ตกเย็น
“ได้เวลากลับบ้านแล้วนะอร เดี๋ยวพี่แผนก็มาตามหรอก”
“ขอนอนด้วยคนเถอะนะชบา”
ผมกะพริบตาถี่ ๆ ขอความเห็นใจ ตอนนี้ผมขึ้นมานอนเล่นที่บ้านชบาที่อยู่ติดกัน ผมยังไม่พร้อมที่จะเจอพี่แผนตอนนี้จริง ๆ ครับ
“เป็นอะไรกันหรือเปล่าอร ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอครับ”
“เปล่า ๆ เราแค่ เอ่อ...อยากนอนกับชบาเฉย ๆ”
ผมว่าพลางหลบสายตาเพราะกลัวอีกฝ่ายจะจับพิรุธได้
“พูดความจริงมาเถอะอร ถ้าไม่พูดความจริงเราก็ช่วยอะไรอรไม่ได้นะ”
เฮ้อออ! อย่างกับพูดความจริงแล้วเขาจะช่วยผมได้อย่างงั้นแหละ
“ว่าไง พี่แผนเขาทำอะไรอรเหรอ”
คู่สนทนายังเอาแต่ถามรบเร้าผมไม่เลิก
“คือ...พี่แผนเขาบอกว่าจะเอาเราเป็นเมียจริง ๆ น่ะสิ”
“หือ พี่แผนเนี่ยนะอร เขาคงพูดแหย่เล่นละมั้ง”
“แหย่เล่นอะไรล่ะชบา เขาหอมแก้มเราด้วยนะ”
ผมรีบฟ้องทันทีเมื่อได้โอกาส
“ฮ่า ๆ อาจจะแค่หยอกเล่นก็ได้ พี่แผนเขาชอบแกล้งจะตาย แถมอรยังน่ารัก น่าแกล้งขนาดนี้ใครจะอดใจไหว เขาไม่ทำอะไรหรอกเรารับประกันได้ แต่ถ้าอรไม่กลับ พี่แผนอาจจะโมโหร้ายแล้วขึ้นมากระชากตัวอรกลับไปก็ได้นะ”
จริงด้วย ถ้าผมไม่กลับแล้วเขาเป็นบ้าอาละวาดขึ้นมาอีกล่ะ
“ชบา”
เสียงทุ้มที่คุ้นหูเอ่ยเรียกที่หน้าบันได ทำเอาผมกับชบาหูผึ่งขึ้นอย่างกะทันหัน
“ค...ครับ”
“เห็นบังอรหรือเปล่า”
คนถูกถามทำหน้าหนักใจขั้นสุดพร้อมกับรีบพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นเดินตาม
“อยู่นี่แหละครับพี่แผน พอดีผมให้อรมาช่วยเติมน้ำมันตะเกียงน่ะครับ”
เขาโกหกออกไปแบบนั้นเพื่อช่วยให้ผมรอดพ้นจากสายตาดุ ๆ ที่จ้องมา
“กูก็นึกว่าโดนเสือคาบไปแดกซะแล้ว”
“สู้ ๆ นะอร”
ชบาตบบ่าผมเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ คงเห็นแล้วสงสารที่ผมหน้างอคอตกขนาดนี้
ผมเดินลงบันไดแล้วตามก้นพี่แผนต้อย ๆ เพื่อขึ้นบ้าน มาถึงเขาก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจผมแม้แต่น้อย เพราะมัวง่วนอยู่กับสร้อยอะไรบางอย่างในมือ พอชะเง้อดูถึงได้เห็นว่ามันเป็นตะกรุดที่ผมเคยกระชากขาด
พี่แผนนั่งพนมตะกรุดไว้แล้วพึมพำอยู่นานสองนาน ก่อนที่เขาจะก้มกราบสามครั้งแล้วคล้องตะกรุดลงที่คอ
“ขึ้นมานอนนี่”
ผมสะดุ้งโหยงแล้วรีบปฏิเสธ
“ม...ไม่เป็นไร ที่นอนมันแคบน่ะพี่”
“มึงจะมาไม่มา”
เสียงดุ ๆ แกมห้วนเล่นเอาผมรีบเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ขยับเข้ามานอนใกล้ ๆ กู เดี๋ยวก็ตกเตียงหรอก”
“ไม่เป็นไร ผมไม่นอนดิ้น ไม่ตกหรอก”
หมับ!!
“เฮ้ย พ...พี่แผน จะทำอะไรน่ะ”
“แล้วกูบอกมึงว่ากูจะทำอะไรล่ะ”
หัวใจของผมเต้นโครมครามอย่างหนักภายในอ้อมแขนของพี่แผน เขาดึงผมเข้ามากอดไว้แน่นพลางยื่นหน้าเข้ามารดลมหายใจร้อน ๆ ใส่ข้างหูอย่างหยอกล้อ
“เดี๋ยวก่อนพี่ ขอทำใจก่อนได้ไหมล่ะ ผมยังไม่เคยนะ”
“อือ กูรู้ กลิ่นพรหมจรรย์หอมตีจมูกขนาดนี้ทำไมกูจะไม่รู้”
ไม่ว่าเปล่า เขากดจมูกเข้ามาสูดดมตามขมับจนผมตัวแข็งทื่อ
“พ...พี่ใจเย็น ๆ นะ เราค่อยเริ่มพรุ่งนี้ได้ไหม วันนี้ผมปวดหัว”
ผมรีบหาข้อแก้ตัวอย่างน้ำขุ่น ๆ
“ดีเลย มึงรู้ไหม การเอากันมันช่วยให้หายปวดหัวได้”
“โอ้โหหห จริง ๆ ด้วย แค่พูดคำว่าเอาเฉย ๆ ยังไม่ได้ทำอะไรผมก็หายปวดหัวเป็นปลิดทิ้งแล้ว เอ่อ...แต่ว่าผมปวดท้องแทนน่ะสิ”
อะไรวะเนี่ย สีข้างจะถลอกหมดแล้วววว ไอ้อรเอ๊ยไอ้อร
“เหรอ ไหนปวดตรงไหน จะเป่ามนต์ให้”
มือหนาเลื่อนเข้ามาในเสื้อตัวบางเพื่อแตะลงที่ท้องน้อยผม เขาไล่วนปลายนิ้วกลางรอบสะดือช้า ๆ จนผมเสียววูบวาบไปถึงด้านใน
“อ...เอ่อ ผมหายปวดแล้ว”
“หึหึ แล้วทีนี้มึงจะเป็นอะไรอีก”
คนเจ้าเล่ห์หัวเราะอย่างรู้ทัน
“ผม...ปวดฉี่!”
พรวด!!
ผมรีบลุกพรวดขึ้นจากที่นอน แล้วหันไปคว้าตะเกียงบนหัวเตียงก่อนจะวิ่งแจ้นลงมาด้านล่าง ทีแรกกะจะหาข้ออ้างไว้หลบหนี แต่ดันรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาจริง ๆ น่ะสิ
มือข้างขวาชูตะเกียงในมือขึ้นเพื่อสอดส่องมองทาง แต่ข้างหน้ากลับมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงไฟ
ผมเม้มปากแน่นด้วยความคิดหนัก ถ้าจะไปชวนชบาเขาคงหลับแล้วแน่ ๆ เพราะไฟบนบ้านมืดสนิทเลย
เมื่อยืนชั่งใจอยู่นานในที่สุดผมก็หาคำตอบให้ตัวเองได้ ผมเลือกที่จะเดินกลับขึ้นไปอีกครั้งเพื่อที่จะ…
“พี่แผนนน”
“อะไร”
เสียงเรียบนิ่งเอ่ยตอบพร้อมกับฝ่ามือหนาคว้าเปิดมุ้งขึ้นให้มองหน้ากันถนัด
“เอ่อ...พาไปห้องน้ำหน่อยสิ มันมืดน่ะ”
“มืดก็ฉี่หลังบ้านสิ”
“โวะ ไม่ด้ายยยย เร็ว ๆ พาไปฉี่หน่อย”
“อะไรของมึงเนี่ย ยุ่งยากฉิบหาย!”
ถึงปากจะบ่นอุบแต่เขาก็ยอมยันตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบผ้าขาวม้ามามัดที่เอว
ค่อยโล่งอกหน่อย
ระหว่างทางเดินไปห้องน้ำ
แกว๊ก ๆ
เสียงอะไรบางอย่างคล้ายกับเสียงของนก แต่ผมไม่มั่นใจจึงหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“พี่แผน นั่นเสียง... อุ๊บ!”
ไม่ทันจะพูดจบปากของผมก็ถูกปิดสนิทด้วยฝ่ามือหนาของเขา
“ได้ยินอะไรห้ามทัก เห็นอะไรก็ห้ามพูด”
เขากระซิบบอกด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะคลายมือ ทำเอาผมแทบจะฉี่ราดตรงนี้ ห้องน้ำก็อยู่ไกลด้วย ใครใช้ให้เขามาสร้างห้องน้ำไกลขนาดนี้เนี่ย
พอมาถึงห้องน้ำผมก็รีบฉี่ให้เรียบร้อย เดินออกมาก็เห็นพี่แผนกำลังงึมงำอะไรอยู่เดียว
“เสร็จแล้วพี่”
หมับ!
ฝ่ามือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือผมพร้อมกับกำไว้แน่น แววตาขี้เล่นเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ดูจริงจังจนผิดสังเกต
พี่แผนพาผมเดินตามทางมาเงียบ ๆ แต่สายตาผมมันดันขี้เสือก จู่ ๆ ก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มที่บนกิ่งไม้ มันเหมือนค้างคาวตัวใหญ่เท่าคนกำลังห้อยหัวลงมา
“พ...พี่แผน”
“อย่า”
เสียงทุ้มต่ำร้องห้ามพร้อมกับกระชากข้อมือผมให้เดินเร็วขึ้น
“ฮึฮึฮึ”
เสียงหัวเราะดังแว่วออกมาระงมป่าจนผมขนลุกซู่ ความเงียบเย็นที่ปกคลุมทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองบริเวณโดยรอบ
ผมรีบเกาะแขนพี่แผนไว้แน่นแล้วรีบมุ่งหน้ากลับมาบ้าน เดินมาได้สักพักเริ่มไม่ใช่เพียงเสียงหรือเงา แต่มันเริ่มมีกลิ่นเหม็นสาบเหมือนอะไรเน่าลอยมาตามลม
พอมาถึงบ้านบรรดาผู้ชายก็ออกมายืนรอกันเต็มลานหน้าบ้าน ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สิ่งที่ผมเห็นมันยังทำให้ขนหัวลุกไม่หาย
“พี่แผน เกิดอะไรขึ้นพี่”
ทันทีที่มองเห็นลูกพี่เดินมา คนชื่อสิงห์ก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“มันใกล้เข้ามาแล้ว ไปเอาไม้หวายมา”
พี่แผนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนจะหันมาบอกผม
“ขึ้นไปนอนได้แล้วไป”
“แล้วพี่ล่ะ”
ผมไม่รู้ว่าที่เขาบอกว่าใกล้เข้ามามันคืออะไรกันแน่ แต่ผมรับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัย
พี่แผนไม่ได้ตอบในสิ่งที่ผมพูด เขาเพียงแค่ปลดตะกรุดที่คอแล้วนำมาคล้องใส่คอให้ผมแทน
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มึงห้ามถอดตะกรุดเด็ดขาด!”
แววตาจริงจังของเขาทำให้ผมรู้สึกใจไม่ดี ถ้าเขาเอาตะกรุดให้ผมแล้วเขาจะเหลืออะไรไว้ป้องกันตัวล่ะ
“พี่แผน ไม้หวายได้แล้ว”
ลูกน้องอีกคนวิ่งถือไม้ขนาดยาวเข้ามาให้พี่แผนถือไว้ ผมอยู่ต่อก็คงช่วยอะไรเขาไม่ได้ มีแต่จะเป็นภาระเปล่า ๆ จึงยอมเดินขึ้นบ้านมา เมื่อหันหลังกลับไปดูก็เห็นพี่แผนยกไม้หวายขึ้นมาถือพนมไว้ที่อกพร้อมกับเริ่มบริกรรมคาถา
นะโมพุทธายะ มะพะ ทะนะ ภะ กะ สะ จะ
สัพเพทวาปีสาเจวะ อาฬะวะกาทะโยปิยะ
ขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขา
ปะลายันติ สักกัสสะ วะชิราวุธัง
เวสสุวัณณัสสะ คะธาวุธัง
อะฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง
ยะมะนัสสะ นะยะนาวุธัง