ตอนที่ 3 นายเป็นคนจริง ๆ ใช่มั้ย

2009 คำ
ตอนที่ 3 นายเป็นคนจริง ๆ ใช่มั้ย “เจอ.. เจออะไรเหรอ” ฉันหันไปจ้องใบหน้าของฟอร์ซอย่างไม่เข้าใจ เขาดันตัวเองขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมขัดสมาธิแล้วจ้องตอบ เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรออกมามีเพียงแค่คิ้วที่ขมวดเข้าหากันทั้งคู่ “ก็ผู้ชายที่หล่อ ๆ” ฟอร์ซพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ท้องฟ้าด้านนอกสว่างวาบด้วยสายฟ้าที่น่าจะฟาดลงที่ไหนสักแห่งใกล้ ๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่น “หมายถึงจัสตินเหรอ” ฉันหันออกไปมองด้านนอกในใจก็คิดถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงกลับบ้านหรือยัง ถึงแม้ว่าตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ฝนจะไม่ได้ตกลงมาอย่างที่คิดแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี “เขาชื่อจัสตินอย่างนั้นเหรอ” ฟอร์ซบ่นพึมพำออกมาทำให้ฉันหันไปมองหน้าเขา แต่ยังเป็นใบหน้าที่สร้างความสงสัยกับฉันได้อยู่ดี “ฟอร์ซรู้จักงั้นเหรอ.. เขาเป็นใครล่ะ” “เปล่าไม่รู้จัก.. ฟอร์ซเห็น” เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าฉันก่อนจะเงียบเสียงลงไปอีกจนมันกลายเป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัด ก่อนที่เขานั้นจะทิ้งตัวหงายหลังลงไปนอนกางแขนออกดวงตาจ้องมองเพดานห้องเงียบ ๆ “เห็นก็ไม่แปลกมั้ยล่ะ! ก็จัสตินน่าจะเป็นคนแถวนี้นี่นา” เพราะไม่รู้ว่าน้องชายต้องการอะไรกันแน่ จึงตัดความรำคาญด้วยการพูดออกไปแบบนั้นพร้อมกับส่ายหน้าแล้วหันหลังเตรียมออกไปอาบน้ำ “พี่มั่นใจเหรอว่าเขาเป็นคน” “...” เท้าที่เพิ่งก้าวไปได้สองก้าวหยุดอยู่กับที่อีกครั้ง หันไปที่เตียงก็เห็นว่าเจ้าเด็กคนนี้เด้งตัวขึ้นมากอดอกมองหน้าอีกรอบ และคำพูดกำกวมนี้มันทำให้นึกไปถึงความสามารถของน้องชายตัวเอง “ฟอร์ซเห็นตั้งแต่เรามาถึง” เขาตอกย้ำคำพูดตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ จนตอนนี้ฉันเริ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้าจนตีนกาแทบจะขึ้นหน้าผาก “หมายความว่าไง” “ฟอร์ซแค่รู้สึกได้.. ว่าผู้ชายคนนั้นเขาอาจจะไม่ใช่คน” “ฟอร์ซ! ไม่เล่นนะ” “เรื่องแบบนี้ฟอร์ซไม่เคยพูดเล่นพี่โซย่าก็รู้” “...” คำพูดไม่กี่คำของฟอร์ซฉุดให้ฉันสงสัยในตัวของจัสตินขึ้นมา และด้วยความที่เดิมทีก็เป็นสาวขี้เผือกอยู่แล้ว มันจะนอนหลับได้ยังไงล่ะจริงไหม.. หลังจากที่ไปอาบน้ำจนเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเองส่วนคุณพ่อและคุณแม่รวมถึงคุณน้า ๆ ทุกครั้งที่มาพักบ้านคุณยายก็จะพากันสังสรรค์จนเช้า บางครั้งก็กางเต็นท์นอนที่สนามหญ้าหน้าบ้าน บางครั้งก็เข้ามานอนกันที่ห้องนั่งเล่นจึงเป็นเรื่องปกติ สองเท้าก้าวเดินเข้ามาในห้องหลังจากที่อาบน้ำประแป้งและแต่งตัวด้วยชุดนอนกระโปรงหมีสีชมพู ก็เห็นว่าที่เตียงนั้นเจ้าน้องชายนอนหลับอยู่บนนั้นไปก่อนแล้ว ฉันผุดลุกผุดนั่งบนที่นอนไปมาเดินวนอยู่ในห้องพักใหญ่ด้วยความสงสัย ใจหนึ่งก็อยากเดินออกจากบ้านไปดูให้รู้แล้วรู้รอดแต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าหากเขาเป็นผีจริงอย่างที่ฟอร์ซบอกฉันจะทำตัวยังไง ในความรู้สึกและในดวงตาคู่นี้มันเห็นจัสตินด้วยตาเนื้อมันจึงทำให้ฉันมั่นใจว่าเขาไม่ใช่สิ่งลี้ลับ เขามีเนื้อมีหนังมีกระดูกที่ดูน่าจะจับต้องได้ เขายังลูบหัวมูมู่อยู่เลยจะเป็นผีหรือวิญญาณแบบที่ฟอร์ซบอกได้ยังไง ถึงแม้ในใจมันจะมีความคิดที่ย้อนแย้งกันก็เถอะ เพราะรู้ดีว่าฟอร์ซมักจะเห็นสิ่งลี้ลับมาตั้งแต่รถประสบอุบัติเหตุเมื่อตอนนั้น แต่ฉันไม่ใช่ไง.. และครั้งนี้ฉันเห็นนั่นแปลว่าจัสตินต้องไม่ใช่ผี หลังจากที่เดินไปเดินมาผุดลุกผุดนั่งอยู่นาน หางตาได้เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างและหางตาของฉันมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ริมถนนด้านนอก เขานั่งอยู่บนม้านั่งใต้เสาไฟที่ห่างจากบ้านไม่มาก ข้างกันนั้นมีเจ้ามูมู่ที่วิ่งออกไปจากบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กำลังหยอกล้อส่ายหางระริกระรี้อยู่ ฉันขยี้ตาสามสี่ครั้งแล้วเปิดผ้าม่านให้กว้างขึ้นเพื่อดูว่าตาฉันตาฝาดไปหรือเปล่า แต่ภาพที่ผู้ชายคนนั้นหยอกล้อมูมู่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ฉันยังคงเห็นว่าจัสตินนั่งเล่นกับเจ้าหมาตัวนั้น ไม่รอช้าสองเท้าจึงรีบเดินออกจากห้องวิ่งลงมาที่ชั้นล่างกำลังจะวิ่งออกไปทางหน้าบ้าน แต่เพราะคุณแม่คุณพ่อคุณน้ายังสังสรรค์กันอยู่ และไม่อยากตอบคำถามกลัวว่าท่านจะคิดว่าออกไปหาผู้ชายตอนกลางคืนดึก ๆ ดื่น ๆ เลยเลือกที่จะออกไปทางประตูหลังแทน แม้ความหมายจะไม่ต่างแต่ถ้าหนีออกไปพวกท่านไม่รู้ก็ไม่ต้องตอบคำถามแหละนะ ฉันเดินออกมาตามทางลับที่ไว้ใช้หนีคุณยายไปเล่นข้างนอกตั้งแต่เด็ก รีบวิ่งลัดเลาะตามทางมาเรื่อย ๆ ก่อนจะมุดรอดผ่านรูรั้วที่มันหักออกมาที่ถนน เดินตามทางจนถึงเสาไฟที่มีผู้ชายคนนั้นนั่งเล่นกับเจ้ามูมู่อยู่ตรงนั้น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะในตอนที่มองเห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ตรงนั้น แต่แม้ว่าจะคิดถึงคำพูดของฟอร์ซจนขนลุกสองเท้าก็ยังเดินไปข้างหน้าจนเข้าใกล้เขาเรื่อย ๆ อยู่ดี เดินเข้าไปหาด้วยความรู้สึกสับสนปนกลัวนี่แหละ จะทำยังไงได้ก็คนมันอยากได้ความจริงนี่นาว่าตกลงแล้วที่ฟอร์ซพูดมันใช่ความจริงไหม ระยะห่างของเราทั้งคู่เหลือเพียงไม่กี่เมตร จัสตินได้หันมามองฉันนิ่ง ๆ ก่อนที่เขานั้นจะยิ้มให้จนตาหยี แต่มือก็ยังไม่วายลูบหัวเจ้าตูบไปเรื่อย ๆ สองขาของฉันก็ยังคงก้าวเดินเข้าไปจนมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเก้าอี้นั้น “ออกมาทำไมดึก ๆ เป็นผู้หญิงออกมาเดินแบบนี้ไม่ดีนะ” เขาหันมามองชัด ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วจนหว่างคิ้วเกิดรอยด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ “คือ..” ความรู้สึกที่ทั้งกลัวและไม่กลัวนี่มันทำให้พูดอะไรไม่ออกจริง ๆ “แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ออกมาล่ะ ไม่หนาวเหรอ” เขาเปลี่ยนท่าทางตัวเองให้กลับเป็นปกติ “ไม่.. ไม่หนาว” “เป็นอะไรเหรอ ผมทำอะไรให้เธอกลัวหรือเปล่า” และอาจจะเพราะการเจอกันก่อนนี้ฉันพูดมากละมั้ง ครั้งนี้จึงทำให้จัสตินดูสงสัยอาการของฉัน เขาปล่อยมือออกจากเจ้ามูมู่แล้วลุกขึ้นยืนจ้องหน้า เราสองคนมองหน้ากันในระยะห่างที่มีเพียงไม่ถึง2เมตร “นายเป็นคนใช่ไหม” และเพราะความอึดอัด หากไม่ได้ถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปฉันคงนอนไม่หลับ เมื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดได้จึงเลือกที่จะถามออกไปตรง ๆ "..." แต่สิ่งที่ฉันได้กลับมาคือความเงียบ เขาไม่ยอมตอบอะไรเอาแต่ยืนจ้องหน้าฉันแบบเดิม “นายไม่ใช่ผีใช่ไหมจัสติน” “ถ้าผมตอบว่าผมใช่ เธอก็จะกลัวแล้วหนีผมไปอีกคนใช่ไหม” น้ำเสียงของเขาสั่นมาก มันทั้งสั่นและหนาวเหน็บจนคนฟังอย่างฉันรู้สึกได้ถึงความเศร้าและหวาดกลัวในน้ำเสียงนั้น “...” แต่คำถามนั้นของจัสตินก็ทำให้ฉันไม่รู้จะตอบอะไรออกมาจริง ๆ แบบนี้หมายถึงมันเป็นคำตอบที่เขายอมรับใช่ไหม “ขอโทษนะ ผม..” “ผมอะไร..” ฉันมองหน้าเขานิ่งพร้อมน้ำเสียงที่เปล่งออกไปอย่างแผ่วเบารอคำตอบ “ผมไม่รู้ว่าผมเป็นตัวอะไร แต่ก็คงจะเรียกว่าคนไม่ได้” เขาเดินถอยหลังห่างฉันไปหนึ่งก้าว หงิง~ หงิง~ “...” ฉันเงียบเพื่อรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ หลุบตาลงไปมองเจ้ามูมู่ที่ทำหน้าเศร้าหมอบอยู่ข้างจัสติน “ไม่รู้ว่าเป็นใครตั้งตื่นลืมตาขึ้นมาก็จำได้แค่ชื่อ.." น้ำเสียงที่เบาลงเรื่อย ๆ พร้อมกับเขาที่ก้าวเท้าถอยหลังไปทุกครั้งที่พูด "ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมตายไปหรือยังหากตายแล้วทำไมผมยังไม่ไปไหน และต่อให้ผมยังไม่ตาย.. ผมก็ไม่รู้ว่าร่างกายของผมอยู่ที่ไหน” “นาย..” น้ำเสียงของเขาที่แสดงออกมานั้นมันทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ได้โกหก แต่ฉันกลับไม่กล้าก้าวเท้าตามเขาไป “ผมไม่เป็นไร.. ขอบคุณนะโซย่าที่เห็นผม” เขาเงยหน้ามามองฉันหลังจากที่ก้าวเท้าถอยหลังไปหลายก้าวจนเกือบจะพ้นแสงไฟที่ส่องตรงนี้ “...” ฉันได้แต่มองรอยยิ้มของเขาที่ส่งมาให้ แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน "ขอบคุณที่เวลานี้คุณก็ยังไม่วิ่งหนีหรือรังเกียจผม" เขายังคงพูดไปถอยหลังไปจนร่างกายของเขาเริ่มเข้าไปในความมืด “ผมไปแล้วนะ วันนี้ก็แค่แวะมาเล่นกับเจ้าตูบเหมือนอย่างเคยเฉย ๆ เจ้านี่ชื่ออะไรนะ” เขาก้มลงมองที่เท้าตัวเอง ที่มีเจ้ามูมู่หมอบคลานตามเขาไปด้วย “มูมู่” ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม แต่เวลานี้กลับไม่รู้สึกว่ากลัวผู้ชายคนนี้เลยสักนิด “ไปก่อนนะมูมู่.. ไว้เดี๋ยวค่อยมาหาใหม่” คำพูดนี้ของเขามันทำให้รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่เหมือนโดนพายุหิมะกัดกินร่างนี่มันอะไรกัน ฉันตกใจก็จริงที่เขาบอกว่าเขาไม่ใช่คน แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง จัสตินย่อตัวลงไปลูบหัวเจ้าโกลเด้นที่หมอบราบนั่นก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันหลังก้าวเดินออกไปโดยที่มีเสียงเจ้ามูมู่ส่งเสียงครางหงิง ๆ ตามหลังเขา ฉันมองจัสตินที่เดินออกไปจนหายลับไปจากแสงไฟ และไม่รู้ว่าตอนนั้นฉันคิดอะไรไอ้ความรู้สึกที่ควรจะหวาดกลัวสิ่งที่เห็น เมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่คนควรจะกรี๊ดออกมาแล้ววิ่งหนี แต่เวลานี้ทุกอย่างกลับไม่ใช่ ในส่วนลึกของความรู้สึกนั้นมันกลับรับรู้ว่าผู้ชายคนนี้น่าสงสาร รู้สึกได้เลยว่าเขาเหงา รู้สึกได้เลยว่าเขาโดดเดี่ยว “นาย.. เหงามั้ย” ขนาดตัวฉันเองยังตกใจที่พูดออกไปแบบนั้น ตกใจจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองเอาไว้ แต่ดวงตาทั้งสองข้างก็ยังจ้องมองแผ่นหลังของเขาที่อยู่ในเงามืดนั้นไม่กะพริบ จัสตินหยุดเท้าทั้งสองข้างลงอยู่กับที่แต่เขากลับไม่ได้หันมามองหรือพูดอะไร พอได้สติจึงได้ปล่อยสองมือของตัวเองทิ้งลงตามแรงโน้มถ่วงโลก ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหัวมามองหน้าฉันช้า ๆ “เธอพูดว่าอะไรนะ” “ฉันถามว่านายเหงาไหม” “อื้อ! เหงา.. เหงามาก ๆ เลยด้วย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม