ้านแล้ว ชบานี่เป็นแม่ศรีเรือนดีจริง ๆ ข้าวปลาอาหารไม่เคยขาดเลยสักมื้อ “อะไรน่ะพี่แผน” ผมเอ่ยถามตอนเห็นพี่แผนยกเปิดฝาชีที่สานด้วยไม้ไผ่ขึ้น “อ่อมกระแต” “ฮะ! กระแตอีกแล้วเหรอ” ผมรู้มาจากชบาว่าพี่แผนเขาชอบกินกระแตมาก แต่จะกินกระแตทุกคาบไม่ได้ เขาไม่เบื่อบ้างหรือไงกัน “ถ้ามึงเบื่อมึงก็ไปทอดไข่สิ” “ไม่เอาอะไข่ก็ไม่อยากกิน” ผมตอบกลับอย่างเอาแต่ใจ “งั้นจะกินอะไร กินปลาไหมเดี๋ยวให้พวกไอ้สิงห์เอามาให้” “ไม่เอาาาา ก้างมันเยอะผมไม่ชอบ” “โวะ! แล้วมึงจะแดกอะไร” เขาเริ่มเปลี่ยนท่าทางเป็นยืนค้ำเอวอย่างหัวเสีย “ผมอยากกินไก่” “เหอะ ดีเนาะ ของมีไม่อยากแดก เสือกจะแดกของที่มันไม่มี” ผมก็อยากจะเถียงกลับเหมือนกันแหละว่าอยากกินแค่ไก่ ทำไมถึงมีทุกอย่างยกเว้นไก่ ผมเป็นคนที่เลือกกินมาก ๆ แม่ครัวที่บ้านเขาจะรู้ดี ผมถึงต้องมีแม่ครัวประจำคอยจัดอาหารให้ตรงตามใจผมในแต่ละมื้อยังไงล่ะ “เออ ๆ ๆ คาบนี้ก็แดกกระแตนี่แหละไปก่อน ไว้กินอิ่มจะพาไปหาไก่” “จริงนะ” ผมตาโตด้วยความดีใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมตามใจ “ถ้างั้น คาบนี้ขอกินไข่ก่อนได้ไหมล่ะ” “อืม ไปทอดสิ” “ทอดยังไงล่ะ ผมทอดไม่เป็น” “เฮ้อออ ภาระฉิบหาย ผีห่าตนใดมันดลใจให้กูลักพาตัวมันมาวะ กูจะแช่งไม่ให้มันได้ผุดได้เกิด!” ทั้งที่บ่นอย่างกระแทกแดกดันแต่เขาก็ยอมปิดฝาชีลงแรง ๆ แล้วเดินอ้อมกลับเข้าไปที่ครัวเพื่อทอดไข่ให้ผมกิน สมน้ำหน้า อยากลักพาตัวผมมาดีนัก นี่แหละเขาเรียกว่าตัวเวรกรรม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม