16.30 น. ขณะที่พัณณ์ชิตากำลังจะเริ่มแต่งตัวก็มีสายเรียกเข้าจากนิโคไล หญิงสาวคิดว่าเขาโทรมาบอกว่าเปลี่ยนใจไม่ไปกับเธอแล้ว
“พั้นช์”
“ว่าไงคะ เปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม”
“เปล่าครับ ผมแค่จะถามว่าผมต้องแต่งตัวยังไง”
“แต่งยังไงก็ได้ค่ะ ไม่ได้เป็นทางการอะไรคนที่มาก็เพื่อนกันทั้งนั้น”
“ผมกลัวทำคุณขายหน้า”
“ไม่หรอกค่ะ ปกติคุณก็แต่งตัวดีอยู่แล้วไม่เห็นจะต้องกังวลเลยนี่ค่ะ”
“มันเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เจอเพื่อนคุณนี่ครับ” จากคนที่มีความมั่นใจในรูปร่างและหน้าตาของตัวเอง แต่วันนี้นิโคไลกลับรู้สึกไม่มั่นใจจนต้องโทรถาม
“ให้ฉันบอกตรงๆ ไหมคะ”
“ครับ บอกผมมาเลย”
“คุณหล่ออยู่แล้วแต่งแบบไหนก็หล่อ”
“ไม่หลอกกันนะครับ”
“คุณไม่เคยส่องกระจกหรือไงคะ ถึงไม่มั่นใจแบบนี้ เอาล่ะ ฉันขอวางก่อนนะ ฉันยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย”
“ครับ ผมไม่กวนแล้วเดี๋ยวเจอกันนะ”
พอวางสายแล้วพัณณ์ชิตาก็หันมาสนใจตัวเองอีกครั้ง วันนี้เธอเลือกสวมเดรสแขนกุดสีครีมยาวพอดีเข่า ดูสบายๆ ส่วนผมที่เคยรวมตึงไว้ตลอดก็ดัดปลายให้เป็นลอนดูเป็นธรรมชาติ จากนั้นแต่งเติมสีสันบนใบหน้าอีกเพียงนิดก็เรียบร้อย เธอไม่จำเป็นต้องแต่งอะไรมากเพราะวันนี้คนที่จะไปเจอก็มีแต่เพื่อนกันทั้งนั้น
พอถึงเวลานัดเธอก็ลงมายังลานจอดรถซึ่งนิโคไลมารออยู่แล้ว ตั้งแต่รู้จักกับเขามาเกือบหนึ่งเดือนชายหนุ่มไม่เคยมาผิดเวลาเลยสักครั้ง
“รอนานหรือยังคะ”
“เพิ่งมาครับ”
“มองทำไมคะ” พัณณ์ชิตาถามคนที่เอาแต่จ้องจนเธอทำตัวไม่ถูก
“คุณแต่งตัวแบบนี้ผมไม่คุ้นเลย” ส่วนใหญ่เขาจะเห็นสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงผ้าหรือไม่ก็กระโปรงเรียบๆ
“ก็ฉันทำงานนี่คะ ต้องแต่งให้เรียบร้อย”
“แสดงว่าปกติถ้าไม่ทำงานคุณก็จะสวมชุดหวานๆ แบบนี้เหรอ”
“ก็แล้วแต่โอกาสค่ะ คุณแน่ใจนะว่าเราจะไปร้านที่ฉันนัดกับเพื่อนถูก” พัณณ์ชิตารีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่ชอบให้เขาจ้องเธอนานๆ แบบนี้
“ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เดี๋ยวขับตามธนัทไป”
“อ้อ ลืมไปเลยว่าคุณธนัทเขารู้เส้นทางในกรุงเทพดี” เธอเคยคุยกับผู้ช่วยของเขาอยู่หลายครั้งก็พอจะรู้มาบ้างว่าเขานั้นรู้จักถนนทุกเส้นเป็นอย่างดี
พอออกรถไปได้สักพักเธอก็เริ่มชวนเขาคุย
“คุณนิโคไลคะ”
“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ ไม่ต้องเรียกแบบนั้น เรียกผมว่านิคเถอะจะได้ดูสนิทกันไง แล้วก็ไม่ต้องมีคุณนำหน้าด้วยนะ เพื่อนที่ไหนเรียกกันแบบนี้”
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว นิคคะ ฉันมีเรื่องจะถามหน่อยค่ะ”
“ถามเยอะๆ ก็ได้ สำหรับพั้นช์ผมยินดีตอบทุกคำถามอยู่แล้ว”
“คือฉันต้องแนะนำคุณให้เพื่อนรู้จัก แล้วถ้าพวกเขาถามว่าคุณทำงานอะไร ฉันจะต้องตอบยังไงคะ” พัณณ์ชิตาไม่เคยรู้ว่าเขาทำงานอะไร
“ผมทำธุรกิจหลายอย่างทั้งนำเข้าสินค้าจากไทยส่วนใหญ่และก็ประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกอาหารน่ะ แล้วก็ลงทุนในธุรกิจน้ำมันอีกนิดหน่อย มีกาสิโนอีกสองสามที่ในรัสเซีย”
“ฟังดูเหมือนคุณจะงานเยอะนะ แล้วมาอยู่ไทยนานแบบนี้ไม่กระทบกับงานเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมมีผู้ช่วยดีแล้วงานบางอย่างเราก็ไม่จำเป็นต้องลงไปทำเอง”
“คุณมีบริษัทที่เมืองไทยด้วยไหมคะ”
“ไม่มีครับ แต่ผมมีหุ้นอยู่ในบางบริษัทครับ เจ้าของบริษัทก็เป็นญาติทางแม่ แล้วให้เราร่วมลงทุนครับสิ้นปีก็รับเงินปันผล ไม่มากเท่าไหร่ครับ แต่พ่อผมท่านมีบริษัทนำเข้าครับ”
“เอาเป็นว่าถ้าเขาถาม ฉันจะบอกว่าคุณเป็นนักธุรกิจก็แล้วกันนะคะหรือคุณอยากแนะนำเป็นอย่างอื่น”
“แบบนั้นก็ได้ครับ ดีนะที่คุณบอกว่าผมเป็นนักธุรกิจ เพราะแม่กับน้องของผมชอบหาว่าผมเป็นมาเฟีย”
“คุณอยากให้ฉันแนะนำพวกเขาว่าคุณเป็นมาเฟียไหมคะ ฉันว่าเท่ดีนะ”
“ผมเพิ่งเคยได้ยินว่าเท่ ปกติเขาจะไม่ค่อยชอบมาเฟียกันเท่าไหร่ เขามักคิดว่าพวกเราเป็นคนไม่ดี ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่จริงเสมอไป”
“มันก็แค่คำเรียกนี่คะ ต่อให้คุณเป็นมาเฟียแต่ไม่เคยทำร้ายใครคุณก็ถือว่าเป็นคนดี แต่ถ้าคุณบอกว่าคุณเป็นคนดีแต่ทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่นนั่นยิ่งน่ากลัวกว่ามาเฟียอีกนะคะ”
“ผมชอบทัศนคติของคุณนะพั้นช์”
“ฉันเป็นประเภทโลกสวยนะคะ”
“ผมว่าการที่เราคิดอะไรแบบคุณมันก็สบายใจดีนะครับ”
“แต่ละวันที่ฉันทำงานฉันเจอมาเยอะ เพราะฉะนั้นฉันเลยเลือกที่จะมองโลกให้สวยงามไว้ก่อนค่ะ”
“ผมดีใจนะที่ได้รู้จักคุณ แต่ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันนะครับ”
“เสียดายอะไรคะ” เธอถามพลางมองหน้าเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่าเขากำลังเสียดายอะไร
“ก็เสียดายเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาไงล่ะ แทนที่ผมกับคุณจะเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนั้น ผมขอโทษนะที่เอาแต่จ้องจับผิดคุณตลอด คุณคงอึดอัดมากๆ ใช่ไหม” นิโคไลรู้สึกว่าเขาพลาดมากที่ไม่รีบทำความรู้จักกับพัณณ์ชิตาทั้งที่เขาตามเธอมาตลอด ถ้าไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็คงสนิทกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“คุณไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ใครๆ ก็มีสิทธิ์คิดแบบนั้น ฉันเข้าใจดี” หญิงสาวไม่อยากถือโทษโกรธเขาเพราะรู้เหตุผลที่เขาคิดแบบนั้น เพราะถ้าเป็นเธอเองก็คงอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เธอตัดสินใจนั้นมันถูกต้องหรือไม่ สำหรับคนที่ไม่ได้เรียนมาทางนี้ย่อมจะเข้าใจยากสักหน่อย
“แล้วอึดอัดไหมครับ” นิโคไลหันมามองหน้าพัณณ์ชิตาสลับกับมองถนนเพราะอยากเห็นสีหน้าของเธอขณะตอบคำถาม
“แรกๆ ก็อึดอัดค่ะ แต่สักพักก็ชิน ฉันรู้สึกสบายด้วยซ้ำที่มีคนคอยรับส่งตลอด” คุณหมอสาวตอบไปตามความเป็นจริง
เธอยอมรับว่าช่วงแรอกอึดอัดที่มีคนตาม แต่ช่วงหลังๆ มานี้งานเธอเยอะมากทั้งตรวจปกติและผ่าตัดอีกทั้งยังเคสด่วนกลางคืนก็ได้เขาที่ช่วยขับรถให้ซึ่งมันก็ทำให้เธอสบายขึ้นมาอีกนิด
“จากนี้ผมจะรับส่งคุณตลอดดีไหม”
“อย่าเลยค่ะ ฉันไม่อยากสบายจนเคยตัว เดี๋ยวพอหลานคุณออกจากโรงพยาบาลคุณก็คงต้องกลับไปทำงานใช่ไหมล่ะคะ”
“แต่ก็คงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกครับ อีกอย่างถ้าผมจะปักหลักอยู่ที่เมืองไทยก็คงมีปัญหาอะไรเพราะงานของผมมันก็ไม่จำเป็นต้องเขาบริษัททุกวัน” จู่ๆ เขาก็นึกอยากจะอยู่ที่เมืองไทยขึ้นมาทั้งที่แต่ก่อนไม่ค่อยอยากจะมาที่นี่เพราะไม่ค่อยชอบอากาศร้อนสักเท่าไหร่
“เอาเป็นว่าคุณมารับส่งฉันได้ถ้าคุณสะดวกถ้าไม่ว่างก็แค่บอกล่วงหน้าแค่นั้นเองค่ะ”