โล่งใจ

1445 คำ
พัณณ์ชิตาราวน์คนไข้จนครบทุกคนแล้วก็กำลังคิดหาทางกลับคอนโดของตนเองโดยไม่ให้คนของนิโคไลที่เตร็ดเตร่อยู่หน้าประตูโรงพยาบาลรู้ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกจนกระทั่งได้ยินพยาบาลที่วอร์ดคุยกันว่าเที่ยงนี้รถพยาบาลจะออกไปให้บริการประชาชนที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง “พี่ภัทรคะ จะเป็นไรไหมคะถ้าพั้นช์จะขอติดรถไปที่ห้างด้วยค่ะ” “ได้สิคะ วันนี้หมอพั้นช์ไม่เอารถมาเหรอคะ” “ค่ะ เมื่อเช้าติดรถเพื่อนมาน่ะคะ” “หมอให้แผนกรับส่งเอารถคันอื่นไปส่งที่คอนโดได้นะคะ ไม่ต้องนั่งรถพยาบาลไปก็ได้” จิตาภัทรบอกคุณหมอคนสวยเพราะปกติแล้วที่โรงพยาบาลก็จะมีรถไว้คอยรับส่งบุคลากรต่างหากอยู่แล้ว “ไม่เป็นไรค่ะ พั้นช์ว่าจะไปเดินเล่นที่ห้างอยู่พอดี” “งั้นไปรอที่รถเลยนะคะ ตอนนี้เขากำลังเตรียมของกันอยู่เดี๋ยวพี่โทรบอกให้เขารอนะคะ” “ขอบคุณค่ะพี่ภัทร” พัณณ์ชิตายังคงสวมแมสก์และชุดกาวน์อีกทั้งยังหยิบแว่นกรองแสงที่มักเอาใช้เวลาต้องนั่งหน้าคอมนานๆ ออกมาสวม หญิงสาวเดินผ่านคนของนิโคไลที่ประตูทางออกแล้วเดินขึ้นรถพยาบาลไปโดยที่ไม่มีใครผิดสังเกต พอมาถึงห้างสรรพสินค้าพัณณ์ชิตาก็เดินเลือกซื้อของอย่างสบายใจ แม้จะรู้ว่าคงหลบเขาได้ไม่ตลอดแต่อย่างน้อยวันนี้เธอก็ไม่ต้องอยู่ในการควบคุมของเขา หลังจากได้ของใช้ที่จำเป็นครบแล้วพัณณ์ชิตาก็ออกมาเรียกแท็กซี่เพื่อไปยังบ้านของบิดามารดาซึ่งปกติแล้วเธอก็จะไปที่นั่นทุกบ่ายวันเสาร์ “สวัสดีค่ะพ่อ” คุณหมอสาวทักทายบิดาซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจใหญ่ที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่บริเวณหน้าบ้าน “อ้าว ทำไมวันนี้นั่งแท็กซี่มาล่ะลูก รถเราไปไหนหรือรถมีปัญหา” “พั้นช์จอดไว้ที่คอนโดค่ะ พอดีเมื่อเช้าติดรถเพื่อนไปที่โรงพยาบาลค่ะ” “คืนนี้ค้างกับพ่อที่นี่ใช่ไหมพั้นช์” “ค่ะพ่อ พั้นช์ขอตัวไปข้างในก่อนนะคะ” หญิงสาวเดินเข้าในบ้านก็ยกมือสวัสดีมารดาก่อนจะเข้าไปสวมกอดอย่างประจบ “คิดถึงแม่จังเลยค่ะ” “แม่ก็คิดถึง เมื่อไหร่จะกลับมาอยู่บ้านล่ะพั้นช์” “อยู่คอนโดสะดวกกว่านี่คะ อยู่บ้านแล้วโรงพยาบาลโทรตามกลางคืนกว่าพั้นช์จะขับรถไปถึงคนไข้คงคลอดก่อนพอดีค่ะ” “ถ้าแม่รู้ว่าเรียนหมอแล้วจะไม่มีเวลาให้ครอบครัวแบบนี้แม่คงไม่ให้เรียนแต่แรก” คุณชนิตาบ่นลูกสาวคนเล็กที่กว่าจะได้เจอกันก็ต้องรอให้ถึงวันเสาร์ “อาพั้นช์!” เสียงที่ตะโกนมาจากทางหลังบ้านเหมือนเป็นระฆังช่วยชีวิตพัณณ์ชิตาออกจากเสียงบ่นของมารดาที่มักจะบ่นแบบเดิมทุกครั้งที่เธอกลับมาบ้าน “โชกุน อาพั้นช์ไม่เจอแค่สองอาทิตย์ สูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย” ปกติแล้วเธอจะเจอกับหลายชายทุกสัปดาห์ แต่สัปดาห์ที่แล้วพี่สะใภ้ของเธอพาหลานชายไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่ต่างจังหวัดทำให้สองอาหลานไม่ได้เจอกัน “ก็โชกุนดื่มนมแล้วก็กินผักเหมือนที่อาพั้นช์บอก” เด็กชายรีบอวด “เก่งมากครับ” หญิงสาวกอดเด็กชายตัวกลมอย่างรักใคร่ ก่อนจะยกมือไหว้พี่ชายและพี่สะใภ้ที่เดินตามเข้ามา “พี่นึกว่าวันนี้พั้นช์จะไม่มาซะแล้ว” พชรพูดกับน้องสาวเพราะคิดว่าเธออาจจะถูกผู้ชายที่ชื่อนิโคไลกักตัวไว้ “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพี่เพชร ไม่มีใครทำอะไรพั้นช์ได้หรอกค่ะ” “จ้ะ แม่คนเก่ง แล้วมายังไงพี่ไม่เห็นรถเราเลย” “นั่งแท็กซี่มาค่ะ” “รถเสียเหรอคะน้องพั้นช์” รุจิรัตน์ถามน้องสามีด้วยความเป็นห่วง “เปล่าค่ะพี่จิ พั้นช์จอดไว่ที่คอนโดค่ะ พรุ่งนี้ว่าจะวานให้พี่เพชรไปส่ง ได้ไหมคะ” เธอหันมาถามเจ้าตัว “ได้สิ” ถึงแม้น้องสาวไม่ขอพชรก็คงจะอาสาไปส่งเพราะตนเองมีเรื่องจะคุยกับน้องสาวตามลำพังอยู่เหมือนกัน บ่ายวันอาทิตย์ “พั้นช์แน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่ทำอันตรายพั้นช์ พี่ว่าช่วงนี้กลับมาอยู่ที่บ้านก่อนดีไหม” “พั้นช์คุยกับแม่ของเขาก็เลยรู้ว่าที่เขาเป็นกังวลก็เพราะเขาเคยเสียลูกไปค่ะ” “แต่พี่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี” “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พี่ก็เห็นแล้วนี่คะว่าตอนนี้เขาไม่ตามพั้นช์แล้ว” “แล้วอีกนานไหมกว่าหลานของเขาจะได้ออกจากโรงพยาบาล” “ก็คงเป็นเดือนค่ะ เด็กคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวยังไม่มาก แต่พี่เพชรไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องนี้วางใจได้เลยพี่อัยย์เขาเป็นคนดูเด็กเองยังไงก็ไม่มีปัญหา” “คนที่เขาตามประกบน่าจะเป็นหมออัยย์มากกว่านะเพราะเป็นคนดูแลหลานเขา แต่ทำไมเขาถึงตามพั้นช์ล่ะ” “เขาก็ให้คนเฝ้าที่ห้องเด็กตลอดค่ะ แต่ที่เขาตามพั้นช์เพราะพั้นช์เป็นคนตัดสินใจให้ผ่าเอาเด็กออกค่ะ” “พี่ว่าผู้ชายคนนี้แปลกๆ นะ” “พี่เพชรอย่าห่วงเลยค่ะ พั้นช์ดูแลตัวเองได้ อีกอย่างเขาคงไม่กล้าทำอะไรพั้นช์หรอกค่ะ ดูแล้วเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร” “เชื่อได้ที่ไหนล่ะ ให้พี่ส่งลูกน้องมาอยู่ด้วยไหม” “อย่าเลยค่ะพี่เพชร เดี๋ยวสักพักทุกอย่างก็จะดีเอง” “ถ้าเขาทำอะไรที่มันคุกคามเราต้องรีบบอกพี่นะ” “แน่นอนค่ะ ถึงโรงพยาบาลแล้วพี่เพชรจอดด้านหน้าเลยค่ะ” “แล้วจะกลับยังไงให้พี่รอรับไหม” “ไม่เป็นไรค่ะ พั้นช์ไม่อยากกดดัน ถ้ารู้ว่ามีคนรอพั้นช์จะกังวล อีกอย่างพั้นช์ก็ตรวจคนไข้หลายคนด้วย ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่ เดี๋ยวพั้นช์เรียกแท็กซี่กลับเองได้ค่ะ พี่รีบไปเถอะค่ะ” “อย่าลืมนะพั้นช์ มีอะไรต้องรีบโทรหาพี่ บอกพี่คนแรก” พชรย้ำกับน้องสาวก่อนจะขับรถออกไปด้วยความกังวล พัณณ์ชิตารู้สึกว่าตอนนี้เธอกำลังมีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ เธอเดาว่าตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่าเธอกำลังกลับมาเขาในโรงพยาบาล แต่เธอก็ไม่สนใจ หญิงสาวราวน์ผู้ป่วยของตนจนกระทั่งมาถึงห้องสุดท้ายซึ่งเป็นห้องของคารินา “สวัสดีค่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ” พัณณ์ชิตาพูดกับคารินาพลางพยักหน้าให้พยาบาลที่เดินตามมาปิดผ้าม่าน เพราะตอนนี้นอกจากจะมีสามีของคนไข้อยู่ในห้องแล้วยังมีพี่ชายและมารดาของเธออยู่อีกด้วย คุณหมอสาวตรวจร่างกายของคารินาอยู่พักใหญ่ก็เปิดผ้าม่านออกอีกครั้ง “พรุ่งนี้ก็น่าจะกลับบ้านได้แล้วค่ะ แค่ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำและก็สังเกตน้ำคาวปลา ถ้ามีลิ่มเลือดหรือกลิ่นที่ผิดปกติหรือมีอาการตัวร้อนก็ให้รีบมาโรงพยาบาลนะคะ” “แต่ลูกของเคทยังอยู่ที่นะคะ เคทขออยู่ที่โรงพยาบาลจนกว่าลูกจะออกจากโรงพยาบาลได้ไหมคะ” คาริน่าไม่กลับยากกลับไปอยู่ที่บ้านทั้งๆ ที่ลูกของตนเองยังนอนอยู่ที่นี่ “คงไม่ได้หรอกค่ะ เตียงของโรงพยาบาลเรามีจำนวนจำกัดคุณเคทสามารถมาเยี่ยมลูกตามเวลาที่โรงพยาบาลกำหนด แล้วเอานมมาฝากไว้ให้ทุกวันค่ะ” “ไม่มีห้องพักอื่นเลยเหรอคะ” “เรื่องห้องหมอก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ เอาเป็นว่าเดี๋ยวหมอจะให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเข้ามาคุยอีกทีนะคะว่าพอจะมีห้องของแผนกไหนที่พอจะว่างไหม” “ขอบคุณค่ะหมอ” “เราคงไม่รบกวนหมอพั้นช์มากเกินไปใช่ไหมจ๊ะ” “ไม่หรอกค่ะคุณป้า พั้นช์ไม่รู้ว่าจะได้ห้องตามที่ขอหรือเปล่านะคะ” พัณณ์ชิตาบอกไปตามความจริงก่อนที่จะขอตัวกลับ หญิงสาวรู้สึกโล่งใจที่วันนี้พี่ชายของคารินาไม่ได้คุกคามหรือทำหน้ายักษ์ใส่อย่างวันก่อน เธอคิดว่าเขาคงจะเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม