“อย่ามองมาแบบนั้นได้ไหม เดี๋ยวคนอื่นก็สงสัยหรอก” ฉันพิมพ์แชตไปอย่างรวดเร็ว ขณะนั่งลงที่โต๊ะโรงอาหาร ดวงตายังคงหลบเลี่ยงสายตาคนฝั่งตรงข้ามอย่างจงใจ
“ก็แค่มองเมียตัวเอง ผิดตรงไหนวะ?”
ข้อความตอบกลับเด้งขึ้นมาพร้อมกับร่างสูงที่นั่งลงตรงข้าม ท่ามกลางเพื่อนในกลุ่มที่กำลังคุยเล่นกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่! บอกแล้วไงว่าไม่ใช่!!”
ฉันพิมพ์สวนกลับในทันที พลางเหลือบมองซ้ายขวาเพื่อเช็กว่าไม่มีใครแอบดูมือถือ
แต่เขากลับยักไหล่ วางขวดน้ำตรงหน้าฉัน พร้อมข้อความใหม่ที่ทำเอาหัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด
“งั้นเมื่อคืน… ใครเป็นคน ‘ครางชื่อฉัน’ ละ :) ”
ฉันนิ่งไป มือที่ถือโทรศัพท์เริ่มชื้นเหงื่อ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันไม่มีสถานะ ไม่มีชื่อเรียก
มีแค่คำว่า “ลับ” ที่แขวนค้างอยู่กลางใจเหมือนมีดคมปลายหนึ่ง
…
ฉันชื่อ แบมแบม เด็กผู้หญิงวิศวะภาคคอมพิวเตอร์คนหนึ่ง ที่ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตมหาลัยจะมีอะไร “ไม่ธรรมดา” ขนาดนี้
โดยเฉพาะกับคนอย่างเขา… ไทเกอร์
วิศวะรุ่นพี่ปีสาม หน้าตาดี ดีกรีความหล่อที่ใคร ๆ ก็พูดถึง แต่จะมีใครรู้บ้าง ว่าคนอย่างเขา…
กลับเป็นคนที่ ฉันเผลอไผลให้ไปแบบโง่ ๆ
ฉันเป็นเด็กบ้านนอกที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ครอบครัวแตกแยกตั้งแต่ยังไม่ทันจำความได้ พ่อกับแม่เลิกรากันไปนานแล้ว แม่มีสามีใหม่ แล้วฉัน…ก็ต้องมีครอบครัวใหม่โดยปริยาย
พร้อมกับสมาชิกแปลกหน้าที่ไม่เคยขอให้เข้ามาในชีวิตเลยสักนิด “นะโม” ลูกติดของพ่อเลี้ยง เป็นผู้หญิงที่ขี้เกียจขั้นสุด
งานบ้านทุกอย่างมักจะตกอยู่ที่ฉัน หรือไม่ก็แม่ ส่วนเธอ…นั่งสวยอยู่หน้ากระจก หวีผมไป ดูคลิปไป แล้วก็โพสต์ลงโซเชียลว่าชีวิตตัวเองรันทด
บ้านที่ฉันอยู่…ไม่ใช่บ้าน
มันคือกล่องเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงบ่น การขอเงิน และกลิ่นบุหรี่ พ่อเลี้ยงติดพนัน ลูกสาวเขาก็ติดของแบรนด์
แล้วแม่ฉันล่ะ? ทำงานตัวเป็นเกลียว หอบความหวังทั้งชีวิตใส่ถุงขนม กับรถเข็นขายของหน้าตลาด
บางวัน ฉันคิดนะ ว่าทำไมชีวิตมันถึงไม่แฟร์ แต่บางวัน ฉันก็บอกตัวเองว่า…
ชีวิตที่ไม่มีเซฟโซนให้พัก ต้องรีบสร้าง “เกราะ” ขึ้นมาป้องกันตัวเองให้เร็วที่สุด
นั่นแหละ…เหตุผลที่ฉันเลือกมาเรียนในเมือง เหตุผลที่ฉันตั้งใจเรียนสุดชีวิต ทำงานพิเศษสารพัด
เพราะที่บ้าน…ไม่เคยมีที่ให้ฉันยืนจริง ๆ
แล้วฉัน…ก็ไม่อยากกลับไปยืนตรงนั้นอีก
ตัดเวลาผ่านไปไม่นาน…
แต่ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตฉันมันเหมือนคนละโลกกับเมื่อก่อน ผลของความพยายามมันไม่เคยทรยศใครจริง ๆ และฉัน…ก็ไม่ผิดหวังในตัวเองเลย
ฉันสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
ใช่ คณะที่คนเคยมองว่าผู้หญิงเรียนยาก เรียนหนัก แต่มันคือคณะที่ฉันเลือกด้วยหัวใจ และมันคือครั้งแรก…ที่ฉันรู้สึกว่าความฝันของตัวเอง
เริ่มเข้าใกล้เข้ามาทุกที
ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันดีใจแค่ไหน วันที่ได้เห็นชื่อตัวเองอยู่ในรายชื่อคนสอบติด ฉันร้องไห้…ไม่ใช่เพราะเสียใจ
แต่เพราะรู้ว่า ตัวฉันในวันนั้นที่กัดฟันสู้มาโดยลำพัง เขาทำได้แล้ว
ฉันเก็บกระเป๋า ออกเดินทางเข้าสู่เมืองใหญ่ ทิ้งทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกอึดอัดไว้ข้างหลัง และเริ่มต้นชีวิตใหม่…ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ที่ที่ไม่มีใครรู้จักฉัน ที่ที่ฉันไม่ต้องทำความสะอาดห้องน้ำแทนใคร ที่ที่ฉันเลือกได้…ว่าจะยิ้มให้ใครหรือไม่ยิ้มให้ใคร และที่สำคัญ ที่ที่ทำให้ฉันได้เจอเขา…
ไทเกอร์
….
นี่เป็นวันแรกของการก้าวเข้าสู่เมืองกรุงของฉัน
วันแรกของการเตรียมตัวเป็นนักศึกษาคณะวิศวะที่ใฝ่ฝันไว้มาโดยตลอด
ทุกอย่างรอบตัวดูแปลกใหม่ไปหมด เสียงรถ เสียงคน เสียงเมืองที่ไม่เคยหลับ แม้จะดูวุ่นวาย…แต่สำหรับฉัน มันเต็มไปด้วยความหวัง
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลากตามตัว ฉันยืนอยู่ริมฟุตบาท
มือถือเปิดแอปดูแผนที่ไปด้วย พร้อมกับหารายชื่อหอพักที่จดไว้ในสมุดเล่มเล็ก
ตอนนี้…สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ หาที่พักที่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่เรื่องของเวลาเดินทาง แต่มันคือเรื่องของ ‘เงินในกระเป๋า’ ด้วย
ค่ารถ ค่ากิน ค่าเทอม ยังไม่นับค่าหนังสือ ค่าวิชาเรียนพิเศษที่จะตามมา ฉันต้องประหยัดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
…เพื่อให้อยู่รอดในเมืองที่ไม่มีใครรอฉันแบบนี้ แม้จะรู้สึกตื่นเต้น แต่ในใจก็อดหวั่นไม่ได้
เมืองใหญ่ มันไม่ใช่ที่ที่คนอย่างฉันจะวางใจใครได้ง่าย ๆ แต่ฉันก็บอกตัวเองในใจเสมอว่า
“มาถึงตรงนี้แล้ว ต้องไปให้สุด”
เสียงล้อกระเป๋าลากเสียดสีกับพื้นซีเมนต์ของตรอกแคบ ๆ ทำให้ฉันต้องชะงักไปเล็กน้อย หยุดยืนมองป้ายไม้เล็ก ๆ ที่แขวนอยู่หน้าตึกสีหม่น
“หอพักรุ่งเรือง”
แม้ชื่อจะดูดี แต่สภาพรอบข้างกลับไม่ค่อยสดใสตามชื่อเท่าไหร่
ตึกสี่ชั้นสีซีดที่เหมือนถูกแดดเผามาหลายสิบปี หน้าต่างบางบานยังเปิดค้างไว้ พัดลมเก่า ๆ หมุนเอื่อย ๆ อยู่ริมขอบหน้าต่าง มีกลิ่นอับบางอย่างโชยออกมาแต่ไกล แต่…ที่นี่อยู่ห่างจากมหาลัยแค่เดินไม่ถึงสิบนาที และที่สำคัญ…
“ห้องพัดลม เดือนละสองพันห้าจ้ะ น้ำไฟจ่ายแยก ตามมิเตอร์” ป้าเจ้าของหอพูดพลางใช้ไม้พัดโบกเหงื่อที่หน้าผาก
ฉันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองรอบ ๆ
พื้นซีเมนต์หน้าตึกมีคราบน้ำเก่า ๆ กลิ่นห้องน้ำจากด้านล่างแว่วมาเบา ๆ
แต่สำหรับคนที่มีเงินจำกัด และต้องการที่พักใกล้มหาลัยแบบฉัน…
“เอ่อ…ขอขึ้นไปดูห้องก่อนนะคะ”
บันไดเก่าที่ขึ้นไปชั้นสองมีเสียงลั่นเอี๊ยด ๆ ทุกครั้งที่ก้าวเดิน ข้างทางมีห้องหลายห้องปิดสนิท บางห้องเปิดอยู่แต่ไม่มีเสียงพูดจาใด ๆ
รู้สึกเงียบเกินไปจนขนลุกแปลก ๆ
พอเปิดห้องออก…กลิ่นอับก็ปะทะจมูกทันที
ห้องเล็ก ๆ มีเตียงเหล็กที่ดูเหมือนพร้อมจะล้มได้ทุกเมื่อ กับโต๊ะไม้เก่าที่มุมห้อง
ไม่มีตู้เย็น ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีแค่พัดลมเพดานหมุนเบา ๆ อย่างหมดแรง แต่…มันก็พอมีหน้าต่าง มองออกไปเห็นยอดตึกมหาลัยอยู่ลิบ ๆ
สำหรับฉันตอนนี้ มันอาจจะไม่ดีที่สุด แต่…มันพออยู่ได้ อยู่ได้ ถ้าฉันยังไม่ยอมแพ้
“หนูเอาห้องนี้เลยค่ะ” ฉันพูดเสียงแน่วแน่ แม้ภายในใจจะมีความลังเลบาง ๆ เจืออยู่
ป้าเจ้าของหอยิ้มเล็กน้อยก่อนพยักหน้า
“โอเค เดี๋ยวลงไปทำสัญญา แล้วก็จ่ายค่ามัดจำก่อนนะจ๊ะ เดือนแรกพร้อมมัดจำล่วงหน้าอีกหนึ่งเดือน เป็นห้าพันถ้วน”
ฉันพยักหน้าเบา ๆ หยิบกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋าผ้าเก่า ๆ ที่สะพายอยู่
มือสั่นนิดหน่อยตอนหยิบแบงค์ออกมา เงินที่แม่ให้มาก่อนขึ้นรถเข้ากรุง บางส่วนมาจากการเก็บออม บางส่วนจากการขายขนมในตลาดนัดด้วยกัน
เงินทั้งหมดในมือนี้…คือผลจากความพยายามของหลายปี
“หนูจะอยู่กี่เดือนก็ได้นะ แต่ถ้าจะออกต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยครึ่งเดือนนะจ๊ะ” ป้ายังพูดเรื่อย ๆ ระหว่างหยิบสมุดลงทะเบียน
“ค่ะ หนูเข้าใจค่ะ” ฉันตอบขณะเซ็นชื่อบนเอกสารด้วยลายมือที่ตั้งใจที่สุด
หลังจากจ่ายเงินและรับกุญแจห้องเรียบร้อย ฉันเดินกลับขึ้นห้องอีกครั้งพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ น้ำหนักมันเหมือนจะถ่วงหลังให้ยิ่งหนักกว่าตอนเดินเข้ามาแรก ๆ
พอถึงขั้นที่สองของบันได…
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ!”
ฉันเบรกกะทันหันเกือบจะชนกับใครบางคนที่กำลังเดินลงมา
ผู้ชายตัวสูง หน้าตาหล่อเข้ม ผิวขาวจัด ตัดผมสั้นและแต่งตัวลวก ๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ…แต่กลับดูดีชะมัด
เขามองฉันนิดนึงก่อนเอียงตัวหลบให้ ฉันหลบตาทันทีเหมือนโดนจับได้ว่ามองเขาแรงไปหน่อย
“ขอโทษค่ะ” ฉันพูดอีกครั้งพร้อมขยับกระเป๋าไปอีกข้าง
“ไม่เป็นไร” เขาพูดเสียงเรียบ ไม่ยิ้ม ไม่ถามอะไร
แต่ก่อนจะเดินผ่านไป เขาก็หันกลับมามองฉันนิดหน่อยแล้วถามขึ้นเบา ๆ
“เพิ่งย้ายมาอยู่เหรอ?”
ฉันพยักหน้า “ค่ะ”
“โชคดีละกัน” เขาว่าก่อนจะเดินลงไปเฉย ๆ ทิ้งฉันไว้กับความรู้สึกแปลก ๆ ที่จู่ ๆ ก็เกิดขึ้น
ฉันยืนมองตามแผ่นหลังกว้างของเขาที่กำลังเดินหายไปในเงาบันได
รู้แค่ว่า…ผู้ชายคนนั้น ดูไม่น่าจะใช่คนธรรมดาแน่ ๆ