ตอนที่ 2
ไปด้วยกันไหม
“เธอ.. มองเห็นฉันเหรอ” ฉันขมวดคิ้วให้กับท่าทางที่แปลกใจของเขา
“เห็นซิทำไมจะไม่เห็นล่ะ” พร้อมทั้งย้ำคำพูดของตัวเองเข้าไป ผู้ชายคนนี้แปลกคนดีแท้
“เธอ.. เห็นฉันจริง ๆ เหรอ”
“นายนี่ก็แปลกคน! ฉันก็มองเห็นนายคุยกับนายอยู่นี่ไง มันแปลกยังไง” ด้วยความที่เป็นคนไม่ได้ใจดีและใจเย็นเท่าไหร่ ทำให้ฉันยืนขึ้นพร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างเท้าสะเอวจ้องมองเขาด้วยท่าทางหาเรื่อง
“ดีใจจัง.. จำไม่ได้แล้วว่าคุยกับมนุษย์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” เขาส่งยิ้มมาให้พร้อมดวงตาที่เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด สองเท้าเดินเข้าไปหาเขาให้ใกล้ขึ้นกว่าเดิม
“นายหนีออกจากบ้านเหรอ” เพราะท่าทางนี้ของเขามันทำให้ฉันรู้สึกเศร้ามากจริง ๆ และเขาเองก็ดูน่าสงสาร
“เปล่าครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมตอบเบา ๆ แต่ไอ้อาการเนิบนาบของเขานี่มันน่าโมโหชะมัดเลยแฮะ
“แล้วที่บอกว่าไม่ได้คุยกับคนมานานแล้วนี่หมายความว่าไงเหรอ” ช่างเป็นการพบหน้าที่ประหลาดเสียจริง แต่ที่ประหลาดกว่าการพบหน้ากลับเป็นฉันที่รู้สึกเหมือนคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ก็.. ไม่ได้คุยกับคนอื่นเลยนอกจากเจ้าตูบนี่”
“เรื่องนี้ช่างมันก่อนเถอะ! แล้วนี่นายไม่กลับบ้านเหรอฝนจะตกแล้วนะ” ฉันหันมองที่ด้านหลังก็พบว่าท้องฟ้ายังสว่างวาบด้วยสายฟ้าเป็นระยะ ลมที่พัดกรรโชกนั้นก็ยังพัดอยู่แบบนี้ไม่กี่ทีข้างหน้าฝนต้องตกลงมาแน่ ๆ
“ผมไม่มีบ้านให้กลับครับ” ฉันขมวดคิ้วให้กับคำตอบนั้นของเขา สองมือของเขายังคงลูบหัวเจ้ามูมู่ที่นั่งนิ่งหูตูบให้เขาลูบอย่างว่าง่าย
“คนเราก็ต้องมีบ้านสิ”
“ผมไม่รู้ว่าบ้านผมอยู่ที่ไหน” จากที่สังเกตทุกครั้งที่เขาพูดถึงบ้านจะมีสีหน้าที่เศร้าลงเป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะถามอะไรกลับไม่รู้ทั้งนั้นซึ่งมันแปลกมาก
“นายประสบอุบัติเหตุหรือเปล่าเนี่ย ไหนดูซิ! มีแผลตรงไหนมั้ย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” และความอดทนของคนมีจำกัด ฉันลุกขึ้นไปหวังจะเอื้อมมือไปสำรวจตามเนื้อตัว แต่กลับเป็นผู้ชายคนนี้ที่ถอยหลังออกห่างราวกับว่าเขากำลังตกใจทำให้มือของฉันชะงักค้างกลางอากาศ
“เอ่อ.. ไม่ ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ” เขาที่น่าจะเห็นว่าฉันหน้าเหวอถึงได้เปลี่ยนเรื่องคุยพร้อมกับมานั่งลูบเจ้าตูบเช่นเดิม
“โซย่า.. นายล่ะ” ก็ในเมื่อเขาไม่อยากให้แตะเนื้อต้องตัวฉันก็จะคิดว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน สองเท้าถอยหลังมาประมาณสองก้าว เก่อนจะนั่งลงยอง ๆ มองเขาอีกครั้ง
“จัสติน” เขาปรายตามามองนิดหน่อยแล้วหันไปสนใจเจ้าตูบที่บัดนี้นอนลงไปที่พื้นหงายท้องให้เขาเกาพุงเล่น
“แล้วนายจะนั่งตากฝนอยู่ตรงนี้เหรอ ไปหลบฝนที่บ้านคุณยายฉันก่อนไหมไม่ไกลหรอกถัดไปแค่สามซอยเอง”
“ผมไปได้เหรอ” เขาเงยหน้ามาจ้องฉันด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาววับจนรู้สึกว่าสายตาของฉันกำลังถูกมนต์สะกดไปชั่วขณะ ในสมองมีแต่คำว่า 'หล่อ' เต็มไปหมด ก่อนจะได้สติแล้วสะบัดความคิดที่ฟุ้งซ่านนั้นทิ้ง
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ไม่รู้ว่าเขาจะรู้ตัวไหม แต่ฉันเองรู้ตัวเองดีว่าตอนนี้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปหมด ร้อบวูบวาบที่ใบหน้าจนต้องลุกขึ้นมายืนจ้องเขาแทน
“ผมไปได้จริง ๆ เหรอ” แต่ผู้ชายคนนี้ยังคงพูดเรื่องอะไรที่ฉันไม่เข้าใจอยู่ดี ก้แค่ไปหลบฝนที่บ้านมันจะต้องคิดมากขนาดนี้เลยหรือไงกันนะ
“ไปเถอะ! ลีลากว่านี้เราจะตากฝนแล้วนะ ป่ะ! มูมู่”
หงิง! หงิง~
ฉันเดินออกจากใต้ต้นไม้ต้นนั้นมาพร้อมกับมูมู่ที่ยังส่ายหางอารมณ์ดีไม่เลิก หันไปมองจัสตินก็เห็นว่าเขาลุกขึ้นยืนมองมาที่ฉันด้วยสายตาละห้อยจึงได้กวักมือเรียกอีกครั้ง เขายิ้มออกมาจนตาหยีพร้อมกันก้าวขาเดินตามฉันมาติด ๆ เราใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินมาถึงประตูรั้วไม้สีขาวซึ่งเป็นเขตบริเวณบ้านของคุณตา
ใช้มือผลักเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาในบ้านสายตา หันไปมองจัสตินที่เดินตามเข้ามาในบ้านติด ๆ ด้วยท่าทางของคนที่ตื่นเต้น เราเดินเข้ามาจนถึงประตูหน้าบ้านที่ถัดไปดานข้างเป็นโต๊ะเก้าอี้ที่ทุกคนกำลังนั่งกินดื่มฉลองกันอยู่ เมื่อทุกคนเห็นฉันก็เรียกให้เข้าไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยจึงก้าวเท้าเข้าไปหาทุกคน และในตอนที่กำลังจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับจัสติน เมื่อหันหลังกลับไปมองก็ต้องแปลกใจเพราะว่าไม่เห็นจัสตินยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
“อ่าว! หายไปไหนแล้ว” ฉันวางแก้วน้ำอัดลมลงแล้วย้อนกลับมาสี่ห้าก้าว นอกจากไม่เห็นแม้แต่เงาเขาแล้วเดิมทีคิดว่าเขาอาจจะเดินตามเจ้าตูบมูมู่ไป แต่เมื่อกวาดสายตาไปมองที่บ้านหมาก็เห็นว่ามันกำลังนอนแทะกระดูกของเล่นอยู่
“อะไรหายเหรอโซย่า” คุณยายที่เดินถืออาหารมาวางที่โต๊ะถามขึ้นเมื่อท่านเห็นว่าสองเท้าฉันเดินไปเดินมาเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง
“เมื่อกี้หนูพาผู้ชายน่าสงสารคนหนึ่งมาหลบฝนค่ะ” หลังจากที่พูดจทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็หันมามองฉันเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่ลูกพี่ลูกน้องที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ที่นั่งเล่นเกมอยู่ที่เก้าอี้แยกอีกทาง
“ผู้ชายที่ไหนกันหลานยาย แถวนี้ห่างไกลบ้านคนจะมีใครมาแถวนี้ได้” คุณยายยิ้มให้ก่อนจะเดินมาลูบหัวฉันสองสามทีด้วยสายตาที่อบอุ่น
“เขาบอกว่าไม่รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน แล้วฝนจะตกหนูก็เลยพามาที่บ้านค่ะ” คราวนี้เป็นคุณตาที่เดินมาแล้วยกมือมาลูบหัวฉันแทน แต่ว่าท่านไม่ได้พูดอะไรสักคำแล้วเดินกลับไปนั่งกับพ่อแม่และอา ๆ ต่อ
“สงสัยเขาหลอกหนูละมั้ง ช่างเขาเถอะ หนูไปนั่งทานข้าวได้แล้ว” คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมดึงให้ฉันเดินตามมานั่งกินข้าวที่โต๊ะ
“แต่เขาดูไม่น่าจะนิสัยแบบนั้นเลยนะคะคุณยาย” ฉันยื่นมือไปรับจานข้าวมาจากคุณแม่แล้วหันไปคุยกับคุณยายที่ท่านนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นเขาอาจจะกลับบ้านไปแล้ว คงเป็นคนในหมู่บ้านข้างหน้านั่นแหละ เรากินข้าวก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน” ท่านเอื้อมมือไปตักน่องไก่ทอดมาใส่จาน พร้อมทั้งเลื่อนถ้วยซุปกระดูก และอาหารอีกสองสามอย่างมาให้ใกล้ฉันมากขึ้น
“ค่ะคุณยาย” แม้ว่าจะเข้าใจแต่สายตาก็ยังคงกวาดหาจัสตินเป็นระยะ ทั้งที่เมื่อกี้เดินตามเข้ามาถึงหน้าบ้านแล้วแท้ ๆ และเมื่อมองยังไงก็ไม่เจอฉันเลยเปลี่ยนใจมานั่งทานแทน บนโต๊ะนี้มีเพียงแค่ฉันนและคุณยายที่ทานอาหารกันไปพูดคุยกันไป เพราะส่วนมากจะอยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ ที่กำลังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์กันมากกว่า
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปดึกพอสมควร จึงขอตัวกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อนจะได้อาบน้ำเตรียมตัวนอน แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าน้องชายที่ห่างกันเพียง 2 ปีนั้นยืนกอดหมอนกับผ้าห่มเดินออกมาจากห้องนอนของเขา
“พี่โซย่า” ฉันยกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร แต่เขากลับไม่ตอบ สองเท้านั้นเดินมาหาฉันด้วยท่าทางประหม่า
“ว่าไงฟอร์ซมีอะไรเหรอ” เพราะท่าทางนี้ของเขามันดูไปกติเลยสักนิด ฉันถึงได้หันไปถามเขาอีกครั้ง
“ผมขอนอนด้วยได้ไหม” ฉันปล่อยมือออกจากลูกบิดทันทีก่อนจะหันไปจ้องหน้าของน้องชายด้วยความแปลกใจ
“วันนี้มาแปลกนะเราอะ มีอะไรทำไมจู่ ๆ อยากมานอนกับพี่ละ”
“ทำไม! หรือว่าพี่โตเป็นสาวแล้วนอนกับน้องไม่ได้” เด็กผู้ชายตรงหน้ากระชับอ้อมแขนที่กอดหมอและผ้าห่มแน่นขึ้นพร้อมกับเชิดหน้าเชิดตาถามจนเป็นภาพตลกที่หาได้ยาก เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกันมาจนฉันอายุสิบสองปี เจ้าเด็กคนนี้ไม่ค่อยแสดงอาการแบบนี้สักเท่าไหร่
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ พี่ก็แค่สงสัยไง” ฉันส่ายหัวให้กับท่าทางเอาเรื่องของน้องชาย ก่อนจะหันมาเปิดประตูห้องนอนที่คุณยายสร้างไว้ให้ และทันทีที่ประตูเปิดออก เจ้าน้องชายตัวดีก็รีบพุ่งเข้าไปด้านใน
“นอนด้วยนะ” ฟอร์ซพูดเร็ว ๆ ก่อนจะพุ่งตัวไปบนเตียงนอนสีชมพูนั้น
“ก็นอนสิ! พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ฉันเดินเข้ามาในห้องแล้วตรงไปหยิบชุดนอนเตรียมจะเดินเข้าไปอาบน้ำ ก็ต้องชะงักอยู่กับที่เพราะคำพูดแปลก ๆ ขอน้องชาย
“พี่โซย่า พี่เจอเขาแล้วใช่ไหม”