”สายตาและรอยยิ้มนั้น”

2004 คำ
หลังจากที่พวกฉันกินข้าวเสร็จ แน่นอนว่า… มื้อนี้คงเป็นหนึ่งในมื้อที่อึดอัดที่สุดในชีวิตฉันเลยก็ว่าได้ เพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมันชวนงงไปหมด ไหนจะพี่หมอกที่อยู่ดี ๆ ก็สลับไข่ดาวสุกของตัวเองกับของน้ำหวาน ฉันยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาไปรู้จักกันตอนไหน แล้วสายตานั่น… สายตานิ่ง ๆ ของเขาที่คอยมองมาบ่อย ๆ มันทำฉันรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะอย่างนั้น… ฉันถึงต้องหนีความอึดอัดตรงนี้ เดี๋ยวนี้ และตอนนี้เลย “กูขอแวะร้านน้ำปั่นแป๊บนึง ร้อนฉิบหาย ต้องซื้อชาเขียว” ฉันว่า พลางพัดมือไปมาอย่างหมดแรง หน้าท่าจะละลายตายกลางแดด “กูก็ไปด้วย” นุ่นพูดก่อนจะหันมาถามน้ำหวาน “หวานล่ะ ไปด้วยกันมั้ย?” น้ำหวานที่กำลังเก็บของช้า ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบาง “ไปสิ น้ำตาลตกมากตอนนี้” “งั้นไปกัน!” ฉันพูดพร้อมเดินนำลิ่วออกจากโรงอาหาร มุ่งหน้าร้านน้ำปั่นหน้าคณะทันที ระหว่างทางที่เรากำลังเดินไปร้านน้ำปั่น เสียงหัวเราะและเสียงคุยจ้อกแจ้กของกลุ่มนักศึกษาผู้หญิงก็ดังลอยมาเข้าหู “มึงว่าพี่ไทเกอร์จะชอบกูป่ะวะ?” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นชัดเจนจนต้องเหลือบตามอง “ไม่รู้ดิ พี่ไทเกอร์นิ่งขนาดนั้น… หรือว่าเขาแบบ แอบแซ่บภายใต้หน้ากากนิ่ง ๆ เย็นชาวะ?” อีกคนพูดเสริมพร้อมหัวเราะ “โห ถ้าเป็นแบบนั้นกูละลายเลยนะ แค่คิดว่าจะได้เป็นของเขา… ชีวิตนี้กูไม่ต้องการอะไรแล้วอ่ะ!” เสียงหัวเราะคิกคักของกลุ่มนั้นยังดังต่อเนื่อง ขณะที่ฉันเดินผ่านพอดี ฉันแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ขาเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างไว รู้สึกเหมือนหัวใจสะดุดจังหวะนิดหนึ่ง…โดยไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พอเดินมาถึงหน้าร้านน้ำปั่น พวกเราก็แยกยืนต่อแถวกันตามปกติ ร้านนี้คนเยอะเป็นพิเศษเพราะแดดมันเปรี้ยงแบบพร้อมจะเผาเนื้อคนให้กรอบตายคาที่ได้ทุกเมื่อ “เออ อีหวาน มึงรู้จักพี่หมอกด้วยเหรอ?” แจมหันมาถามขึ้นด้วยความสงสัย น้ำหวานเงยหน้ามามองนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ก็…ไม่เชิงอ่ะ เมื่อก่อนเคยรู้จัก แต่ตอนนี้…คงไม่แล้วมั้ง” “พูดเหี้ยไรของมึงวะเนี่ย พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยค่ะ” เมย์แทรกขึ้นทันที สีหน้ามึนงงอย่างเห็นได้ชัด “เออ จริงมึง” นุ่นเสริมพร้อมพยักหน้า น้ำหวานถอนหายใจเบา ๆ พลางมองแก้วชาไทยปั่นในมือ เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดดีไหม ก่อนจะยอมหลุดปากออกมาในที่สุด “ก็แบบ… แม่เขากับแม่กูรู้จักกัน ตอนเด็กแม่กูต้องออกไปทำงานข้างนอกบ่อย ๆ ก็เลยชอบเอากูไปฝากไว้บ้านแม่เขา กูเลยได้เล่นกับเขาบ่อย ๆ ตอนนั้นแหละ” “อ๋อ…ก็ดูสนิทกันอยู่นะ แล้วทำไมตอนนี้ทำเหมือนไม่รู้จักกันเลย?” นุ่นถามต่อแบบไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบไปง่าย ๆ “อีนุ่น มึงยิงคำถามได้เลิศมากค่ะ” แจมแซะเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ น้ำหวานถอนหายใจนิด ๆ “ไม่รู้ดิ… พอเขาจบ ม.สาม ก็ไม่เจออีกเลย แม่เขาบอกว่าเขาย้ายไปอยู่กับพ่อที่ต่างประเทศ ตอนนั้นกูก็เพิ่งขึ้น ม.หนึ่งเอง ยังไม่อินอะไรเท่าไหร่” “แล้วตอนเด็กกับตอนนี้ นิสัยเหมือนกันปะ?” คราวนี้เป็นฉันที่ถามขึ้นบ้าง หลังจากยืนฟังอยู่เงียบ ๆ “โอ๊ย ตอนเด็กก็นิสัยดีกว่านี้นะ ตอนนี้ทั้งนิ่ง ทั้งหยิ่ง หน้าก็แบบ…เหมือนคนตายตลอดเวลา คงคิดว่าหล่อละมั้ง” “ก็หล่ออยู่นะ ขาว เย็นชา เท่ดีออก” แจมว่าเสียงสูงพลางกลอกตาอย่างอารมณ์ดี ทันทีที่แจมพูดจบ ทั้งกลุ่มก็หัวเราะครืน รู้สึกบรรยากาศคลายเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด — 16.00 น. ณ ลานเกียร์ คณะวิศวะ “น่าเบื่ออ่ะ! มาเรียนวันแรกแทนที่จะเลิกเร็ว ๆ ได้กลับบ้านชิล ๆ นี่อะไรไม่รู้ แล้วพวกรุ่นพี่จะนัดรวมตัวทำไมอีก ร้อนจะตายห่า” แจมบ่นเสียงดังอย่างหมดความอดทน “เอาน่า มึงก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีปะ” น้ำหวานตอบเสียงเรียบ พลางพัดมือไล่เหงื่อ “โคตรน่าเบื่อ แล้วก็โคตรร้อนเลยด้วย” ฉันเสริมทันที หน้าตาบูดเบี้ยวแทบจะละลาย “ใจร่ม ๆ เพื่อน กูรู้ว่ามึงเบื่อมึงร้อน แต่ใจร่ม ๆ นะ” นุ่นพูดปลอบพลางยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะหันมากระซิบกับน้ำหวานและเมย์เบา ๆ ว่า “กูละกลัวอีแบมมันจะปี๊ดแตกจริง ๆ ยิ่งถ้าเข้าไปนั่งในห้องแล้วเจอคนเสียงดังอยู่ข้างหลังอีกนะ มันจะลุกขึ้นไปตบเขาไหมเนี่ยยย…” “เมย์ มึงช่วยคอยดูมันด้วยละ ปากอีแบมนี่เร็วอยู่ด้วย กูไม่ไว้ใจเลยจริง ๆ” นุ่นเสริมพร้อมกลอกตา ฉันก็ได้แต่กรอกตาแรง ๆ ทั้งเพราะอากาศที่ร้อนจะตาย กับความวุ่นวายที่ดูท่าจะเริ่มขึ้นอีกแล้ว เมื่อถึงเวลา นักศึกษาคณะวิศวะทุกคนก็มารวมตัวกันที่ลานเกียร์อย่างพร้อมเพรียง เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มองไปรอบ ๆ แล้วรู้สึกว่า…คนเยอะชิบหาย เยอะจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมดในฝูงช้าง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะคละเคล้ากับอากาศร้อนอบอ้าว แสงแดดกระทบกับพื้นปูนจนแทบจะแผดเผาฝ่าเท้าทะลุรองเท้าผ้าใบ ‘โอยยย แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ไหนจะต้องแยกกลุ่มไปตามภาคอีก คิดแล้วเศร้า’ น้ำหวานบ่นในใจอย่างหมดแรง ดวงตาเหลือบมองนาฬิกาแบบไม่ค่อยมีหวัง อยากกลับบ้านชิบ… “เงียบบบบ!!!!” เสียงตะโกนดังลั่นจนทุกคนสะดุ้งโหยง เงียบลงแทบจะในทันที ราวกับมีใครกดปุ่มปิดเสียง สายตาทั้งลานเกียร์หันไปทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง และภาพที่เห็นก็คือ พี่ไทเกอร์ รุ่นพี่ปีสาม หน้าตาหล่อเหลาแต่เต็มไปด้วยรังสีความดุ ทำหน้าขรึมจัดจนคนที่กำลังคุยกันเมื่อครู่หุบปากแทบไม่ทัน “อยู่ด้วยกันมาทั้งวัน… พวกคุณยังแนะนำตัวไม่เสร็จอีกหรอครับ?” น้ำเสียงเรียบแต่กดดันเล่นเอานักศึกษาหลายคนยืนตัวแข็งเป็นท่อนไม้ “เหี้ยยย คนหล่อทำกูตกใจหมด” แจมกระซิบบอกน้ำหวานเสียงเบา แต่น้ำเสียงยังตื่นตะลึงไม่หาย “เงียบปากไปเลยมึง เดี๋ยวก็โดนแดกหัวหรอก” น้ำหวานรีบหันไปดุ แจมเลยรีบหุบปากแทบไม่ทัน ทันใดนั้นเสียงเข้ม ๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เอาละครับ… ผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะ” ชายหนุ่มตรงหน้ากวาดตามองนักศึกษาปีหนึ่งทั่วทั้งลาน ก่อนจะพูดต่อเสียงดังฟังชัด “ผมไทเกอร์ ภาคไฟฟ้า เป็นหัวหน้าเฮดว้ากของพวกคุณในปีนี้” คำว่า “หัวหน้าเฮดว้าก” หลุดจากปากเขา ทำเอาหลายคนขนลุกซู่ บางคนที่อยู่แถวหน้าแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง “จากวันนี้ไป ถ้าผมพูดอะไร… ขอให้ตั้งใจฟัง และทำตาม ผมไม่ใช่คนดุ แต่ถ้าคุณไม่ให้เกียรติ ผมก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่แฝงแรงกดดันระดับสิบ แล้วเขาก็ยกยิ้มมุมปากเบา ๆ ก่อนพูดปิดท้ายแบบที่ไม่มีใครคาดคิด “แต่ถ้าใครใจสู้ ใจกล้า อยากลองของ… ก็ลองดูครับ ผมก็คนเหมือนกัน แต่แค่… น่ากลัวกว่าคนอื่นหน่อย” กลุ่มนักศึกษาปีหนึ่งถึงกับเงียบสนิท บรรยากาศเหมือนสนามรบก่อนระเบิดจะลง แจมกระซิบอีกครั้งด้วยเสียงเบาเหมือนลมหายใจ “กูชักอยากลาออกจากคณะตั้งแต่วันนี้เลยว่ะ…” “เอาล่ะ ต่อไปจะเป็นการแนะนำตัวของพี่ว้ากและพี่ๆ ที่มีตำแหน่งต่าง ๆ ” ไทเกอร์พูดเสียงดังฟังชัด ก่อนจะหันไปทางข้างหลัง “เชิญครับ ชายหนุ่มที่ยืนพิงเสาอยู่เงียบ ๆ ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างสง่างาม ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จ้องมอง “หมอก ภาคไฟฟ้า รักษาการรองเฮดว้าก” เสียงทุ้มต่ำพูดเรียบ ๆ แต่หนักแน่นพอจะทำให้หลายคนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ “อื้อหือออ…” แจมกระซิบเสียงเบา “หล่อเหี้ย ๆ ยิ่งกว่าในโรงอาหารอีกกก” น้ำหวานสะกิดแขนแจมเบา ๆ ให้หุบปากก่อนจะโดนพี่เฮดว้ากจับลากออกไปยืนเดี่ยว “กองทัพ ภาคไฟฟ้า พี่ว้ากครับ” เสียงของพี่ทัพดังขึ้นถัดมา หน้าดุจนดูเหมือนจะว้ากคนได้ทั้งคณะ “เจเจ ภาคไฟฟ้า พี่ว้ากครับผม!” อีกเสียงตามมาอย่างร่าเริงผิดคาดกับตำแหน่ง สุดท้ายชายหนุ่มอีกคนก็ก้าวออกมา สีหน้าสบาย ๆ แต่แววตาดูไม่ไว้ใจได้ “แทนไท ภาคไฟฟ้า พี่วินัยครับ” เขาพูดสั้น ๆ แต่พอชื่อ “พี่วินัย” หลุดออกจากปาก ทุกคนก็หายใจติดขัดอีกรอบ “จำไว้นะครับ…” ไทเกอร์พูดเสียงดังฟังชัด พลางกวาดตามองไปยังกลุ่มนักศึกษาปีหนึ่งตรงหน้า “ตลอดระยะเวลาของการรับน้อง หรือพิธีการส่งมอบเกียร์ พี่ๆ ที่อยู่ในที่นี้ จะเป็นคนดูแลพวกคุณ…จนกว่าพิธีจะจบลงอย่างสมบูรณ์” เสียงรอบข้างเงียบกริบ แม้แต่เสียงนกร้องก็เหมือนจะหยุดบินผ่านบรรยากาศตึงเครียด “ไม่ใช่แค่ดูแลให้เรียนรู้ระบบ แต่เราจะดูแลให้พวกคุณ ‘มีเกียร์’ อย่างภาคภูมิใจ” หมอกพูดขึ้นเรียบ ๆ แต่ดวงตาเขาคมกริบ ราวกับกำลังมองทะลุเข้าไปในใจทุกคน บางคนเริ่มกลืนน้ำลายลงคอ บางคนเผลอยืดตัวให้ตรงขึ้นโดยอัตโนมัติ “ถ้ามีคำถามหรือข้อข้องใจอะไร…เก็บไว้ก่อนครับ” พี่เจเจเสริมขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะพวกคุณจะได้คำตอบทุกอย่าง…เมื่อถึงเวลา” “แล้วเวลานั้นแม่งคือเมื่อไหร่ฟะ” แจมกระซิบกับน้ำหวานเสียงเบา น้ำหวานพยายามกลั้นหัวเราะและสะกิดแขนเพื่อนให้เงียบไว้ เพราะพี่ทัพที่ยืนอยู่ไม่ไกลชักมองมาเหมือนจับได้ว่าใครขยับ “หวังว่าทุกคนจะเตรียมใจมาแล้วนะครับ…” แทนไทพูดเสียงเรียบ ก่อนทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำเอาขนลุกซู่ “ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของ ‘พวกพี่’ ” อึ้งเลย… เขา…คนที่ฉันนั่งกินข้าวด้วยเมื่อกลางวัน คนที่นั่งตรงข้ามฉันเงียบ ๆ ในโรงอาหาร คนที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่กลับมีบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา เขานั่นแหละ…คือเฮดว้ากของปีนี้ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ตอนที่พี่เขาก้าวออกมาจากเงาเสานั่นแล้วแนะนำตัวว่า “ไทเกอร์ ภาคไฟฟ้า หัวหน้าเฮดว้าก” ฉันถึงกับยืนตัวแข็งไปเลย และสิ่งที่ทำให้ฉันขนลุกยิ่งกว่า… คือหลังจากเขาพูดจบ ฉันรู้สึกได้ทันทีถึง สายตาคมดุดัน ที่มองตรงมาอย่างจงใจ มันนิ่ง เย็น และกดดันจนเหมือนรอบลานเกียร์เงียบลงยิ่งกว่าเดิม แล้วริมฝีปากคู่นั้น… ก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยที่มุมปาก แค่เสี้ยววินาที แต่เพียงพอจะทำให้ใจฉันกระตุกวูบอย่างบอกไม่ถูก เขาจำฉันได้…ใช่ไหม? หรือแค่มองผ่านเหมือนคนแปลกหน้าเหมือนที่ฉันพยายามทำ แต่ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ฉันรู้แค่อย่างเดียว ฉันต้องหนีออกจากเขา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม