“เพื่อนใหม่… และสายตาคู่นั้น”

2358 คำ
วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอม… ฉันตื่นเช้ามาพร้อมกับเสียงรถยนต์บนถนนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากหอพัก สะท้อนความวุ่นวายของเมืองหลวงอย่างชัดเจน นี่คือครั้งแรกที่ฉันต้องใช้ชีวิตคนเดียว…ในเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครคุ้นหน้า ไม่มีใครเรียกชื่อจิกหัวว่า “อีแบม” แบบที่บ้าน ฉันกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องที่แม้จะเล็ก แคบ และเก่าไปสักหน่อย แต่ก็ถูกจัดเรียงข้าวของให้ดูเป็นระเบียบอย่างดีที่สุดแล้ว ฉันแปะโปสเตอร์ธรรมดา ๆ กับพัดลมตัวเก่าที่เพิ่งเช็ดฝุ่นเมื่อคืน ทำให้ห้องนี้ดูอบอุ่นขึ้น แม้จะไม่ได้สวยเหมือนห้องคนอื่นๆ แต่มันก็คือพื้นที่ปลอดภัยของฉัน…อย่างน้อยก็พออยู่ได้ เสียงนาฬิกาปลุกบนมือถือดังเตือนเวลา “อีก 40 นาทีต้องถึงคณะ” ฉันรีบลุกไปแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เพราะได้ยินมาว่าคณะที่ฉันเรียน วิศวกรรมศาสตร์ ขึ้นชื่อเรื่องระบบรับน้องที่ “โหดสมชื่อ” ถ้ามาสายแม้แต่นาทีเดียว ก็อาจโดนทำโทษหรือถูกมองเป็นเด็กไม่มีความรับผิดชอบทันที ขณะที่รูดซิปกระเป๋าเป้ ฉันก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ … “สู้เว้ยแบมแบม เมืองกรุงยังไม่รู้จักเรา เราก็จะไม่ยอมแพ้มันเหมือนกัน” -มหาลัย- เสียงรองเท้ากีฬาเสียดสีกับพื้นปูนซีเมนต์ดังเป็นจังหวะขณะฉันรีบเดินเข้าไปยังลานหน้าคณะ ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักศึกษาปีหนึ่งที่ต่างยืนรวมกลุ่มกัน ฉันมองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกประหม่า ไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปทักใครก่อนดี เมื่อฉันมองไปรอบ ๆ ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าป้ายลงทะเบียนคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ตัวเล็ก น่ารัก ใบหน้าดูเป็นมิตรแบบที่ทำให้รู้สึกอยากเข้าไปคุยด้วย ฉันรีบเดินไปต่อแถวลงทะเบียนข้างเธอ ก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูนิ่งและมั่นใจ “นี่…ปีหนึ่งเหมือนกันใช่ไหม?” เธอหันมามองเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้บาง ๆ แล้วตอบกลับอย่างเป็นกันเอง “ใช่ ฉันน้ำหวานนะ” “แบมแบม” ฉันตอบสั้น ๆ พลางเสริมอย่างไม่คิด “ฉันไม่ค่อยชอบคุยเท่าไร แต่เธอดูหน้าไว้ใจดีเลยเดินมาทักอะ” พูดจบก็อยากตบปากตัวเองสักที มันหลุดไปได้ยังไงกันนะประโยคแบบนั้น? จริง ๆ แล้วฉันแค่อยากดูเข้มแข็ง ดูแรงเข้าไว้ เพราะไม่อยากให้ใครมองว่าอ่อนแอ แต่มันดันออกมาดูงุ่มง่ามแทนซะนี่ “เอ่อ…ขอบคุณ?” น้ำหวานหัวเราะแห้ง ๆ นิดหน่อย ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจว่าควรรู้สึกยังไงกับคำพูดของฉัน และยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงอีกเสียงก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง… “โอ๊ยยยยย! แถวนี้คนหน้าตาดีเพียบเลยว่ะ!!” เสียงตื่นเต้นของผู้หญิงคนหนึ่งดังแทรกขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มสดใสและท่าทางร่าเริงที่ทำให้คนรอบข้างต้องหันไปมอง “ฉันนุ่นนะ เธอล่ะ?” “เราน้ำหวาน” น้ำหวานหันไปตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะได้ไปไกลนัก ก็มีอีกคนเดินเข้ามาเพิ่ม แววตาของเธอเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แบบที่ดูออกเลยว่าพร้อมมีเรื่องหรือสร้างสีสันได้ทุกเมื่อ ไม่กี่นาทีต่อมา ฉันก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนใหม่สามคน น้ำหวาน นุ่น และแจม แจมเป็นเด็กสาวผมสั้น แววตาคมกริบแบบจิกได้ใจ ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางโพล่งขึ้น “โอเค! แก๊งนี้ท่าจะมันส์ว่ะ!” พูดจบก็โอบคอพวกเราทุกคนอย่างสนิทสนม ทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงสิบนาที มันดูเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ลงตัวสักเท่าไหร่ หนึ่งคนเงียบ ๆ แบบฉัน หนึ่งคนใจดีอย่างน้ำหวาน หนึ่งคนสายแซ่บอย่างแจม และนุ่นที่ดูเหมือนสายฮาประจำกลุ่ม แต่แปลกที่ฉันกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ในชีวิตของฉันที่ผ่านมา แทบไม่เคยมีคำว่า “เพื่อน” อยู่ในพจนานุกรมเลย ด้วยฐานะบ้านที่จน พ่อที่ติดพนัน และแม่ที่ขายของพอประทังชีวิต คนรอบข้างมักเลือกที่จะมองข้ามฉันไปเสมอ แต่วันนี้…แค่วันแรกของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองกรุง ฉันกลับได้พบผู้หญิงสามคนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า บางทีชีวิตมหาลัย อาจไม่โดดเดี่ยวอย่างที่คิดก็ได้ หลังจากพวกฉันลงทะเบียนเสร็จ ก็คาบเรียนแรกเลยทันที โชคดีที่เป็นวันเปิดเทอมวันแรก อาจารย์ยังไม่ได้เริ่มสอนจริงจัง ส่วนใหญ่ก็พูดแนะนำตัว พูดภาพรวมของรายวิชา และพ่นศัพท์วิชาการที่ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ฉันนั่งฟังไปพลาง เหลือบตามองรอบห้องก็เห็นน้ำหวานหาวหวอดอยู่ข้าง ๆ พยายามจะไม่หลับจนตาแทบปิด ส่วนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ก็มีทั้งคุยกันเอง ก้มหน้าเล่นมือถือ หรือไม่ก็เหม่อออกหน้าต่าง จนกระทั่ง…เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น พักเที่ยง! ฉันกับกลุ่มเพื่อนใหม่รีบคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องทันที ยังไม่ทันตกลงกันว่าจะกินอะไรดี เสียงเข้ม ๆ แบบห้าว ๆ ก็ดังขึ้นจากข้างหลัง “เฮ้! พวกมึง ขอไปกินข้าวด้วยดิ กูเมย์!” พวกเราหันไปตามเสียง ก็เจอเด็กสาวอีกคนเดินเข้ามา รูปร่างสูงเพรียว ผมรวบตึง แต่งตัวเรียบง่าย แต่ท่าทางมั่นใจจนเหมือนหลุดมาจากหนังแนว coming-of-age แบบไทย ๆ ที่มีตัวละครสายโหดอยู่เสมอ “ได้สิ! มาเลย กำลังจะไปพอดี” นุ่นเป็นคนตอบกลับด้วยท่าทีร่าเริงเต็มสูบ “แกภาคคอมใช่มั้ย?” แจมหรี่ตาถามกลับ พลางจ้องเมย์เหมือนกำลังสแกนใบหน้า “อือ ห้องเดียวกับพวกแกเลยมั้ง เห็นหน้าคุ้น ๆ” เมย์ตอบอย่างไม่แคร์โลก ก่อนจะเดินแทรกเข้ามาเดินเคียงข้างพวกเราอย่างกับสนิทกันมานาน เมื่อเดินมาถึงศูนย์อาหารกลางของคณะ ภาพแรกที่เห็นคือ… คน. เยอะ. มากกกก “โห คนเยอะฉิบหาย จะมีโต๊ะให้นั่งมั้ยเนี่ย…” นุ่นบ่นพลางเอามือพัดหน้าตัวเอง “เออ แล้วนี่มันร้อนอะไรขนาดนี้วะ มหาลัยมีหลังคาก็เหมือนไม่มี” เมย์เสริมเสียงเหนื่อยตามมา “เอางี้ เดี๋ยวกูโทรหาพี่กูก่อน เผื่อเขาอยู่แถวนี้แล้วจองโต๊ะไว้ให้” แจมพูด พลางควักโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ทันทีอย่างมีความหวัง ฉันหันไปสบตากับน้ำหวานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกระซิบเบา ๆ อย่างงง ๆ “แจมมันมีพี่ชายอยู่คณะนี้ด้วยหรอวะ?” น้ำหวานเลิกคิ้วนิดหนึ่งแล้วตอบแบบไม่แน่ใจ “ไม่รู้ดิ มึงกับกูก็เพิ่งรู้จักมันตอนเช้านี้เองป่ะ…” ฉันหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง “แก๊งเรานี่น่าสงสัยกันทุกคนเลยนะ…” ก่อนจะเผลอยิ้มมุมปากแบบเจ้าเล่ห์…เหมือนกำลังรอดูว่าเรื่องวุ่นวายอะไรจะตามมาอีกในอนาคต หลังจากแจมคุยโทรศัพท์เสร็จ เธอก็หันมาบอกข่าวดีกับพวกเราด้วยใบหน้าระรื่น “พี่กูบอกว่าวันนี้คนเยอะ เปิดเทอมวันแรก โต๊ะเลยเต็มหมด แต่เขาจองโต๊ะไว้แล้ว ไปนั่งโต๊ะพี่กูกันเถอะ” น้ำหวานขมวดคิ้วนิดหน่อย “จะดีเหรอวะ พวกกูไม่รู้จักพี่มึงเลยนะ…” แจมหันกลับมาพร้อมยักไหล่เล็กน้อย “กลัวเหี้ยอะไรล่ะ พี่กูก็เหมือนพี่พวกมึงแหละน่า” จากนั้นก็ยักคิ้วอย่างกวน ๆ แล้วเสริม “ว่าไง จะแดกมั้ย ข้าวอ่ะ?” “แดกดิ หิวข้าวจะตายอยู่แล้ว!” ฉันโพล่งขึ้นทันที พลางเดินนำไปด้วยสีหน้าเอือมระอากับความร้อน “เหี้ย…แค่แดดก็จะละลายแล้วอะ” เมย์เสริมเสียงเครียด พลางยกมือบังแดดแบบสุดชีวิต พวกเราเดินลัดเลาะหลบผู้คนในโรงอาหารอย่างชำนาญผิดกับที่เพิ่งเข้ามหาลัยวันแรก จนในที่สุด แจมก็ชี้ไปยังโต๊ะยาวใกล้ ๆ มุมพัดลมตัวใหญ่ มีผู้ชายสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือ อีกคนกำลังจิบโค้กจากแก้วพลาสติกใส “พี่แทนไท!” แจมตะโกนเรียกเสียงดังเมื่อเห็นพี่ชายตัวเอง ก่อนจะกวัดมือให้เพื่อน ๆ เดินตามเธอมา ชายหนุ่มที่นั่งจิบโค้กเงยหน้าขึ้น พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “นึกว่าจะหาไม่เจอแล้ว” “ก็เกือบไม่เจอจริง ๆ คนเยอะมากกก คนสวยจะเป็นลมค่ะ…” แจมบ่นพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง “อืม ๆ นั่งก่อน ๆ น้อง ๆ ก็นั่งด้วยเลย” แทนไทผายมือเชิญ ก่อนจะชี้ไปยังเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “นี่เพื่อนพี่ ไทเกอร์กับเจเจ” ทั้งสองชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงทักทาย ไทเกอร์ดูนิ่งขรึมในเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับถึงศอก สายตาคมเข้มแบบไม่ต้องพยายาม ส่วนเจเจยิ้มกว้าง ในลุคขี้เล่น ขยิบตาให้พวกเรานิด ๆ อย่างเป็นกันเอง “หน้าดีเกินเบอร์…” นุ่นกระซิบเบา ๆ ข้างฉัน เหมือนอ่านใจฉันออก แต่ที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนหายใจติดขัดไม่ใช่พวกเขา แต่คือเขา คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันนี่สิ… ฉันจำเขาได้…แม้จะเห็นแค่แวบเดียวเมื่อวันก่อน แต่แววตานิ่ง ๆ แบบนั้นไม่มีวันลืม เขานั่งเงียบ ไม่พูดอะไร หน้าตาขาวจัด ตาชั้นเดียว ผมสีน้ำตาลเข้มเซตไว้พองาม เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับขึ้นจนเห็นแขนขาว ๆ ที่มีรอยสักบาง ๆ โผล่พ้นชายแขนเสื้อ กับนาฬิกาสายเหล็กที่ดูแพงแบบไม่โอ้อวด เขาเหลือบตามามองฉันแวบนึง ก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังข้าวในจานอย่างไม่แสดงอาการใด ๆ แต่แค่นั้น…ก็ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล เสียงพูดคุยบนโต๊ะยังดังต่อเนื่อง ทุกคนดูจะเข้ากันได้ดีแบบไม่น่าเชื่อ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันวันนี้แท้ ๆ แต่ฉันนี่สิ…อึดอัดชะมัด รู้มั้ยทำไม? ก็เพราะตอนนี้ เขา เหมือนเริ่มหันมามองฉันบ่อยขึ้น บ่อยจนฉันเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป เหมือนเขาเพิ่งนึกออกว่าเราเคยเจอกันมาก่อน หรืออาจจะกำลังพยายามทบทวนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉันอยู่ สายตาของเขา…นิ่ง เรียบ แต่จ้องตรงมาแบบไม่กระพริบ คนถูกมองแบบฉันจะไม่ให้อึดอัดได้ยังไงล่ะ? ฉันหลบตาทุกครั้งที่เขามองมา พยายามทำเป็นตั้งใจฟังบทสนทนาของคนอื่นแทน แต่ก็ทำไม่ได้เต็มร้อย หัวใจฉันเต้นโครมครามเหมือนเด็กโดนจับได้ว่าทำผิด ฉันแอบขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วพึมพำในใจ… “นี่เขาเป็นอะไรกันแน่วะ จำได้จริง หรือแค่เผลอมองเฉย ๆ?” จนสุดท้าย…ฉันทนไม่ไหวจริง ๆ บรรยากาศตรงนั้นมันอึดอัดเกินไปสำหรับฉัน โดยเฉพาะสายตาของ เขา ที่ยังไม่เลิกจ้อง ฉันเลยเลือกที่จะลุกหนีมันซะเลย “งั้นเดี๋ยวกูกับนุ่นไปสั่งข้าวให้แล้วกัน พวกมึงจะเอาไร?” ฉันพูดขึ้นพลางลุกขึ้นยืน ปัดกระโปรงนักศึกษาที่ติดขาเบา ๆ “กูเอากะเพราหมูสับไข่ดาวละกัน ง่าย ๆ” น้ำหวานตอบเสียงเรียบเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะกินอะไร “กูเอาด้วย ไม่รู้จะกินไร” แจมเสริมทันทีแบบไม่ต้องใช้เวลาเลือก “กูด้วย” เมย์ยกมือตามมาติด ๆ “โอเค ๆ ไม่เอาอะไรเพิ่มใช่ป่ะ?” ฉันถามย้ำ ทุกคนก็พากันส่ายหน้าเป็นคำตอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสั่งอะไรเพิ่มเติม ฉันกับนุ่นก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินแยกตัวออกจากโต๊ะ ท่ามกลางกลิ่นอาหารที่เริ่มลอยฟุ้งไปทั่วโรงอาหารในช่วงพักเที่ยง หลังจากฉันกับนุ่นเดินตะลุยฝ่าฝูงคนในโรงอาหารจนได้ข้าวครบทุกจาน เราก็รีบเดินกลับไปที่โต๊ะทันทีเพราะกลัวเพื่อนหิวกันจนเป็นลม แต่พอฉันกับนุ่นเดินกลับมาถึงโต๊ะ ก็ต้องชะงักเล็กน้อย… เพราะตอนนี้มีคนแปลกหน้าเพิ่มเข้ามาอีกสองคน “ไอ้แบมกับนุ่นก็มาพอดีเลย” เมย์เงยหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วหันกลับไปจัดจานข้าวตรงหน้า “เออ นี่เพื่อนพี่ ชื่อหมอกกับกองทัพ” พี่แทนไทพูดขึ้น ก่อนจะผายมือไปทางสองหนุ่มที่เพิ่งมาถึง “ส่วนนี่น้องกู แจม” เขาชี้ไปยังแจมที่กำลังนั่งกินข้าวแบบไม่สนใจโลก “แล้วก็…” ยังไม่ทันพี่แทนไทจะพูดจบ แจมก็รีบแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่แอบเก้อเขินเล็ก ๆ “อ่อ! นี่แบมแบม เมย์ นุ่น แล้วก็น้ำหวานค่ะ” เธอรีบแนะนำเพื่อนใหม่ของตัวเองแทบจะทันที ราวกับกลัวพี่ชายจะพูดอะไรออกมาเกินกว่าเหตุ ฉันเผลอยิ้มนิด ๆ กับท่าทางของแจม ขณะที่สายตาของทุกคนบนโต๊ะก็หันมามองพวกเราโดยพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะ “เขา” คนนั้น พี่ไทเกอร์… ดวงตาคม ๆ คู่นั้นมองมาทางฉันนานกว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเบือนสายตาไปทางจานข้าวตรงหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ฉันรู้… รู้ว่าเขาจำฉันได้แล้วแน่ ๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม