ผ่านไปเกือบอาทิตย์แล้วที่ปลัดวสันไม่ได้มาที่บ้าน ไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้า หรือส่งข่าวใด ๆ โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ยิ่งเขาหายไปดื้อ ๆ แบบนี้ ฉันก็ยิ่งใจไม่ดี กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรร้ายแรง ถ้าหนักหน่อย ก็อาจจะถึงแก่ชีวิต
“ชบา”
เฮือก!
“พี่บัว ตกใจหมดเลย”
ฉันยกมือขึ้นทาบอกพลางพ่นลมหายใจออกปากเสียงดัง บ่งบอกว่าใจหายใจคว่ำอย่างที่พูดจริง ๆ
“ตกใจอะไรขนาดนั้น พี่ก็เรียกเบา ๆ เอง”
พี่บัวเดินอ้อมมานั่งเก้าอี้ด้วย ก่อนจะช่วยพับผ้าที่เพิ่งเก็บขึ้นมาจากราวด้านล่าง
“ช่วงนี้เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเหม่อลอยตลอดเลย”
“เปล่านี่”
ฉันยิ้มกว้างส่งให้ พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ แต่ยิ่งพยายาม มันก็ยิ่งไม่ปกติ
“มีอะไรบอกพี่ได้นะ”
บอกก็โดนดุสิ เผลอ ๆ พี่บัวเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อกับแม่ด้วย ฉันคงได้โดนเฆี่ยนจนตายคาไม้หวายแน่
“ไม่มีอะไรจริง ๆ แล้วพี่ล่ะ มีอะไรจะบอกฉันหรือเปล่า”
“อยากฟังเรื่องอะไรล่ะ”
ฉันวางมือจากผ้าที่กำลังพับแล้วเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาทันที
“อยากฟังเรื่องสารวัตรทิศ”
“...”
คนข้างกันชะงักไปทันที ก่อนจะเริ่มวางตัวไม่ถูกและเบนหน้าหลบ
“ทะ ทำไมเหรอ”
“ได้คุยกันบ้างยัง”
“ก็ได้คุยเท่าที่จำเป็นนั่นแหละ”
“คุยอะไรบ้าง”
ฉันขยับเข้าไปชิดเธอกว่าเดิมด้วยความอยากรู้
“ตายจริง พี่ลืมเก็บปลาย่าง ไปเก็บปลาก่อนนะ”
“เอ้า”
อีกฝ่ายไม่อยู่ให้ฉันได้ซักถาม รีบชิงหนีไปเสียดื้อ ๆ แต่ยิ่งมีพิรุธแบบนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน
แต่ในเมื่อพี่บัวยังไม่พร้อมที่จะบอก ฉันก็จะไม่เค้นถามให้เธอลำบากใจ เพราะในวันใดวันหนึ่ง เธอต้องเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังอย่างแน่นอน
ใช้เวลาพับผ้าอยู่ไม่นานก็จัดการเรียงผ้ากองโตเข้าตู้เสร็จสรรพ จากนั้นก็หอบเสื้อผ้าลงมายังชั้นล่างเพื่ออาบน้ำ บ้านของฉันเป็นบ้านไม้ยกสูง โดยครัวกับห้องน้ำจะอยู่ที่ด้านล่าง รอบข้างเต็มไปด้วยบ้านคน แต่ทำไมฉันกลับรู้สึกวังเวงกว่าทุกวันนะ
บู้วววว
มือเล็กชะงักกึกในจังหวะที่คว้าประตูห้องน้ำเตรียมจะเปิด ขนเริ่มลุกไปทั่วทั้งหัว ทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกแปลก ๆ ชอบกล ตั้งแต่ลงมาเก็บผ้าแล้ว
ฉันพยายามละความสนใจแล้วปิดประตูห้องน้ำให้สนิท ก่อนจะปลดเสื้อผ้าออกจากตัวแล้วเริ่มตักน้ำราดลงมาจนเปียกปอน
ก๊อก ๆ ๆ
เพิ่งเริ่มอาบน้ำได้ไม่นาน จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้น ใครกันนะ?
“พี่บัวเหรอ”
ฉันหยุดตักน้ำแล้วตะโกนถามออกไป แต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมาเลย
“แป๊บนะ อาบน้ำอยู่”
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูด จึงหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาอาบน้ำต่อเพราะอากาศเริ่มเย็น แต่เพียงแค่หันกลับมาตักน้ำ ประตูก็ถูกเคาะจากคนที่อยู่ด้านนอกอีกครั้ง
ก๊อก ๆ ๆ
“มีอะไร”
ฉันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ที่พี่บัวเอาแต่เคาะประตูเรียก แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที แต่พอฉันเอ่ยถาม ก็ดันเงียบไปอีกแล้ว
“อะไรของเขาเนี่ย”
ถ้าพี่บัวมีนิสัยขี้แกล้งหน่อย ฉันคงไม่รู้สึกแปลกใจเลย แต่นี่พี่บัวไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง มีแต่ฉันนี่แหละที่ชอบแหย่พี่บัวแบบนี้บ่อย ๆ
ปัง ๆ ๆ
ทั้งที่ตั้งใจจะไม่สน แต่จู่ ๆ เสียงเคาะก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงทุบประตูแรง ๆ ราวกับโกรธแค้นก็ไม่ปราน ทำเอาฉันหนวกหูทนไม่ได้ ต้องรีบยกผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันรอบอกเอาไว้ แล้วเปิดประตูออกไปให้มันรู้แล้วรู้รอด
พึ่บ!
“อะไรของพี่...”
ทันทีที่เปิดประตูออกมาฉันก็ต้องหยุดชะงัก เพราะนอกจากจะไม่มีพี่บัวแล้ว ยังไม่มีใครยืนอยู่ตรงนี้เลย
“พะ พี่บัว”
ฉันชะเง้อหน้าออกไปที่นอกประตูอย่างหวาดระแวง ก่อนจะพบว่าตอนนี้พี่บัวกำลังนั่งเก็บปลาย่างที่ตากเอาไว้อยู่ในครัว เขาไม่มีทางที่จะวิ่งไปไวขนาดนั้นได้แน่ แล้วถ้าไม่ใช่พี่บัว จะเป็นใครกัน
ความหวาดผวาย้อนกลับมาครอบคลุมจิตใจ ฉันถึงได้หันกลับไปอาบน้ำลวก ๆ ก่อนจะหอบเสื้อผ้าวิ่งขึ้นมาเปลี่ยนที่บนบ้าน ไม่รู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่เจอมันคืออะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่า... ผี
เจอดีเข้าจัง ๆ ฉันก็อยู่ไม่สุข รีบสวมใส่เสื้อผ้าแล้วกราบพระเข้านอนทันที น่าแปลกที่วันนี้พยายามหลับ แต่ยิ่งพยายาม มันก็ยิ่งหลับไม่ลง เสียงหมาหอนก็เริ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าตอนนี้พวกมันยืนเห่าอยู่ที่หัวบันได นอนฟังอยู่นาน ในที่สุดพ่อก็เปิดประตูออกไปไล่พวกมันจนวิ่งหางจุกตูดและเผ่นแนบไปคนละทิศละทาง
พอไม่มีเสียงหมาเห่าแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา ร่างกายเริ่มผ่อนคลายและคล้อยหลับลงไปช้า ๆ ในจังหวะที่กึ่งหลับกึ่งตื่น จู่ ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันเจี๊ยวจ๊าว ฟังดูเป็นเสียงพูดกระซิบกระซาบสลับกับหัวเราะ แต่ฟังไม่ได้ศัพท์เลยว่าใครกำลังพูดอะไรกัน จนกระทั่ง
ปัง!
เสียงคล้ายบางสิ่งบางอย่างกระทบใส่หลังคาทำให้ฉันสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นมากลางดึก รีบหันซ้ายแลขวาและได้พบกับความผิดปกติบางอย่าง
“ประตูเปิดได้ไง!”
ฉันมั่นใจว่าปิดประตูเอาไว้สนิท และล็อกกลอนอย่างแน่นหนา ไม่มีทางที่มันจะเปิดอ้าอย่างนี้แน่ คิดได้แบบนี้ก็รีบเอี้ยวตัวไปหยิบไฟฉายที่หัวเตียงขึ้นมาส่องไปรอบ ๆ ห้อง และสิ่งที่เจอ ก็ยิ่งทำให้ฉันช็อกอ้าปากค้าง
เพราะรอบบริเวณพื้นไม้เต็มไปด้วยรอยเท้าขนาดเทียบเท่าขนาดรอยเท้าฉัน แต่ที่มั่นใจว่าไม่ใช่รอยเท้าของตัวเอง เพราะมันคือรอยเท้าที่เปื้อนโคลนตม ซ้ำยังดูใหม่เสียจนมั่นใจว่ามันถูกประทับลงที่พื้นรอบเตียงเมื่อไม่นานมานี้
ครืด...
เสียงใครบางคนลากสิ่งของดังขึ้นมาจากทางเข้าหน้าประตู ด้วยความว่องไวฉันจึงสาดไฟฉายออกไปทันที แต่เพียงแค่วูบเดียวที่แสงสาดออกไปไฟฉายก็ดับวูบลงกะทันหัน แต่มันช้าเกินกว่าที่ฉันจะมองเห็นผู้หญิงในชุดผ้าถุงผมยาวรุงรังที่กำลังเดินเข้ามาในห้องนี้
ฉันแทบกรีดร้องออกมา แต่มันกลับไม่มีเสียง เอาแต่ตัวแข็งทื่อมือสั่นระริก นี่สินะ อาการของคนโดนผีหลอก
พึ่บ!
ในนาทีที่สติหลุดลอย ฉันพยายามควานหาสติกลับคืนมาให้ได้มากที่สุดก่อนจะยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง แต่กระนั้นร่างของหญิงปริศนาก็ยังคงเดินเข้ามาเรื่อย ๆ และมาหยุดอยู่ข้างเตียงในที่สุด
“บุปผา”
เสียงกระซิบดังแผ่วเบาแต่กลับบาดลึกไปถึงต้นขั้วของความกลัว ฉันหลับตาปี๋แทบลืมหายใจไปเสียด้วยซ้ำ เกิดมาไม่เคยโดนผีหลอกจัง ๆ ขนาดนี้เลย
“ฮึก ฉะ ฉันกลัวแล้ว อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะ”
น้ำตาไหลทะลักลงข้างแก้มด้วยความกลัว แต่ยิ่งรู้ว่าฉันกลัว ผีตนนี้ก็ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะแตะสัมผัสลงที่ผ้าห่ม ในตำแหน่งหัวของฉันเบา ๆ
“บุปผา ลูกแม่...”