เป็นเพื่อนกันนะ

1470 คำ
การได้ใกล้ชิดกับพัณณ์ชิตามาเกือบหนึ่งเดือนทำให้มาเฟียหนุ่มอย่างนิโคไลเริ่มจะคล้อยตามความคิดของบิดาที่อยากให้เขามีภรรยาเป็นคนไทย นอกจากหญิงสาวจะสวยแล้วยังทำงานเก่งและอึดได้อย่างน่าประหลาด เขาเห็นเธอตรวจคนไข้ทั้งวัน บางวันก็มีผ่าตัด อีกทั้งบางคืนยังถูกเรียกให้มาทำคลอดหรือผ่าคลอดกลางดึกแต่ไม่เคยได้ยินเธอบนว่าเหนื่อยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าใครที่จะมาเป็นแฟนกับเธอคงคิดหนักเพราะเวลาพักแทบจะไม่มี และถ้าอีกฝ่ายต้องทำงานด้วยแล้วโอกาสจะได้อยู่กับแฟนก็คงริบหรี่ แต่สำหรับคนว่างงานอย่างนิโคไล กลับมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาเลย เขามีเวลาให้เธอตลอดไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ขอแค่เธอโทรบอกเข้าก็พร้อมที่จะรับเธอไปส่งที่โรงพยาบาลเพราะวันไหนที่เธอต้องเข้าเวรชายหนุ่มจะมาเช่าโรงแรมที่ใกล้กับคอนโดของเธอเพื่อจะได้รับเธอไปส่งได้ทันเวลา “วันนี้ให้ผมไปส่งที่บ้านเหมือนเดิมใช่ไหม” เขารู้ตารางของเธอเป็นอย่างดีเพราะปกติแล้วเช้าวันเสาร์เธอจะราวน์คนไข้เสร็จแล้วจากนั้นก็จะไปค้างที่บ้านกับครอบครัว นิโคไลไปส่งเธอแค่หน้าบ้านแต่ยังไม่เคยเข้าไปรู้จักกับคนในครอบครัวของเธอเลยสักครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะค่อนข้างเว้นระยะห่างกับเขาพอสมควรแต่มันไม่ใช่ปัญหาเลยเพราะถ้าเขาอยากจะรู้จักเธอขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เขารู้ที่อยู่และข้อมูลของสมาชิกในครอบครัวของพัณณ์ชิตาเป็นอย่างดี “วันนี้ไม่ต้องค่ะ” เธอบอกขณะที่กำลังรัดเข็มขัดนิรภัย “ทำไมล่ะ หรือกลัวว่าผมจะเข้าไปในบ้าน ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก ถ้าคุณไม่ชวน” “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ พอดีว่าวันนี้ฉันนัดทานข้าวกับเพื่อนๆ ค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ ไปที่ไหนร้านไหนล่ะ คุณบอกทางมาเลย” ตอนนี้นิโคไลรู้จักเส้นทางในกรุงเทพมากขึ้นเพราะบางวันเขาก็ออกมาขับรถเล่นเพื่อศึกษาเส้นทางไปในตัว “คุณจะไปทำไม คุณไม่รู้จักเพื่อนฉันสักหน่อย แค่ไปส่งอย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง ขากลับฉันจะให้เพื่อนมาส่ง” พัณณ์ชิตารีบปฏิเสธ “คุณก็แนะนำให้ผมรู้จักสิ ไม่เห็นยากเลย” “จะให้ฉันบอกเพื่อนๆ ว่ายังไง นี่ทุกคนฉันขอแนะนำให้รู้จักผู้คุมของฉันนะ อย่างนี้เหรอ ไม่เอาหรอกค่ะ มันฟังดูน่าตลก” “ผมรับส่งคุณมาเกือบเดือนแล้ว ผมนึกว่าเราเป็นเพื่อนกันเสียอีก” เขาตัดพ้อ “เพื่อนเหรอคะ” เธอเลิกคิ้วถามพลางมองหน้าเขา “ครับ เราเป็นเพื่อนกัน” “ฉันว่าที่คุณคอยตามฉันเพราะอยากหาคนรับผิดชอบเรื่องหลานคุณมากกว่า ไม่มีตรงไหนเลยที่บอกว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกันนะคะ” “นั่นมันแค่ตอนแรก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว ผมไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นแล้ว” นิโคไลเชื่อแล้วว่าการตัดสินใจของเธอนั้นถูกต้อง หลานของตนอาการดีขึ้นและเขาก็ถามหมอหลายๆ คน ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันกว่าการตัดสินใจผ่าเด็กออกมานั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดทั้งกับน้องสาวและหลานสาวของเขา “ถ้าคุณรู้ว่าฉันทำทุกอย่างถูกต้อง คุณก็น่าจะเลิกตามฉันได้แล้วนะคะ” “ที่ผมตามคุณเพราะผมอยากเป็นเพื่อนคุณนะ” “คุณอยากเพื่อนฉันเหรอคะ” เธอมองหน้าเขาอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่ “ครับ เราเป็นเพื่อนกันได้ไหมพั้นช์” เป็นครั้งแรกที่พัณณ์ชิตาได้ยินเขาเรียกเธอด้วยชื่อเล่น มันเลยทำให้รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเธอกับเขากำลังขยับเข้ามาทีละนิด จากพี่ชายผู้ป่วยมาเป็นเพื่อน แม้ที่ผ่านมาจะให้เขาตามรับส่งตลอดแต่นั้นก็เพราะคิดว่าเขาเพื่อหลาน แต่พอได้เขาบอกว่าอยากเป็นเพื่อนก็เลยอดแปลกใจไม่ได้ “ทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนฉันล่ะคะ” “ไม่รู้สิ แต่ผมชอบที่ได้คุยกับคุณไง ผมมีเพื่อนไม่เยอะหรอกนะ คุณคงไม่รังเกียจใช่ไหม” “ไม่หรอกค่ะ แค่แปลกใจ” “งั้นตกลงเราเป็นเพื่อนกันนะ แล้วเย็นนี้ผมก็ขอไปด้วย” “คุณจะไปกับฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ คุณไปแค่คนเดียวได้ไหม ส่วนลูกน้องของคุณให้เขาตามไปส่งแล้วก็กลับ ไม่ต้องตามติดเหมือนทุกครั้ง” “ปกติผมก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอดนะ” เขารีบเถียงเพราะคิดว่าที่ผ่านมาพัณณ์ชิตาคงไม่รู้ตัว “ฉันไม่ได้โง่นะคะ ฉันเห็นว่าเขาคอยตามคุณอยู่ห่างๆ เพียงแต่ฉันไม่พูดเพราะคิดว่ามันไม่ได้กระทบอะไรมากแต่ถ้าคุณไปกับฉันแล้วเขาไปกับคุณด้วยฉันกลัวว่าพวกเขาจะตกใจ” เธอบอกเหตุผลของเธอ ส่วนนิโคไลจะรับฟังหรือไม่มันก็เรื่องของเขา ถ้าเขายอมทำตามที่เธอขอเธอก็จะยอมให้เขาไปด้วย “ได้สิ ไม่มีปัญหา” นิโคไลรู้สึกว่าพัณณ์ชิตาเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและช่างสังเกตมากคนหนึ่งเพราะลูกน้องของเขาไม่ได้ตามติดขนาดนั้นแต่เธอก็ยังรู้สึกตัว “คุณอย่าเพิ่งรีบรับปากเร็วขนาดนั้น คิดก่อนก็ได้ว่าจะมีผลเสียไหม ถ้าพวกเขาไม่ไปด้วย เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันคงรับผิดชอบไหว” พัณณ์ชิตาไม่อยากบังคับเขาแต่ก็ไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ถ้าเขาจะพาลูกน้องไปด้วย “ไม่มีปัญหาหรอกครับ ว่าแต่คุณนัดเจอเพื่อนที่ไหน กี่โมงล่ะครับ” “เรานัดกันที่ร้านอาหาร หกโมงเย็น เดี๋ยวคุณไปส่งฉันที่คอนโดแล้วสักห้าโมงค่อยมารับก็ได้ ฉันเตือนไว้ก่อนนะว่าเพื่อน ๆ ของฉันส่วนใหญ่เวลาเจอกันก็จะพูดถึงแต่เรื่องการทำงาน ถ้าคิดว่ามันน่าเบื่อจะถอนตัวตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้นะ” เธอไม่อยากให้เขาไปนั่งเหงาอยู่คนเดียว “ผมอยากเป็นเพื่อนคุณ ผมก็ต้องเรียนรู้ว่าสังคมของคุณเป็นแบบไหน” “ฉันไม่บังคับคุณหรอกนะคะ ถ้ามันน่าเบื่อมาก คุณจะเดินออกมารอข้างนอกก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรคุณหรอก แต่อย่าชวนฉันกลับก่อนเวลาแค่นั้นคิดว่าทำได้ไหมคะ” “ได้สิ ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ถึงผมไม่ได้โตที่เมืองไทยแต่แม่ก็สอนผมเรื่องมารยาทนะครับ” “ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยก็แค่บอกไว้ก่อน” ที่พัณณ์ชิตาต้องพูดกับเขาเรื่องนี้ก็เพราะเธอเคยมีแฟนมาก่อนและเวลาเขาไปเจอกับเพื่อนๆ ของเธอชายหนุ่มก็มักจะนั่งทำหน้าเบื่อโลกจนเธอหมดสนุกและบางครั้งก็ชวนเธอกลับก่อนทั้งที่ยังคุยกับเพื่อนไม่ถึงไหม “ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่นอนครับ ผมกลับก่อนนะ เดี๋ยวห้าโมงเย็นเจอกัน” “ค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนใจก็โทรมาบอกได้ตลอดนะคะ” “ไม่มีทาง” นิโคไลไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนๆ ของพัณณ์ชิตาอย่างแน่นอน เขาเชื่อว่าถ้าอยากรู้จักใครให้มากขึ้นก็ให้ดูเวลาที่เธออยู่กับเพื่อน พัณณ์ชิตาขึ้นมาบนห้องจากนั้นก็อาบน้ำและตั้งนาฬิกาปลุกในเวลาสี่โมงเย็นก่อนจะล้มตัวลงนอนเก็บแรงเอาไว้ก่อนเพราะการเจอเพื่อนในแต่ละครั้งเธอก็มักจะคุยกันจนดึก เนื่องจากแต่ละคนก็มักจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร ยิ่งครั้งนี้เป็นการเจอกันในรอบ 6 เดือนคงต้องมีเรื่องคุยกันยาวแน่ๆ ไม่บ่อยนักที่เธอกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะแต่ละคนก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ การลางานมาเจอกันของเพื่อนที่ทำงานเป็นหมออยู่ตามโรงพยาบาลในต่างจังหวัดจึงทำได้ไม่บ่อยนัก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม