หว่านหนิงเห็นหลี่เฉียงออกมาจากห้องน้ำพร้อมทั้งเสื้อผ้าที่ซักเรียบร้อยแล้วของเขา นางก็อดที่จะนิ่งอึ้งไม่ได้ ถึงขนาดไม่ทิ้งเสื้อผ้าให้นางซักเอง คงจะโกรธนางไม่น้อยเลยทีเดียว
“อาหารเสร็จแล้ว มาช่วยข้ายกเร็วเข้า” นางร้องเรียกเขา
หลี่เฉียงก็เดินเข้ามาช่วยนางยกอาหารด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่ได้ตื่นเต้นที่เห็นอาหารตรงหน้า
“ท่านโกรธข้ามากเลยรึ” นางเอ่ยถามออกมาเมื่อเขาเอาแต่นั่งก้มหน้ากินไม่เอ่ยพูดกับนาง
“อืม” เขาตอบรับเบาๆ
“ข้าก็ขอโทษแล้วอย่างไร”
“อืม”
“เหอะ อยากจะงอนก็งอนไป” นางหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
หลี่เฉียงจะเข้าใจคำว่างอนของนางได้อย่างไร เพียงแต่พอจะรู้ว่านางคงจะถากถางเขาอยู่แน่
“ข้าถูกเปรียบเทียบกับอาเจิ้งตั้งแต่เล็ก เพราะข้าหัวไม่ดีสู้เขาไม่ได้ อยู่ในสำนักศึกษาก็ถูกเยาะเย้ย ข้าจึงหันไปติดพนันกับสุรา คนพวกนั้นจริงใจกว่าพวกบัณฑิตในสำนักศึกษาเสียอีก”
หว่านหนิงมองเขาอย่างเห็นใจ หลี่เฉียงยังคงก้มหน้าก้มตากินอาหารของเขาต่อไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองนาง
“ข้าว่าไม่ใช่เพราะท่านหัวไม่ดี เพียงแต่ท่านถูกเลี้ยงดูมาไม่ดีเสียมากกว่า อาเฉียงหากท่านเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ก็จะไม่มีผู้ใดมาดูถูกท่านได้”
หลี่เฉียงเงยหน้าขึ้นมามองหว่านหนิง เป็นครั้งแรกที่มีคนที่พูดกับเขาเช่นนี้นอกจากผู้เป็นบิดา ดวงตาของเขาแดงก่ำเพราะกลั้นมิให้ร้องไห้ออกมา
“ท่านเชื่อข้า ไม่มีเรื่องใดที่คนเราทำไม่ได้ มีแต่ยังไม่พยายามมากพอ หากท่านเลิกสุรากับการพนันได้ก็นับว่าดียิ่งแล้ว”
“หนิงหนิง” เขาเอ่ยเรียกนางเสียงสั่น
ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน หว่านหนิงดวงตาของนางเปล่งประกายออกมาอย่างพอใจ “หากท่านอยากกลับไปร่ำเรียน ต่อไปก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากช่วยกันทำงานหาเงิน ท่านก็จะกลับไปเข้าเรียนได้อีกครั้ง”
“ไม่ ข้าไม่อยากเรียน” รอยยิ้มของหว่านหนิงแข็งค้างไป นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มต้นพูดอีกครั้ง
“แล้วท่านอยากทำอันใด”
“ไม่ ข้าอยากอยู่เฉยๆ ใช้เงินไปวันๆ”
“หลี่ เฉียง!!!” ความอดทนของนางหมดลงทันที นางตะโกนเรียกชื่อเขาออกมาเสียงดัง ฝ่ามือของนางยกขึ้นเหมือนจะทุบลงไปที่แผ่นหลังของเขา
“อย่าตี ก็เจ้าถามข้าเอง” เขาเบี่ยงตัวหลบ
“เหอะ ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว หากท่านเลิกเล่นการพนันไม่ได้ ข้าจะไปหาสามีใหม่ทันที ไม่หย่าก็ไม่หย่า ข้าก็จะมีเพิ่มมันอีกคนเลย โอ๊ยยย” หลี่เฉียงดึงรั้งหว่านหนิงเข้ามาหา พร้อมทั้งกัดปากน้อยๆ ที่ช่างพูดของนางจนบวมเจ่อ
“ท่านกัดปากข้าทำไม” นางทุบไปที่หลังของเขาอย่างไม่พอใจ
“เจ้าลองพูดอีกครั้งดู”
“เพ้ย ข้าหมายถึง หากท่านไม่เลิกเล่นการพนัน” หว่านหนิงปิดปากไว้แน่น กลัวว่าเขาจะนึกบ้ากัดปากนางอีกครั้ง
“แล้ววันนี้ข้าไปแล้วรึยัง”
“ก็ท่านไม่มีเงินอย่างไรเล่า”
“ก็จริงของเจ้า”
“หลี่เฉียง!!! หากท่านขโมยเงินที่ข้าหามาอย่างอยากลำบาก ท่านก็ลองดูว่าสิ่งที่ข้าพูดไปข้าพูดจริงหรือไม่” นางเอ่ยเตือนเขาออกมา พร้อมทั้งกำถุงเงินที่เพิ่งได้มาข้างเอวไว้แน่น
“ข้าไม่ได้จะขโมยเสียหน่อย” เขาพูดพึมพำเบาๆ แล้วรีบกินน้ำแกงปลาทั้งหมดลงไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสองกินอาหารเสร็จแล้ว หว่านหนิงนางจึงเอ่ยถามเรื่องที่รับซื้อปลา
“ท่านพอจะรู้หรือไม่ ว่าเหลาอาหารใดที่รับซื้อปลา”
“ในเมืองต่างก็รับทั้งนั้น เจ้าคิดจะจับปลาไปขายรึ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองนางอย่างแปลกใจ นางยังจะจับปลาได้อีกรึ
“ใช่แล้ว ป้าตู้บอกข้าว่าราคาในเมืองได้จินละหลายสิบอิแปะ ตอนนี้ข้ายังมิอาจเข้าเมืองเองได้ ท่านนำไปขายให้ก่อนได้หรือไม่”
“ย่อมได้”
“เช่นนั้นก็ดี ไว้ท่านขายปลาได้แล้ว ซื้อผ้ากับด้านกลับมาให้ข้าด้วย”
“เจ้าจะทำอันใด หรือต้องการเสื้อผ้าชุดใหม่”
“ข้าคิดจะปักผ้าขาย”
“เจ้านะรึทำเป็น” หลี่เฉียงพิจารณามองดูนาง เพราะซูหว่านหนิงนางไม่มีฝีมือมากพอที่จะปักผ้าออกไปขายได้ เขาเคยเห็นนางปักผ้าเช็ดหน้าเพื่อเอาใจเขา มันช่างน่าเกลียดนัก
“ไว้ข้าปักเสร็จท่านก็จะรู้เอง”
หว่านหนิงบอกเขาว่านางต้องการผ้าชนิดใด ทั้งยังเลือกด้ายอีกหลายสี “หากท่านจำไม่ได้ก็ซื้อมาให้มากเสียหน่อยก็พอ” ที่เรือนไม่มีกระดาษพู่กันให้จด นางจึงได้บอกกล่าวเขาเช่นนี้
“ได้ มีอันใดอยากได้อีกหรือไม่” เขาไม่เคยซื้อของพวกนี้ ไม่รู้ว่าปลาที่นางให้ไปขายจะเพียงพอกับค่าของ ของนางหรือไม่
“ข้าวสาร เครื่องปรุง ท่านก็ซื้อติดกลับมาด้วยสักหน่อย ที่เรือนไม่มีข้าวสารเหลือ”
“ได้ๆ” เขารับปากนางอย่างดี
เมื่อกินเสร็จแล้ว หว่านหนิงนางนำถ้วยชามไปล้าง ก่อนจะพาหลี่เฉียงเดินไปที่ลำธารที่นางจับปลามาเมื่อเช้า
“ไหนเจ้าบอกจะจับปลาให้ข้าดู” หลี่เฉียงเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่านางไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยจับปลาติดมือมาด้วย
“ประเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง” นางเดินนำไปถึงริมลำธาร ก่อนจะใช้มือข้างขวาจุ่มลงไปในน้ำ
เพียงไม่นานปลาที่อยู่ไม่ไกลก็ว่ายมาอยู่ใกล้ๆ มือของหว่านหนิง
“จะ เจ้า เจ้าทำได้อย่างไร” หลี่เฉียงนั่งลงข้างๆ นางมองดูฝูงปลาที่อยู่รอบมือนางอย่างตกตะลึง
“ไม่รู้ เอาตะกร้ามาใกล้ๆ ข้าหน่อยแล้วเข้า”
หลี่เฉียงรีบลุกไปหยิบตะกร้ามาวางข้างนาง หว่านหนิงก็จับปลาขึ้นมาโดยง่าย ในลงตะกร้าตัวแล้วตัวเล่า จนเกือบจะเต็มตะกร้า
“เท่านี้ก็คงพอ” นางมองปลาเกือบยี่สิบตัวที่อยู่ในตะกร้าอย่างพอใจ
“หมดนี้คงขายได้สักสองสามตำลึง ค่าผ้ากับด้ายของเจ้ายังมิรู้จะพอหรือไม่”
“แพงถึงเพียงนั้นเชี่ยว” นางมองหน้าเขาอย่างตกใจ
เพราะหว่านหนิงนางไม่รู้ราคาข้าวของในยุคนี้เลย จึงได้แต่เชื่อในคำพูดของหลี่เฉียง เขายกตะกร้าที่มีปลาอยู่เต็มกลับไปใส่โอ่งน้ำที่เรือน ก่อนจะยกตะกร้ามาอีกสองใบเพื่อให้หว่านหนิงนางจับปลาเพิ่ม
เพียงไม่นานปลาก็เต็มอีกทั้งสองตะกร้า ยังดีที่เรือนของทั้งสองมีโอ่งน้ำหลายใบ สามารถนำปลาไปปล่อยไว้ด้านในก่อนได้
“แล้วท่านจะขนขึ้นเกวียนวัวได้รึ”
“คงต้องเช่าเกวียนวัวเข้าเมือง”
“ต้องใช้เงินเท่าใด” นางเอ่ยถามอย่างกังวล
“คงสักยี่สิบอิแปะกระมัง” หลี่เฉียงคำนวณจากค่าเกวียนวัวที่เข้าเมืองคนละสองอิแปะ รอบๆ หนึ่งจะบรรทุกคนได้นับสิบคน
“ได้ ข้าเพิ่งได้เงินมาจากท่านป้าตู้ พรุ่งนี้จะให้ท่านติดตัวไปก่อนสามสิบอิแปะ” หว่านหนิงนางปวดใจไม่น้อย ที่ต้องแบ่งเงินให้หลี่เฉียงไปสามสิบอิแปะ
นางเพิ่งจะได้มาหกสิบอิแปะ แต่เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้นางจะได้เงินก้อนใหญ่ จึงได้เลิกเสียดายเงินเพียงเท่านี้