ยามเหมา (05.00-6.59น.) ท่านลุงพาลู่จื้อและพี่ชายทั้งสองไปที่แม่น้ำที่ชาวบ้านไม่ค่อยจะมากัน นางขุดหลุมให้ท่านลุงกับท่านพี่จินเจาดู หลังจากนั้นทั้งสองก็ลองขุดเอง
ทั้งคู่ยังคิดว่าหลุมแบบนี้จะมีปลาเข้ามาได้อย่างไร พอขุดเสร็จหลุมแรกที่ขุดไว้มีปลาเข้ามาสองตัว ท่านลุงหัวเราะเสียงดังอย่างดีใจ จินเจ๋อไม่คิดว่าหลุมง่ายๆ แบบนี้จะมีปลาเข้ามา
ทั้งสี่จึงนำปลาสองตัวกลับบ้านเพื่อไปทำอาหาร ลู่จื้อเอ่ยขึ้นว่าเมื่อกินข้าวเสร็จจะกลับมาจับปลาไปส่งให้เหลาอาหารหมานอี้เลย เพราะนางต้องไปบอกกล่าวหลงจู๊ว่าจะให้ท่านลุงเป็นคนนำปลามาส่งแทน
นางให้จินเจาไปเช่าเกวียนเช่นเมื่อวานหากให้นางเดินคงต้องมีถึงสามชั่วยามแน่ นางเดินไม่ไหว
จินเจ๋อที่มาจับปลาเขาไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีปลาอยู่ทุกหลุม ลู่เพ่ยบอกว่าตอนแรกที่ตนเห็นก็ตกใจเช่นนี้เหมือนกัน
“มาเสียทีอาเยว่ ข้าคิดว่าเจ้าจะเลิกจับปลามาขายแล้ว” เขาร้องเรียกให้เสี่ยวเอ้อมายกปลาไปชั่ง
“ได้อย่างไรเจ้าคะ ข้ารับปากท่านไว้แล้ว ย่อมต้องนำมาส่งตามที่พูดไว้”
“ดีๆ หากไม่ได้เจ้าวันนี้เห็นทีข้าจะแย่” เขาถอนหายใจออกมา
หลงจู๊เหลาอาหารเห็นลู่จื้อมาก็ดีใจเพราะวันนี้มีแขกจากเมืองหลวงมา แขกท่านนั้นอยากจะกินปลาเขายังกลุ้มใจอยู่ที่หาปลาสดๆ ไม่ได้
ปลาที่จินเจ๋อจับมามีสี่สิบตัว ครั้งนี้หลงจู๊ให้ชั่งละยี่สิบห้าอิแปะ มากกว่าที่ลู่จื้อมาขายห้าอิแปะเลยทีเดียว ปลาทั้งหมดหนักหกสิบห้าชั่ง ได้เงินถึงหนึ่งตำลึงหกร้อยยี่สิบห้าอิแปะ จินเจ๋อรับเงินมาเก็บไว้กับอก เขากุมเงินแน่นจนถึงหมู่บ้านเลย และไม่กล้าแวะซื้ออะไรทั้งสิ้นเพราะกลัวโดนปล้น
จินเจ๋อไม่เคยคิดว่าตนเองจะหาเงินวันละเกือบสองตำลึง เขาเคยเข้ามารับจ้างในเมืองจะได้เพียงวันละ สามสิบอิแปะเท่านั้น ลู่เพ่ยเข้าใจความรู้สึกของลุงตนเองเพราะก่อนหน้านี้เขาก็มีท่าทางเสียสติเช่นนี้เหมือนกัน หากท่านลุงหาโสมเจอเหมือนพวกเขาถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านลุงจะหัวใจวายเลยหรือไม่
หมู่บ้านหนานไฉก็มีภูเขาที่อุดมสมบูรณ์เช่นเดียวกับหมู่บ้านหนานชุนของนาง แต่วันนี้พวกนางสามคนแม่ลูกต้องเดินทางกลับหมู่บ้านแล้ว หากยังไม่กลับชาวบ้านจะได้นินทาว่าถอดทิ้งบิดาที่พิการให้อยู่บ้านเพียงลำพัง
เมื่อทั้งสี่ถึงบ้านก็พบป้าสะใภ้ยืนรออยู่แล้ว
“เป็นเช่นไร ขายได้หรือไม่” นางเอ่ยถามออกมาอย่างร้อนใจ
“เข้าบ้านกันก่อนค่อยคุย” นางชิงอีเห็นสามีหน้าซีดๆ จึงรีบปิดประตูแล้วเข้าบ้านทันที
จินเจ๋อดื่มน้ำเข้าไปสามแก้วถึงได้สงบสติอารมณ์แล้วเล่าเรื่องเงินให้ทุกคนฟัง นางชิงอีถึงกับหลั่งน้ำตาขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาส่งน้องสามีกับหลานๆ มาช่วยเหลือในยามสิ้นหวังเช่นนี้
ทั้งหมดนั่งคุยกันต่ออีกไม่นาน สามแม่ลูกจึงเอ่ยขอตัวลากลับหมู่บ้านก่อน จินเจ๋อจึงอาสาขับเกวียนไปส่งน้องสาวกับหลานโดยมีจินเจาติดตามไปด้วย
จินเจากับลู่เพ่ยคุยกันอย่างถูกคอ ลู่จื้อมองดูญาติผู้พี่ของนางคนนี้ดูเฉลียวฉลาดไม่น้อยหากส่งเสริมให้ดีอาจจะสอบติดจนได้เป็นขุนนางก็ได้
“พี่เจา ท่านคิดอยากจะเข้าสำนักศึกษาหรือไม่” จินเจาถอนหายใจ
“แม้ครอบครัวจะหาเงินได้แล้ว แต่คงไม่เพียงพอให้ข้าได้เข้าเรียน แล้วอีกอย่างหากข้าไปเรียนใครจะช่วยงานที่บ้านกัน” ถึงเขาอยากจะเรียนแต่ก็ไม่อยากให้ท่านพ่อท่านแม่ลำบากไปมากกว่านี้
ลู่จื้อไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ หากการเงินของบ้านท่านลุงดีขึ้นพี่เจาคงได้เข้าเรียนเป็นแน่ นางอยากให้พวกเขาลองช่วยเหลือตนเองก่อน ที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
ทั้งสี่มาถึงหมู่บ้านหนานชุนเมื่อชาวบ้านเห็นว่าในเกวียนวัวเป็นใครก็เลิกสนใจ จินเจ๋อเข้าไปเยี่ยมดูอาการน้องเขยก่อนจะกลับหมู่บ้านของตนไป
นางจินหรูจึงเล่าเรื่องราวทางบ้านบิดาของตนให้จางหมินฟัง เพราะทั้งสามหายไปทั้งคืนจางหมินย่อมมีความกังวล
“ดีแล้วที่ให้พี่ภรรยานำปลาไปขาย ทางครอบครัวเรากำลังจะปลูกผัก ข้ายังกังวลว่าไม่อาจนำปลาไปส่งให้หลงจู๊หานได้ตามกำหนดเดิม” จางหมินมิได้ตำหนิที่สามคนแม่ลูกตัดสินใจกันเอง
คืนนั้นทุกคนเข้าไปในมิติจิตแล้วเริ่มลงมือปลูกผักที่ลู่จื้อได้ซื้อเมล็ดไว้ เพราะลู่จื้อยังไม่รู้ว่าแค่นางกำหนดจิตของตนก็สามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ในมิติจิตได้แล้ว เมื่อนางรู้ย่อมปวดใจเป็นธรรมดา แต่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในภายหลัง
ดินในมิติเพียงแค่ขุดเบาๆ ก็สามารถพรวนเตรียมขึ้นแปลงได้แล้ว ลู่จื้อแช่เมล็ดผักในน้ำจิตวิญญาณก่อนที่นางจะพรวนดิน นางยังนำเมล็ดโสมที่เก็บไว้มาเตรียมปลูกด้วย ถึงโสมที่เพาะจากเมล็ดจะใช้เวลาในการเติบโต 3-4 ปี แต่เวลาในมิติที่เร็วกว่าด้านนอกก็คงช่วยให้โสมของนางโตได้เร็วขึ้น
เมื่อเตรียมแปลงเรียบร้อยแล้ว ระหว่างรอเมล็ดผักที่แช่น้ำ ทุกคนต่างหามุมสงบของตนแล้วเริ่มการฝึกฝน ลู่จื้อยังคงทำได้เพียงศึกษาเรื่องสมุนไพรจากตำรา แต่การอ่านตำราครั้งนี้ นางอ่านเพียงรอบเดียวก็สามารถจำได้แล้วยังเข้าใจได้เป็นอย่างดี ทุกคนก็เช่นกัน
เรื่องซื้อที่ดินกับสร้างบ้านหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ทำให้ผิดหวัง วันนี้บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านมาดูที่ดิน ลู่จื้อให้สร้างเรือนสี่ประสาน (ซื่อเหอย่วน) เรือนหลักอยู่ด้านหลังมีขนาด 5 ห้องนอน 1 ห้องโถง 1 ห้องตำราเรือนข้างทิศตะวันออกและทิศตะวันตก มีห้องนอน 2 ห้องนอน 1 ห้องโถง 1 ห้องตำรา ส่วนห้องน้ำนอกจากจะมีด้านนอกของแต่ละเรือนแล้ว นางยังให้สร้างในห้องนอนทุกห้องด้วย นางยังให้ก่อกำแพงเรือนสูงหนึ่งจั้งอีกด้วย
ทั้งสามคนรวมทั้งชุนหยุนได้ฟังที่ลู่จื้อพูดความต้องการของตนก็ตกใจ เพราะไม่คิดว่าลู่จื้อจะสร้างเรือนหลังใหญ่เพียงนี้ ชุนหยุนนั้นเป็นกังวลอย่างมากเพราะเรือนที่ลู่จื้อต้องการพร้อมเครื่องเรือนต้องใช้เงินอย่างน้อย ห้าร้อยตำลึงทอง ชาวบ้านทั่วไปไม่มีเงินเท่านี้เป็นแน่
“เอ่อ จื้อเออร์เรือนที่เจ้าต้องการต้องใช้เงินอย่างน้อยห้าร้อยตำลึงทอง เอ่อ เจ้า เจ้ามีเงินถึงเพียงนั้นเลยหรือ” ชุนหยุนรู้จากบิดาว่าบ้านรองจางมีโชคจากการขายสมุนไพรแต่ตนคิดว่าจะมีมากถึงเพียงนั้น
“ท่านน้าชุนไม่ต้องเป็นกังวลนะเจ้าคะ ข้าพอมี ท่านเริ่มสร้างได้เมื่อใดเจ้าคะ” ชุนหยุนถึงกับคิ้วกระตุก พอมี พอมีแค่ไหนถึงกล้าสร้างเรือนราคานี้กัน
“ข้าจะเข้าเมืองไปสั่งของก่อนวันนี้ พรุ่งนี้จะให้คนงานเริ่มตัดต้นไม้ แต่ข้าต้องเบิกเงินครึ่งหนึ่งก่อน” ลู่จื้อพยักหน้า