พริบพราวเดินจับมือแน่นมากับพี่อ้อม ที่รับรู้อาการประหม่าเล็กน้อยของรุ่นน้องสาวจนต้องกระชับบีบมือเบาๆให้กำลังใจ
“เดี๋ยวพี่เดินไปส่งที่หน้าประตูนะ”
“เห้ยพราวมาพอดีเลย ได้ข่าวว่าพี่คิณณ์เขาต่อยกับพี่พอร์ชแย่งแกเหรอ สรุปแกคุยกับพี่เขาทั้งสองคนเลยใช่ไหมเนี่ย”
“ไอ้แป้ง! ใช่เวลาที่ต้องอยากรู้เรื่องของคนอื่นไหมเนี่ย กลับไปทำงานได้แล้ว” พี่อ้อมหันมาดุ ถลึงตาใส่ปั้นแป้ง ที่พอเห็นเพื่อนร่วมฝึกงานเดินมาก็รีบถามทันทีด้วยความอยากรู้กึ่งหมั่นไส้เล็กน้อย
“อ้าวก็แป้งอยากรู้นี่พี่อ้อม สรุปแกควบสองเลยเหรอ ร้ายไม่เบาเลยนะยะ”
“แป้ง มีธุระจะถามเราแค่นี้ใช่ไหม” พริบพราวหันมาสบตานิ่ง แววตาและสีหน้าเรียบเฉย แต่ฉายความไม่พอใจและไม่ยอมคนออกมาจากดวงตาคู่สวยที่จ้องมองตอบกลับทันที
“อะ...เออฉันก็แค่เป็นห่วงแกนั่นแหละ อย่าโมโหฉันสิพราว”
พริบพราวไม่ตอบอะไรนอกจากมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะเดินตามแรงจูงของพี่อ้อมเพื่อจะออกไปรอรถของเคเซียที่ใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ยังไม่ทันเดินพ้นประตูออฟฟิศ คนที่ยืนหลบสายตาผู้คน รอที่จะเจอเธอก็โผล่ออกมาจากมุมตึก ดึงแขนรั้งเธอไว้
“พราว...พี่ขอคุยด้วยหน่อย”
“เห้ยไอ้คิณณ์ มึงมายืนไรอยู่ตรงนี้ กูตกใจหมด” อ้อมที่หันมาเจอถึงกับตกใจ สบถลั่น
“อ้อม กูขอเวลาคุยกับน้องหน่อย” เขาหันมาบอกเพื่อนเสียงเรียบ หน้าตาจริงจัง
“แต่พราวไม่มีอะไรจะคุยค่ะ ปล่อยแขนพราว” บอกพร้อมกับสะบัดแขนที่ถูกรั้งไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ไม่! เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ไม่มีอะไรต้องคุยแล้วค่ะ ทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว...ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้พราวฉลาด เลิกโง่งมเฝ้ารอ คนเลวๆอย่างพี่สักที”
“อย่าเป็นแบบนี้พราว อย่างี่เง่า เอาแต่อารมณ์ได้ไหม” เขาว่าเสียงขุ่นเข้ม ทั้งหงุดหงิดทั้งไม่พอใจที่ทุกอย่างไม่เป็นตามในสิ่งที่เขาคิด
“เห้ยๆ คุยกันดีๆไอ้คิณณ์ อย่าว่าน้อง” อ้อมที่ยืนฟังอยู่รีบห้าม พลางเตือนสติเพื่อนตัวเองที่เริ่มจะใช้อารมณ์นำเหตุผล
“ปล่อยพราวเถอะ พราวไม่มีอะไรจะให้พี่แล้ว...อย่าลืมสิคะ ได้แล้วก็จบไงคะ! พี่ยังต้องการอะไรจากพราวอีก” เพียงท่อนประโยคเดียวที่เหมือนกับหอกแหลมคมที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงให้เขาถึงกับกระอักเลือดช้ำหนัก เจ็บชาไปทั่งร่าง จนนึกคำพูดที่จะเหนี่ยวรั้งเธอออกมาไม่ได้ ยอมให้เธอผลักเขาออกสุดแรงจนเซไปหลายก้าว แล้วเดินหนีห่างเขาออกไปเรื่อยๆ ขึ้นรถคันหรูที่ขับมาจอดบริเวณด้านหน้าบริษัท โดยไม่มีแม้แต่แรงที่จะเอ่ยเรียกหรือต้านทานดึงให้เธอกลับมา
รอและมองจนรถคันนั้นลับหายไปจากสายตา ถึงหันมาสบตาเพื่อนสนิทตัวเองที่ยืนมองหน้าเขาด้วยสายตาโกรธจัดอย่างไม่ปิดบัง
“กูไม่รู้ว่ามึงไปทำเหี้ยอะไรกับน้องเขานะ แต่ที่กูจับใจความที่น้องเขาพูดเมื่อกี้ มึงมันเลวจริงๆว่ะคิณณ์ มึงแม่งโครตเหี้ยเลย!” อ้อมเน้นทุกถ้อยคำที่ด่า มองด้วยสายตาโกรธและเกลียดในการกระทำเพื่อนสนิทตัวเองเป็นที่สุด ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังออฟฟิศ ทิ้งให้เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว โดยมีสายตาของใครหลายคนคอยลอบมองด้วยความสนใจ
“ไหวไหมแก กินน้ำก่อนไหม” เคเซียเอ่ยถาม ละสายตาจากถนนตรงหน้าหันมามองด้วยความเป็นห่วง เพราะทันทีที่เพื่อนสนิทก้าวขึ้นมานั่งในรถก็ไม่ยอมพูดจาหรืออธิบายอะไร เอาแต่นั่งร้องไห้เงียบๆ จนมาได้ยินคำถามเธอนี่แหละ อยู่ๆก็ตะโกนร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง จนเคเซียถึงกับตกใจ รีบมองหาที่ที่สามารถจะจอดรถแอบเข้าข้างได้ทันที
“เห้ย! เป็นอะไร ฉันแค่ถามเองพราว แกจะแหกปากร้องเสียงดังทำไมเนี่ย!!”
“ฮือๆๆๆ แก ฉันมันโง่เอง ฉันโง่เองแก ฮือๆๆๆ” เสียงคร่ำครวญร้องบอกพลางตีอกชกลม โทษตัวเองให้กับความโง่เขลาเบาปัญญา
“แกไม่ได้โง่เว้ย ใครว่าแกโง่ เดี๋ยวฉันไปจะจัดการมันเดี๋ยวนี้เลย แกพูดมาดิวะ อย่าเอาแต่ร้อง ฉันช่วยแกไม่ได้นะเว้ยพราว” เคเซียสั่นหน้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดต่อว่าตัวเองของเพื่อน เอ่ยปลอบด้วยเสียงสั่นเครือเริ่มอยากร้องไห้ตามเพื่อนด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับความรู้สึกโกรธ โกรธใครสักคนที่ทำให้เพื่อนของเธอเป็นเช่นนี้
“ละ...แล้วแก...จะร้องไห้ทำไม...เซียล” พริบพราวที่เริ่มได้สติ เพราะได้ยินเสียงคนข้างๆร้องไห้โฮออกมา ตัวเองจึงต้องหยุดร้อง รีบปาดน้ำตาทิ้ง หันมาถามเสียงสะอื้น
“ก็แกร้องไห้..ฮึกๆฮือๆ ฉันสงสารแกนี่ ฮือๆ แกร้องไห้เสียใจ ฉันก็เสียใจ ใครทำแกพราว ฮือๆบอกฉะ...ฉัน” ร่างเล็กสะอื้นไห้หนักกว่าเจ้าของเรื่องบอกเสียงกระท่อนกระแท่น จนพริบพราวถึงกับหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
“ฉันรักแกว่ะเซียล” พูดได้แค่นั้นก็โถมเข้ากอดอีกฝ่ายปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น กอดกันกลมร้องไห้กันอยู่นานหลายนาที กว่าที่ทั้งคู่จะตั้งสติได้ เคเซียหันกลับนั่งที่ตำแหน่งคนขับ เช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง ก่อนจะหันมายิ้มให้เพื่อนที่นั่งเช็ดน้ำตาไปสะอื้นไป
“ไปหาเฟย์กัน กินของอร่อยๆแล้วคืนนี้เราไปดิ้นกันให้ลืมโลกเลยค่ะคุณเพื่อน เอาให้มันสนุกสุดเหวี่ยง เรื่องอื่นช่างมัน ท่องไว้แก ช่างแม่งกับช่างมัน เดี๋ยวพร้อมแล้วแกค่อยเล่าแล้วเราค่อยมาคิดกันอีกที ตอนนี้แกต้องจูนสมองแกก่อนละกัน”
“อืม ตามนั้นแก”