ในที่สุดวันงานแต่งงานก็มาถึง สถานที่จัดงานคือวังของพี่สาวคุณหญิงพรวิมลซึ่งต้องจัดให้สมเกียรติสมฐานะความเป็นลูกผู้ดีตระกูลเก่า
การจัดงานเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทยมีการจัดเตรียมทุกอย่างอย่างพิถีพิถัน ไม่มีขาดตกบกพร่อง
พลเอกสมศักดิ์เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว ส่วนคุณหญิงพรวิมลทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว ท่านทั้งสองกำลังพูดคุยกับแขกเหรื่อที่ตบเท้าเข้ามากันอย่างคับคั่ง
คุณพรวิมลบังคับให้ลูกชายตัวเองแต่งกายอย่างไทยด้วยการสวมเสื้อราชปะแตนกับโจงกระเบนสีม่วง
ถึงแม้เจ้าตัวไม่พอใจเท่าไรนัก แต่ผลที่ออกมาก็ทำให้เขาดูหล่อดูดีและสง่างามในชุดไทย ร่างสูงเดินหน้าหงิกหน้างอมานั่งรอเจ้าสาวที่บริเวณห้องรับรอง
15 นาทีผ่านไป
นภัสสรเดินออกจากห้องแต่งตัวอย่างช้าๆ เธอนุ่งซิ่นสีชมพูความยาวระดับเข่า ส่วนท่อนบนเสื้อทรงกระบอกตัวยาวคลุมสะโพก ใส่สายสร้อยและตุ้มหูยาว สวมกำไล สวมถุงน่อง รองเท้าส้นสูง ทำผมลอนดัดสั้น สวยสง่างามสะกดทุกสายตาให้จับจ้องมาที่เธอ
ไม่เว้นแม้แต่เจ้าบ่าวอย่างคณินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เผลอมองเธอราวกับต้องมนต์สะกดอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อถึงช่วงพิธีการที่สำคัญนั่นก็คือการเรียงสินสอดและการสวมแหวนหมั้น
ใบหน้าของคณินก็เริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจ เขาไม่สามารถปกปิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ทำให้ผู้ใหญ่ที่อยู่ในงานต่างหันหน้าซุบซิบนินทา
“พวกเธอดูหน้าเจ้าบ่าวสิ! เหมือนว่าคุณคณินไม่อยากแต่งงานกับหนูภัสสรเลยนะ” ผู้ใหญ่คนหนึ่งกระซิบข้างหูคนรู้จักที่มาร่วมงาน ขณะที่มองไปที่ใบหน้าของเจ้าบ่าวที่ไม่สามารถซ่อนความไม่พอใจได้
“ฉันได้ยินมาว่าคุณหญิงท่านบังคับให้คุณคณินแต่งงานกับเด็กในบ้านเพราะไม่ปลื้มแม่นางแบบสาวอกโตคนนั้น” อีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยเสียงกระซิบเบาๆ
“แต่งงานกับเด็กในบ้านก็ดี เรือล่มในหนองทองจะไปไหน คนกันเองทั้งนั้น”
“พวกเธอก็พูดเว่อร์ไป หนูนภัสสรเรียนเก่งมาก มารยาทงาม สมกับที่คุณหญิงท่านอบรมมาตั้งแต่เด็ก”
“แต่แต่งงานกับลูกแม่บ้านจนๆใครจะไม่อายบ้าง เรื่องชาติกำเนิดมันหลีกเลี่ยงกันได้ที่ไหน”
“โอ๊ยยุคสมัยนี้แล้วไม่มีใครเขาถือสากันหรอก ขอแค่เป็นคนดี ทำงานเก่ง วางตัวเหมาะสมก็พอ”
เสียงกระซิบเหล่านี้เล็ดรอดไปถึงหูนภัสสรซึ่งเจ้าตัวก็รู้ตัวดีว่าเรื่องที่ถูกผู้คนซุบซิบนินทามันคือเรื่องจริงทั้งหมด
เธอโดนดูถูกเรื่องที่เกิดมาเป็นลูกแม่บ้านทั้งชีวิต โดนอีกสักครั้งจะเป็นอะไรไป
ส่วนเจ้าบ่าวอย่างคณินที่ต้องแต่งงานกับเธอก็อายที่ถูกพูดถึงเรื่องนี้จนอยากจะมุดดินหนีไปซะสิ้นเรื่อง
“เพราะเธอคนเดียวทำให้ฉันถูกมองไม่ดีไปด้วย” คณินกัดฟันพูดกับหญิงสาวที่นั่งพับเพียบข้างกาย
“ถ้าคุณอายก็รีบสวมแหวนเถอะค่ะ ” หญิงสาวกระซิบตอบ
ในเมื่อเขาอายนักก็ควรรีบทำพิธีให้เสร็จเร็วๆ จะดีกว่าเพราะได้ไม่ต้องได้ยินคำนินทาว่าร้ายให้ระคายหูอีก
จากนั้นชายหนุ่มก็นำแหวนเพชรขึ้นมาสวมใส่ให้หญิงสาวตรงหน้า
ทว่านภัสสรกลับยิ้มผ่านแววตา ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานที่ไม่เต็มใจแต่มันคือครั้งแรกของเธอ ความรู้สึกตื่นเต้นและตื้นตันใจมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“เสร็จแล้วใช่ไหมครับ” คณินหันไปถามพ่อกับแม่ซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้าตอบรับ
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะลุกพรวดพราดต่อหน้าแขกทุกคนที่มาร่วมงาน
ร่างสูงเดินไปนั่งเก้าอี้ซึ่งบนโต๊มีใบทะเบียนสมรสวางอยู่
มือหนาจับปากกาขึ้นมาเซ็นชื่ออย่างรวดเร็ว และเดินเข้าไปพักผ่อนในห้องรับรองทำให้ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่างยกมือขึ้นมาทาบอกด้วยความตกใจ
นภัสสรที่ยังนั่งอยู่ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ก็ทำตัวไม่ถูกนอกจากยิ้มให้แขกที่มาร่วมงาน ทั้งที่ในใจเจ็บปวดกับการกระทำของเขาที่ไม่ให้เกียรติเธอกับครอบครัวตัวเอง
“คุณหญิง ผมว่าทำอย่างนี้ลูกจะไม่มีความสุขเอานะ ผมสงสารลูกที่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก” นายพลสมศักดิ์เอนกายไปกระซิบข้างหูอดีตภรรยาที่กำลังกำมือแน่น พยายามข่มอารมณ์กับการกระทำของลูกชายตัวเองที่ทำให้ท่านต้องขายขี้หน้า
ท่านนายพลสมศักดิ์ไม่ได้สนสายตาคนในงานว่าจะมองยังไง เขาเป็นห่วงความรู้สึกลูกชายมากกว่า หน้าบึ้งตึงอย่างนี้จะมีความสุขในการใช้ชีวิตคู่อย่างไร
“แล้วคุณมีวิธีอื่นในการกำราบตาคณินหรอคะทั้งควงผู้หญิงไปเที่ยวกลางคืนไม่ซ้ำหน้า ทั้งเอาเงินไปให้คนพวกนี้ถลุงเล่น ถ้ายกบริษัทวิทสุทธิ์ถากรได้ตาคณินคงยกให้หมดแล้วมั้งคะ”
คุณหญิงพรวิมลตอบอดีตสามีที่กำลังถอนหายใจเฮือกใหญ่ ซึ่งคำอธิบายเหล่านี้ก็ทำให้ท่านนายพลเถียงไม่ออกเพราะลูกชายของเขาก็ทำตัวเหลวไหลจริงๆ