ผักของข้าไม่เหมือนที่อื่น

1382 คำ
นางจินหรูกลับบ้านไปนำเงินมาให้ นางเจ็บปวดใจยิ่งหนักที่ต้องจ่ายเงินออกไปขนาดนี้ แต่จะดุด่าบุตรีก็ทำไม่ลง เพราะเงินที่มีอยู่ก็เป็นลู่จื้อหามาทั้งนั้น ชุนหยุนเมื่อได้รับเงินเรียบร้อยก็เร่งได้จัดการสั่งซื้อของทันที สองพี่น้องเดินดูที่ดินต่อ ทั้งคู่ต่างออกความเห็นว่าที่ว่าง สี่สิบหมู่ควรจะปลูกอะไรดี เมื่อถึงเวลามื้อกลางวันจึงพากันกลับบ้าน นางจินหรูที่ยังคงเสียดายเงินก็ยังมีอาการซึมอยู่บ้าง “ท่านแม่คิดเสียว่าขายโสมแดงไปหนึ่งหัวแล้วได้เรือนมาหนึ่งหลังนะเจ้าคะ ตอนนี้ข้ายังเหลือโสมแดงอีกสิบเจ็ดหัวนะท่านมะ โอ๊ยย” นางจินหรูหยิกแขนลู่จื้ออย่างมันเขี้ยว “เจ้าลูกคนนี้ ยังไงแม่ก็ปวดใจ เห้อออ” ตัวนางไม่เคยมีเงินใช้มาก่อน ย่อมจะปวดใจยามที่จ่ายออกไป “เอาเถิดน้องหญิง จื้อเออร์ก็คิดเผื่อทุกคน อีกหน่อยลู่เพ่ยก็ต้องแต่งสะใภ้ จะได้ไม่ต้องสร้างเรือนเพิ่ม” จางหมินพูดจบ ลู่เพ่ยก็ก้มหน้าหูแดง แล้วยังมีสายตาของลู่จื้อหยอกล้ออีกด้วย “ท่านแม่ เงินมิได้ใช้ออกไปที่ใด ทั้งหมดก็เป็นสมบัติเช่นที่ท่านเห็น เลิกคิดมากได้แล้วเจ้าค่ะ ต่อไปท่านอาจจะต้องจ่ายมากกว่านี้ หากท่านจะต้องซื้อร้านค้าเพิ่ม หรือซื้อที่ดินเพิ่ม พอได้ฟังคำพูดของลู่จื้อแล้ว นางจินหรูก็มีสีหน้าที่ดีขึ้น นางควรจะปรับตัวตามบุตรทั้งสองและสามีให้ทัน เลิกคิกเล็กน้อยเช่นที่ลู่จื้อนางว่า เมล็ดผักที่ลู่จื้อเอาไว้นั้นมันงอกออกมาแล้ว ทั้งสี่มองเมล็ดผักอย่างเหม่อลอย มันงอกเร็วเกินไป นี่ขนาดนางใช้น้ำจิตวิญญาณเพียงหนึ่งส่วนต่อน้ำในลำธารห้าส่วนเท่านั้น หากนางใช้น้ำจิตวิญญาณอย่างเดียวมันคงโตให้กินได้แล้วแน่เลย ทั้งสี่จึงเร่งนำไปปลูกลงแปลงที่เตรียมไว้ กว่าจะเสร็จก็เกือบสามชั่วยาม ตอนนี้สองพี่น้องสนใจฝึกวิชาก้าวย่างเมฆา มีทั้งหมดสามขั้น เป็นเคล็ดวิชาตัวเบา จะโดดขึ้นต้นไม้ หรือจะวิ่งก็ทำได้อย่างรวดเร็ว แล้วเวลาเดินยังไร้เสียงอีกด้วย ตอนนี้ทั้งคู่กำลังฝึกขั้นที่หนึ่งอยู่ ถึงจะเข้าใจเนื้อหาในตำราแต่พอปฏิบัติเข้าจริงก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน ส่วนจางหมินที่ฝึกวรยุทธ์มาได้หลายเดือน (ด้านนอก 1 วัน=ในมิติ 5 วัน) ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้กับคนได้สามคนอย่างสบาย ผักในมิติก็โตให้เก็บได้แล้ว ยังมีข้าวอีกยี่สิบหมู่ที่เหลืองอร่าม ทั้งสี่ยืนมองหากเก็บพร้อมกันจะขายที่ไหนก็ยังไม่ได้คิด หากยังไม่ขายจะเน่าเสียก่อนหรือไม่ “เราลองเก็บไปกินก่อนดีหรือไม่ แล้วค่อยคิดว่าจะขายเองหรือขายให้เหลาอาหาร” นางจินหรูเสนอความคิด “ดีๆ ค่อยคิด” จางหมินก็ยังไม่รู้จะทำเช่นไรตอนนี้ “งั้นเราก็เก็บเกี่ยวข้าวก่อนเจ้าค่ะ” ลู่จื้อพูดแล้วโบกมือไปด้วย พรึ่บ “...” ทั้งสี่คน ลู่จื้อตบหน้าผากตัวเอง จางหมิน จินหรู ลู่เพ่ย อ้าปากค้างไปแล้ว ตอนนี้ข้าวที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วไปอยู่ในโกดังที่เพิ่งปรากฏออกมาด้านหลังของกระท่อม “น้องสาว ถ้าทำเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเหนื่อยขุดดินแล้ว” ลู่จื้อมองค้อนลู่เพ่ย “ใครมันจะไปรู้เล่า ข้าก็เพิ่งรู้พร้อมกับพวกท่าน” จากนั้นลู่จื้อก็เก็บเกี่ยวผักที่เหลือ ทั้งสี่เดินเข้าไปดูที่โกดังก็พบพืชผักแบ่งแยกไว้เป็นสัดส่วน ทั้งหมดจึงออกจากมิติ ลู่จื้อจึงลองเรียกผักออกมา เมื่อนางนึกชนิดผักและจำนวนทั้งหมดก็ปรากฏต่อหน้านาง ตอนนี้นางเข้าใจหลักการใช้มิติอีกหนึ่งขั้นแล้ว ระหว่างที่ทั้งสี่เก็บตัวฝึกฝนนั้นก็ไม่ได้ข่าวภายในหมู่บ้านเลย ตอนนี้ในหมู่บ้านกำลังหาเจ้าของเรือนหลังใหญ่ที่อยู่ท้ายหมู่บ้านว่าเป็นคนมีเงินที่ไหนมาสร้างไว้ เพราะชุนหยุนไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นของผู้ใด และบ้านรองจางก็ไม่เคยไปปรากฏตัวที่บ้านหลังนั้นด้วย เรื่องอาหารเลี้ยงคนงานก็เป็นภรรยาของชุนหยุนจัดการ โดยนางจินหรูให้เงินล่วงหน้าไว้แล้ว พวกคนงานก็ไม่เอ่ยปากถามเพราะเจ้าของเรือนจ่ายเงินให้มากกว่าไปทำที่อื่น อาหารมื้อกลางวันก็มีเนื้ออีกด้วย อีกข่าวที่บ้านรองจางเพิ่งได้ยินคือ กู้ซานกับจางเยว่จะแต่งกันในอีกสองเดือนข้างหน้าก่อนที่กู้ซานจะไปสอบซิ่วไฉ “หึหึ พี่ใหญ่คงกลัวหากอาซานสอบผ่านแล้วจะเปลี่ยนใจจากบุตรีของตนแน่ ถึงได้รีบร้อนเพียงนี้” จางหมินเกือบเดาถูก ความจริงแล้วข้าวสารได้เป็นข้าวสุกไปแล้ว จางเสียนที่เพิ่งรู้จึงกลัวว่าบุตรีของตนจะท้องก่อนออกเรือนทำให้ชื่อเสียงของจางหวงกับกู้ซานเสื่อมเสียอาจจะถึงขั้นหมดอนาคต แต่เรือนของบ้านรองจางจะเสร็จในหนึ่งเดือนข้างหน้า ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเห็นความร่ำรวยของบ้านรองจางจะกระอักเลือดออกมาเลยหรือไม่ วันนี้สองพี่น้องตัดสินใจนำผักบางส่วนไปลองขายให้เหลาอาหารหมานอี้ ที่ลู่จื้อเลือกเหลาอาหารหมานอี้แทนที่จะขายเอง เพราะผักของนางเป็นผักวิญญาณถึงคนทั่วไปกินแล้วไม่รู้ แต่หากได้กินเป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น คนป่วยอาจจะหายได้เลย นางจึงอยากได้คนออกหน้ามากกว่าที่จะขายเอง สองพี่น้องแบกผักไปคนละหนึ่งตะกร้า ลู่จื้อนำไปเพียงแค่สามอย่าง หงหลัวโป (แครอท) ไป๋ช่าย (ผักกาดขาว) ชิงช่าย (กวางตุ้ง) เสี่ยวเอ้อคนเดิมที่เห็นสองพี่น้องแบกผักมาแต่เช้าก็รีบเข้าไปช่วย “พี่เสี่ยวเอ้อ ผักของข้าไม่เหมือนผักที่อื่น ท่านเรียกหลงจู๊หานให้ข้าได้หรือไม่” ลู่เพ่ยกระซิบบอกความกับเสี่ยวเอ้อ “ข้าแซ่จ้าว จ้าวหยวน เรียกข้าพี่หยวนก็ได้ รอประเดี๋ยวข้าไปแจ้งหลงจู๊หานให้” เขาเห็นว่าสองพี่น้องมักจะนำของที่ไม่ค่อยมีคนมาขาย มาขายตลอดจึงอยากจะผูกสัมพันธ์เอาไว้ จ้าวหยวนหายไปในเหลาอาหารแล้วกลับออกมาพาสองพี่น้องไปที่ห้องรับรอง “เชิญ เชิญ ไหนผักบ้านเจ้าไม่เหมือนบ้านอื่นอย่างไร” “คารวะหลงจู๊หานขอรับ/เจ้าค่ะ” “ข้าบอกไม่ได้ว่าต่างกับบ้านอื่นเช่นไร ท่านต้องลองทำอาหารออกมาถึงจะทราบได้เจ้าค่ะ” “ดีดี อาหยวนเจ้าเอาผักไปให้ห้องครัวทำออกมาสักสองอย่าง” จ้าวหยวนนำผักทั้งสองตะกร้าออกไปให้ห้องครัว ทั้งสามพูดคุยกันระหว่างรออาหาร เพียงหนึ่งเค่อจ้าวหยวนก็ยกอาหารเข้ามา หลงจู๊หานลองกิน อาหารจานผักจากที่อื่นก่อน แล้วมากินของบ้านจาง เขาถึงกับตาสว่างวาบ “พวกเจ้ารอข้าสักประเดี๋ยว” หลงจู๊ให้จ้าวหยวนช่วยยกทั้งหมดออกไป สองพี่น้องนั่งมองหน้ากันลู่จื้อจึงคิดว่าหลงจู๊คงตัดสินใจเองไม่ได้แน่ๆ และก็เป็นเช่นนั้นผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อหลงจู๊หานกลับเข้ามาพร้อมบุรุษคนหนึ่ง อายุประมาณ 20-22 หนาว หน้าตาหล่อเหลาเหมือนพระเอกในซีรีส์ดัง ลู่จื้อที่พบเจอคนระดับสูงและดาราที่มาเล่นในกาสิโนของนางมาเยอะนางจึงมีภูมิต้านทานคนหล่อ “ผักพวกนี้พวกเจ้าปลูกเองเช่นนั้นรึ” ลู่จื้อพยักหน้าแทนคำตอบ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม