5
ดูตัว
แก้วมุกดานั่งหน้านิ่งอยู่ในร้านอาหารของโรงแรมห้าดาวบนชั้นสามสิบ ดนตรีแจ๊สขับกล่อมบรรยากาศยามเย็นให้สวยหรูน่าภิรมย์ ลูกค้าหลายคนต่างพึงพอใจกับการมาใช้บริการ คงมีแต่ตรงโต๊ะริมกระจก ณ มุมสุดของห้องอาหารที่หญิงสาวนางหนึ่งนั่งหน้านิ่งราวกับคนไร้ความรู้สึก
ในโอกาสนัดดูตัววันนี้แก้วมุกดาสวมชุดกระโปรงสีขาวสายเดี่ยวประดับมุก ผมยาวสีน้ำตาลประกายชมพูเกล้ารวบตึงโชว์โครงหน้าเรียวสวยดั่งเทพปั้น แก้วมุกดาเลือกชุดที่เชยและดูไร้รสนิยมที่สุดที่มีในตู้สำหรับดินเนอร์วันนี้โดยเฉพาะ ใจจริงไม่ได้อยากมานักหรอก หากไม่ใช่เพราะบิดารบเร้ามาตั้งแต่หลายเดือนก่อน บวกกับมารดาที่เอาแต่ขอร้องหน้าเศร้า
‘ไปทำความรู้จักเขาเถอะนะมุก เผื่ออาจเป็นพรหมลิขิต เป็นเนื้อคู่ของเราก็ได้ แม่รู้ประวัติคุณพันแสงคร่าวๆ เขาก็ดูเป็นผู้ชายที่ฝากผีฝากไข้ได้ ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว และหากมีใครสักคนที่ดูแลหนูได้ แม่ก็คงตายตาหลับอย่างหมดห่วง’
‘การแต่งงานไม่ใช่หลักประกันว่าตลอดทั้งชีวิตนี้จะไม่มีความทุกข์ มุกเชื่อว่าสามารถดูแลตัวเองได้ พึ่งพาตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของสามี หนูไม่เคยนึกฝันถึงการแต่งงานเลยนะคะ’
‘งั้นก็ลองฝันดู ทางนู้นเขาตกลงนัดทานข้าวกับหนูแล้ว ก็ลองไปพูดคุยทำความรู้จักกันดูหน่อยนะลูก’
หากเป็นเวลาปกติแก้วมุกดาคงดึงดันและดื้อด้านอย่างถึงที่สุด แต่นี่มารดากำลังป่วยระยะสุดท้าย ด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน กว่าจะตรวจพบก็อยู่ในระยะที่สายเกินไป มารดาของแก้วมุกดาสู้กับการทำเคมีบำบัดไม่ไหวจึงขอใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตอยู่ที่บ้านท่ามกลางคนที่รัก และด้วยความที่ท่านเหลือเวลาบนโลกนี้อีกไม่มากแล้ว แก้วมุกดาจึงตกลงมาทานข้าวกับผู้ชายที่พ่อแม่คาดหวังได้เกี่ยวดอง
ผู้ชายคนนี้เธอได้เจอตัวจริงไปแล้วเมื่อวาน หน้าตาหล่อเหลาก็เท่านั้น แต่การพูดจาดูกวนใจชอบกล และดูสิเนี่ยเธอมานั่งรอตั้งห้านาทีแล้วแต่ก็ไม่เห็นวี่แววเขาเลย แก้วมุกดาให้เวลาอีกสิบวินาทีหากยังไม่ปรากฏตัวออกมาเธอจะไปแล้วจริงๆ
หญิงสาวนับเลขในใจด้วยการเร่งความเร็วกว่าปกติ เมื่อครบสิบวินาทีก็ฉวยกระเป๋าลุกขึ้นยืน
“จะกลับแล้วเหรอครับ”
แก้วมุกดาเสียการทรงตัวจนเกือบล้มบนส้นสูง พันแสงมือไวคว้าเอวหล่อนไว้ทัน หญิงสาวตกใจและผลักเขาออกอย่างไม่พอใจ โผล่มาเงียบๆ แล้วยังมาอยู่ด้านหลังอีก เป็นใครจะไม่ตกใจ
“จะกลับแล้วค่ะ คุณมาช้า ไม่รักษาเวลา ความประทับใจแรกพบเป็นศูนย์ ไว้เจอกันครั้งหน้านะคะ” ...ครั้งหน้าที่อาจไม่มีอีกแล้ว
แก้วมุกดาทำทีจะเบี่ยงตัวเดินหนี แต่ร่างสูงเข้ามาขวางทางจนเธอเกือบชนเข้ากับแผ่นอก พันแสงเพียงยกยิ้มแต่ดวงตาดุเหมือนออกคำสั่งอยู่ในที พลางเลื่อนเก้าอี้แล้วดันร่างเล็กนั่งลงที่เดิมอีกครั้ง
“ขอโทษครับที่ผมมาช้า จริงๆ มาถึงนานแล้วแต่มัวคุยโทรศัพท์เรื่องงานอยู่หน้าห้องอาหาร” พันแสงว่าพลางเลื่อนเก้าอี้นั่งตรงข้ามกับเธอ “คุณจะว่าผมแก้ตัวก็ได้ เอาเป็นว่าขอโทษที่ทำให้อารมณ์เสีย แต่ว่าความประทับใจแรกพบเป็นศูนย์เลยเหรอ จริงๆ เราไม่ได้เจอกันครั้งแรกนี่ครับ เมื่อวานเราเจอกันแล้วนะ”
“ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าเมื่อวานแอบตามดูฉัน สตอล์กเกอร์เหรอคะ”
“ไม่ใช่นะ บังเอิญจริงๆ” ตอนนั้นเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือว่าที่เจ้าสาว แต่ดูเหมือนเธอจะรู้ตัวเลยรีบชิ่งหนีทันที “ว่าแต่สั่งอาหารเลยดีไหมครับ”
“ดีค่ะ จะได้รีบกินรีบกลับ” ประโยคหลังเธอพึมพำเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า แต่คนนั่งตรงข้ามห่างเพียงไม่กี่ฟุตก็ได้ยินเต็มสองหู
และพันแสงก็ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าเธอไม่มีความกระเหี้ยนกระหือรืออยากแต่งงานเลย
ทั้งสองสั่งอาหารกับบริกรเสร็จแล้วก็ปล่อยบรรยากาศให้มีแต่เสียงดนตรีเสนาะหู แก้วมุกดาดูไม่อยากเสวนากับเขาเป็นอย่างมาก ใบหน้าสวยเบือนมองวิวเมืองสุดลูกหูลูกตา ขณะที่พันแสงฉวยโอกาสนี้พิจารณาเธอเงียบๆ
ก็สวยสมคำบรรยายของรำไพพรรณ แต่ตั้งแต่มานั่งอยู่ตรงนี้พันแสงยังหารอยยิ้มจากใบหน้างามไม่เจอเลย
“หน้าตาอมทุกข์เพราะถูกบังคับให้แต่งงานเหรอครับ” หลังจากแอบมองเงียบๆ อยู่นานเสียงทุ้มก็เอ่ยทำลายความอึดอัด
แก้วมุกดาเบือนหน้ากลับมา ก็นึกว่าเขาจะไม่ชวนคุยแล้วเสียอีก ครั้นเธอจะเป็นฝ่ายพูดก่อนก็กลัวปากรั่วพูดจาไม่น่ารักใส่
“ก็ไม่เชิงค่ะ แค่มีอะไรหลายอย่างให้คิด”
“ลืมไป ผมมีของมาให้คุณ”
พันแสงเลื่อนถุงกระดาษที่หิ้วมาด้วยไปตรงหน้าเธอ แก้วมุกดาเหลือบมองอย่างสนใจและเดาว่าคงเป็นพวกเครื่องประดับวิบวับหวังโชว์ความสายเปย์ ทว่าพอหยิบออกมากลับเป็นหนังสือเล่มเมื่อวานที่เธอไม่ได้ซื้อ
“คุณซื้อมาให้ฉันเหรอคะ”
“ตะกี้ผมก็พูดว่าให้คุณไม่ใช่เหรอครับ”
นั่นไง ความกวนประสาทหน้าตาย ขืนวิวาห์กันไปมีหวังได้ทะเลาะเช้ายันเย็นแน่
“ค่ะ ได้ยินชัดแล้วค่ะ ขอโทษที่ถามซ้ำและขอบคุณค่ะ” เมื่อไรอาหารจะมาเสิร์ฟเสียทีนะ แก้วมุกดาหิวจนอารมณ์ที่ร้อนอยู่แล้วชักจะเดือดปูดๆ ขึ้นไปทุกที คนตรงหน้าก็ขยันพูดจาไม่เข้าหูเสียด้วยสิ
“เรียนจบแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ จบแล้ว เมื่อวานแค่แวะไปทำธุระเรื่องเอกสารใบจบที่มหา’ลัย”
“แล้วหลังจากนี้อยากทำอะไร”
“ก็คงทำงานน่ะค่ะ หรืออาจเรียนป.โทต่อ แพลนไว้ว่าจะไปเรียน Financial engineering ที่อังกฤษ แต่คุณพ่อยังไม่เห็นด้วย บวกกับช่วงนี้คุณแม่ป่วยหนักฉันก็เลยต้องอยู่บ้านเฉยๆ ไปก่อน”
“Financial engineering เหรอ ไม่ค่อยได้ยินชื่อหลักสูตรนี้ผ่านหูบ่อยนัก”
“ชื่อภาษาไทยก็วิศวกรรมการเงิน เป็นการขับเคลื่อนโลกการเงินด้วยวัตกรรมน่ะค่ะ เท่าที่ฉันศึกษามาคร่าวๆ ก็ประมาณว่าเป็นการนำแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาใช้ในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุน เห็นว่าเป็นหนึ่งในสาขาที่เรียนยากก็เลยรู้สึกท้าทายอยากลองดู อีกอย่างเท่าที่ฉันรู้มาเป็นอาชีพที่รุ่งและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานไทยมาก”
“นั่นแปลว่าจบมาได้เงินเดือนสูง และไม่ตกงานแน่นอน เราคงชอบเรียนหนังสือสินะ หน้าตาก็ดูไปทางเด็กเรียน”
“ชมใช่ไหมคะ” หรือแอบค่อนแคะอยู่กันแน่ คงหาว่าหน้าตาเธอดูเฉิ่มเชยเหมือนเด็กเนิร์ดล่ะสิ
“เป็นคำชมครับ แม่พี่บอกว่ามุกชอบการแสดง ไม่อยากลองเข้าวงการบันเทิงบ้างเหรอ”
“แต่ก่อนสมัยยังวัยรุ่นกว่านี้ก็อยากเล่นหนังเล่นละครค่ะ ตอนเรียนฉันอยู่ชมรมละครเวทีก็ถือว่าได้สานฝันสำเร็จแล้ว คุณพ่อไม่ค่อยอยากให้มีชื่อเสียงค่ะ เพราะท่านกลัวว่าฉันที่เป็นลูกรัฐมนตรีจะโดนคนครหาโจมตีมากกว่ามีคนรัก ซึ่งตอนนี้ฉันก็หมดแพชชันในงานแสดงแล้ว อยากเรียนต่อมากกว่า”
“เรื่องเรียนผมสนับสนุนนะ แต่ถ้าเราแต่งงานกันแล้วผมอนุญาตให้เรียนต่อได้ แต่ถ้าไปเรียนต่างประเทศคงไม่ได้”
“เดี๋ยวนะ ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะแต่งงาน”
“คุณจะปฏิเสธ?”
“ค่ะ คุณเองก็เป็นเด็กนอกนี่คะ จบตรีจบโทจากอังกฤษ แต่จะไม่ค้านกับการคลุมถุงชนหน่อยเหรอ”
“ก็อยากค้านนะ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้อยากแต่งเลย แต่เพื่อธุรกิจก็ต้องยอม และโครงการประมูลนี้คุณพ่อของคุณช่วยได้ ท่านเป็นคนเสนอมาเองว่าถ้าคนฝั่งผมยอมแต่งงานกับลูกสาวของเขา ธุรกิจที่ผมต้องการก็จะราบรื่น”
แก้วมุกดารู้สึกเหมือนไฟในใจคุกรุ่นโหมแรง เธอไม่ชอบคำพูดของเขา เธอไม่ชอบวิธีการพูดอย่างแข็งกระด้าง แม้ซื่อตรงไม่อ้อมค้อมก็จริง แต่ฟังแล้วมันกวนอารมณ์ชอบกล แก้วมุกดาไม่ทันได้โต้กลับก็ถูกขัดจังหวะด้วยอาหารสไตล์อิตาเลียนที่ลำเลียงวางเสิร์ฟบนโต๊ะ เมื่อบริกรไปแล้วเธอจึงเอ่ยต่อ
“แต่ถ้าฉันไม่แต่ง ดึงดันสุดแรงว่ายังไงก็ไม่แต่ง งั้นฝั่งคุณก็จะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการใช่ไหมคะ เงื่อนไขนี้ดูเป็นประโยชน์กับฝั่งคุณมากกว่านะคะ ครอบครัวฉันถึงไม่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีเหมือนคุณ แต่ก็พอมีพอใช้ไม่จำเป็นต้องเกาะบารมีใครรวย ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจการแต่งงานเพื่อสยายปีกทางธุรกิจหรอกนะ ฉันน่ะไปหาอ่านงานวิจัยเรื่องนี้มาแล้ว”
“งานวิจัยเรื่องการแต่งงานเพื่อธุรกิจน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ เป็นผลวิจัยที่ว่าด้วยนักธุรกิจไทยนิยมแต่งงานเพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เพราะการแต่งงานคือการรวมทรัพยากรเข้าด้วยกัน เอื้อประโยชน์ต่อพวกเดียวกัน และทำให้ทรัพย์สินเพิ่มพูนมากขึ้น ยิ่งเกี่ยวดองด้วยการแต่งงานก็ยิ่งทำให้การช่วยเหลือกันทางธุรกิจง่ายขึ้น คนใหญ่คนโตในประเทศนี้ก็ใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น”
“แต่ทั้งที่คุณเข้าใจก็ยังจะปฏิเสธงั้นเหรอครับ”
อาหารบนโต๊ะยังไม่มีใครแตะต้อง แก้วมุกดาเองก็เพียงถือมีดกับส้อมรอยังไม่ได้ลงมือรับประทาน และหัวข้อสนทนาก็ระอุด้วยอารมณ์จนชวนอยากโต้วาทีมากกว่าตักอาหารเข้าปาก
“ก็ฉันไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรนี่คะ พูดตามตรงฉันไม่รู้เหตุผลของพ่อด้วยซ้ำว่าทำไมอยากให้แต่งกับฐลัชนันท์ ส่วนแม่อยากให้แต่งเพราะท่านอยากให้ฉันมีคนดูแลก่อนท่านจะจากโลกนี้ไป” น้ำเสียงแผ่วปลายเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงการจากลา แก้วมุกดาทำใจเรื่องนี้มานาน แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดายเหมือนดีดนิ้วร่ายมนตร์
“ดื้อเหมือนกันนะแก้วมุกดา”
“ดื้อเหมือนเด็กไม่รู้ความ จะสื่อแบบนี้หรือเปล่าคะ”
“หึ คุณว่าตัวเองนะผมไม่ได้พูด” จะเปรียบว่าเธอเหมือนเด็กไม่รู้ความก็ไม่ใช่ ออกจะฉลาดเข้าใจคิดเข้าใจพูดเสียด้วยซ้ำ “หรือว่ามีเหตุผลอื่นที่คุณไม่อยากแต่งกับผม ทั้งที่ผมไม่มีตำหนิเลย ใครต่อใครก็บอกว่าผมหล่อ สูงยาวเข่าดี ฐานะชาติตระกูลและการศึกษาก็ไม่น้อยหน้าใคร ผมมีตรงไหนที่ทำให้คุณไม่อยากแต่ง”
เชื่อเขาเลย เกิดมายังไม่เคยเจอใครอวยตัวเองได้เท่านี้มาก่อน
“หรือว่ามีแฟนแล้ว”
“ไม่มีค่ะ” เอ๊ะ... หรือเธอควรตอบว่ามีดีนะ แต่ระดับเขาคงเช็กประวัติเธอมาแล้วแน่ๆ
“แล้วทำไมไม่อยากแต่ง”
“แล้วคุณเต็มใจแต่งงานกับคนแปลกหน้าเหรอคะ ถึงฉันไม่ได้บูชาความรัก แต่ก็ไม่ได้เทิดทูนชื่อเสียงเงินทองหรือผลประโยชน์จนยอมแลกอิสรภาพ งานวิจัยเรื่องการแต่งงานเพื่อธุรกิจที่ฉันอ่านมา บอกว่าคนกลุ่มนี้น่ะไม่ค่อยจะมีความสุขในชีวิตคู่ อยู่กินกันด้วยภาวะจำยอม นั่นเลยเป็นที่มาของปัญหาที่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ อย่างเช่นการที่ผู้ชายไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย ไปอยู่กับคนที่เกิดรู้สึกชอบพอด้วยใจจริงไม่ใช่เรื่องธุรกิจ และคุณก็คงไม่ต่างกันนัก วันหนึ่งถ้าเราแต่งงานกันจริง คุณก็คงมีเมียน้อย พอได้เจอผู้หญิงที่ถูกใจฉันก็จะกลายเป็นเมียหลวง”
“อย่าเพิ่งมองไกลนักสิครับ เอาอนาคตอันใกล้นี้ก่อน”
“จะใกล้หรือไกลก็เป็นอนาคตที่ต้องแคร์” แก้วมุกดาหลับตาถอนหายใจ “หิวแล้วกินดีกว่า อย่าเพิ่งชวนคุยอะไรที่ทำให้รู้สึกอยากพุ่งไปบีบคอคุณเลย”
“ทำไมโหดร้ายจัง ตัวก็แค่นี้ มือก็แค่นี้” ...คิดว่าจะทำอะไรเขาได้จริงเหรอ
แก้วมุกดาเพียงเหลือบมองอย่างไร้ความหมายแล้วก้มหน้าก้มตาสนใจอาหารเลิศรสที่มาพร้อมศิลปะการจัดจาน พันแสงก็พลอยสงบปากสงบคำ ทั้งคู่ปล่อยให้บรรยากาศดำเนินต่อไปเช่นนี้จนอาหารพร่องหมดทุกจาน พันแสงเพลินตากับการลอบมองคนตรงหน้าเป็นระยะ ในขณะที่เธอก็สนใจเพียงอาหารและวิวเมืองจากบนตึกระฟ้า