“ออกไป!”
แค่คำพูดสองคำสั้นๆ แต่กลับสั่นสะเทือนไปถึงแก้วหูของขวัญรักและดังก้องอยู่ในนั้น หัวใจของเธอเจ็บปวดมากขึ้นราวกับถูกกะซวกด้วยคมมีด มีเลือดไหลเจิ่งนองออกมาไม่หยุด เหมือนจะไหลออกมาหมดทั้งตัว
หญิงสาวเม้มปาก ไม่พูดอะไรก็หันหลังเดินออกไป กำลังจะหมุนลูกบิด ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านนอกก่อน ตามมาด้วยผู้คนหลายคนที่เธอรู้จักมักจี่เป็นอย่างดี แต่เป็นคนที่ไม่อยากพบหน้ามากที่สุด
วิบากกรรมของเธอยังไม่จบ...
ขวัญรักคิดอย่างหนักใจ ถอยหลังเปิดทางให้พวกเขาเข้ามาในห้อง แล้วเธอจะรีบออกไปให้เร็วที่สุด แต่ถูกเสียงไม่พอใจของแม่เลี้ยงสกัดไว้ก่อน
“จะรีบไปไหนล่ะขวัญ พบหน้าพ่อแม่ทั้งที ไม่คิดจะทักทายกันเลยรึไง”
หญิงสาวชะงัก หันกลับมายกมือไหว้ทั้งพ่อ แม่เลี้ยงและแม่สามีอย่างอ่อนน้อม รู้ดีว่าญาดาจงใจตำหนิเธอต่อหน้าคนอื่นเพื่อให้อับอาย รวมทั้งทำให้คนเป็นพ่อแท้ๆ ไม่พอใจเธอด้วย
“สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าเป็นปกติไม่มีแววขุ่นเคือง
พ่อเธอพยักหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปลูบศีรษะลูกสาวคนเล็กด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างล่ะเรา เพิ่งมาถึงก็กินอะไรผิดสำแดงเข้าไปเลยรึไง”
“ไม่มีอะไรมากค่ะ เป็นเพราะเนตรตะกละมากไปหน่อย” เนตรกมลกุมมือท่าน เอ่ยออดอ้อนเหมือนเด็กเล็กๆ น่ารักน่าเอ็นดู
“ขอโทษนะคะคุณนิพนธ์ที่ทางเราดูแลหนูเนตรไม่ดี ลูกสะใภ้ของดิฉันนี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย ทำให้หนูเนตรต้องป่วยหนักแบบนี้ เดี๋ยวจะให้ตาอิศย์ชดเชยหนูเนตรเต็มที่เลยนะคะ”
“อุ๊ย! ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพี่ ไม่ใช่ความผิดของคุณพี่กับคุณไอศูรย์สักหน่อย ดิฉันก็แค่แปลกใจเท่านั้นที่คนใกล้ชิดเป็นพี่น้องกันกลับไม่รู้เรื่องที่ยัยเนตรแพ้อาหารเท่านั้นเองค่ะ”
แม่สามีกับแม่เลี้ยงช่วยกันพูดชงเสี้ยมให้คนฟังยิ่งไม่พอใจ แน่ละว่าต้องสำเร็จอยู่แล้ว ใครได้ยินก็ต้องคิดว่าเป็นความผิดของเธอ
“ขวัญ! เราเป็นพี่ ทำไมถึงไม่ใส่ใจน้องให้มากกว่านี้ล่ะ” บิดาหันมาตำหนิเธอทันที สีหน้าของท่านมีความผิดหวังและเคืองเจืออยู่ไม่น้อย
ขวัญรักก้มหน้า แอบกระตุกยิ้มเยาะ
ใส่ใจ?
ที่พ่อพูดออกมาสองคำนี้ ตัวท่านเองเข้าใจและเคยมีมันบ้างรึเปล่า ท่านเคยใส่ใจพวกเธอสองแม่ลูกสักครั้งบ้างไหม ในวันที่แม่เธอและเมียน้อยของท่านเจ็บท้องพร้อมกัน เธอคลอดออกมาด้วยความเจ็บปวดและกล้าหาญของแม่ตามลำพัง ขณะที่ญาดามีพ่อคอยกุมมืออยู่ใกล้ๆ เฝ้าชื่นชมลูกน้อยของหล่อนด้วยความรักใคร่ ทั้งที่พวกเธอเกิดมาห่างกันไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เธอเกิดก่อน เนตรกมลเกิดทีหลัง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบพ่อไม่เคยอยู่เป็นกำลังใจให้ความอบอุ่นแม่กับเธอเลยสักนาที
“คุณพ่ออย่าโมโหสิคะ เดี๋ยวแก่ก่อนวัยน้า คุณแม่ด้วยค่ะ เนตรเพิ่งกลับมาถึงทั้งที เราพูดแต่เรื่องดีๆ กันเถอะค่ะ”
เนตรกมลพูดไกล่เกลี่ยด้วยคำพูดติดตลก ฉับพลันบรรยากาศขุ่นมัวในห้องก็สว่างไสวขึ้นมาทันตา
“หนูเนตรนี่น่ารักจริงๆ เลย ทำยังไงแม่ถึงจะมีบุญได้ลูกสะใภ้ดีๆ แบบหนูบ้างล่ะจ๊ะ”
“คุณแม่ละก็ อย่าแซวเนตรเลยค่ะ”
เสียงหัวเราะรื่นเริงดังขึ้น กดทับความปวดร้าวของขวัญรักให้จมดิ่งลึกลงไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจ เธอยังคงก้มหน้ายืนนิ่ง แต่ดวงตาเริ่มพร่ามัวมองพื้นแยกตัวออกจากกัน สีหน้ายิ่งขาวซีดหนักขึ้น สมองอื้ออึงมึนงงแทบไม่รับรู้สิ่งใด ได้ยินเพียงเสียงแว่วๆ ที่ลอยมากระทบหูว่า
“จะมัวยืนอยู่ทำไม หรือต้องรอให้ผมอุ้มไปส่ง”
ไม่ต้องรอให้เขาพูดซ้ำ ขวัญรักใช้เรี่ยวแรงที่เหลือทั้งหมดแข็งใจเดินออกมาจากห้องได้สำเร็จทั้งที่ตาพร่าเต็มที แล้วโลกของเธอก็ดับมืด รอบตัวเย็นเฉียบจนเธอหนาวสะท้าน เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาตามขมับ ร่างทั้งร่างซวนเซล้มทั้งยืน ยังดีที่เธอเกาะราวบันไดไว้ทัน จึงไม่ได้กลิ้งตกลงไป
หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งซบหน้ากับท่อนแขนอย่างหมดแรง เวียนหัวจนโลกหมุนต้องหลับตาอยู่ตรงนั้นอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะอ้าปากก็ยังไม่มีแรงเค้นเสียงออกมา รู้สึกว่าร่างกายของเธอหนักอึ้ง เดี๋ยวร้อนจี๋ เดี๋ยวหนาวเหน็บ หัวก็ปวดมากจนแทบจะระเบิด
แย่แล้ว... เธอจะมาหลับตรงนี้ไม่ได้นะขวัญ!
เธอได้แต่ร้องบอกตัวเองในใจ ขณะที่สติของเธอก็ใกล้จะดับวูบเต็มที