“ก็ได้ยินว่าท่านประธานน่ะหาคู่ที่เหมาะสมเอาไว้ให้ท่านรองฯ แล้วยังไงล่ะ อีกอย่างนะฉันเคยได้ยินมาว่าสมัยที่ท่านรองฯ ยังเรียนมหาลัยน่ะเคยรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ท่านประธานไม่ชอบก็เลยจ้างให้เลิกกับท่านรองฯ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เลือกเงินมากกว่าความรัก สุดท้ายท่านรองฯ ก็เลยไม่เคยรักใครจนถึงตอนนี้ไง”
“ไม่รักใครเลยเหรอแก ฉันเห็นท่านควงดารานางแบบไม่ซ้ำหน้าเลยนะ จะไม่รู้สึกรักใครบ้างรึไง”
“ก็ถ้ารักคงแต่งกันแล้วมั้ง”
“อาจจะรักแต่แต่งไม่ได้เหมือนที่แกว่าไง ว่าท่านประธานไม่ปลื้มและมีคนที่เลือกไว้แล้วน่ะ”
“อาจจะเป็นแบบนั้น อ้าวตายล่ะมัวแต่เมาท์ ลืมไปส่งงานให้พี่ศรีเลย ป่านนี้รอด่าฉันแย่ละมั้ง ไปก่อนนะแกเดี๋ยวเจอกันที่ร้านส้มตำป้าหยิบเหมือนเดิม”
“เออๆ รีบไปเถอะ เดี๋ยวไปสั่งรอ”
“จ้ะ”
แล้วสองสาวขาเมาท์ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง จากนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยเพราะมีเรื่องอื่นๆ ให้คุยกันอยู่ตลอด
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ คิดซะว่ามันเป็นรถที่คุณขับมาทำงานทุกวันสิ” อาทิตย์บอกพลางกลั้นขำเมื่อเห็นเลขาฯ สาวนั่งขับรถตัวตรงราวกับว่าเธอเพิ่งจะมาเรียนขับรถกับเขาวันแรกอย่างนั้น
“แต่รถที่ดรีมขับทุกวันราคาแค่ครึ่งล้านเองนะคะ ไม่ได้ราคาเกือบสามสิบล้านแบบนี้ ยังไงก็คงคิดแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”
เธอบอกโดยที่ไม่กล้าหันมาสบตาเขาเพราะกลัวว่าถ้าหลุดโฟกัสจากท้องถนนไป อาจจะไปจิ้มตูดรถคันหน้าเข้าจริงๆ
“รถมันก็แค่ยานพาหนะ จะครึ่งล้านหรือร้อยล้านมันก็แค่รถนั่นแหละ แต่ที่ผมเลือกคันนี้ก็เพราะมันสมฐานะคนรวยๆ แบบเรา เหมือนที่แม่ผมบอกไงล่ะ คนเรา...ต้องเลือกสิ่งที่คู่ควรเท่านั้น”
คำพูดนั้นฟังดูเย้ยหยันมากกว่ารู้สึกภูมิใจ ทำให้เธอเผลอหันไปมองเขาครู่หนึ่งเพื่อจะมองว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหน แต่ก็พบว่าเขาไม่ได้หันมามองทางเธอแต่กลับมองไปยังวิวข้างทางที่มีแต่รถราเต็มถนนเหมือนคนใจลอย
“ถึงแม้สิ่งนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่คุณไม่ชอบหรือไม่ได้รักน่ะเหรอคะ”
“ความรักมันแค่เรื่องจอมปลอมน่ะ มนุษย์ทุกคนเกิดมาก็มีหน้าที่แค่กิน นอน ผสมพันธุ์ ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉานหรอก สุดท้าย...เราก็ต้องตายจากโลกนี้ไปอยู่ดี”
“แต่ถ้าเราได้ตายเคียงข้างกับคนที่เรารักและรักเรา ย่อมดีกว่าตายอย่างโดดเดี่ยวไม่ใช่เหรอคะ วินาทีสุดท้ายของชีวิต...ขอแค่ได้เห็นหน้าคนคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย...ก็คงดีกว่ามองไปแล้วไม่เจอใครเลย”
“แบบนั้นไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ”
“เห็นแก่ตัวยังไงคะ”
“เพราะคนที่ตายไปแล้วก็จะไม่รู้สึกอะไรอีก แต่คนที่ต้องนั่งมองดูคนรักตายไปอย่างช้าๆ น่ะ...มันเจ็บปวดและทรมานมากเลยนะ สุดท้ายแล้วสำหรับผม ผมคิดว่าตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีคนที่เรารักและรักเราน่ะ ดีกว่าเป็นไหนๆ” คราวนี้เขาหันมามองเธอเหมือนว่าเขาเป็นฝ่ายชนะเธอได้อย่างนั้น
“นั่นเพราะคุณยังไม่รู้จักความรักจริงๆ มากกว่าค่ะ”
“แล้วคุณเคยมีความรักแล้วหรือไง ถึงได้รู้ดีนักน่ะ”
“ค่ะ ดรีมเคยมีความรัก จนถึงตอนนี้...ก็ยังรักอยู่ ดรีมถึงรู้ดีว่าความรักคืออะไร” เธอหันมามองเขาครู่หนึ่งเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอยู่ดี
“ไหนว่าไม่เคยมีแฟน?”
“คนเรามีความรักได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนกันเสมอไปนี่คะ สำหรับดรีมแล้วแค่ได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่ดรีมรัก นั่นก็คือความสุขของดรีมแล้วค่ะ เพราะรู้ดีว่า...ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีวาสนาได้ครองคู่กัน” เธอบอกพร้อมกับแววตาแสนเศร้า และนั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกสงสัยว่าใครกันนะเป็นคนที่อยู่ใกล้เธอและทำให้เธอรู้สึกรักได้มากขนาดนี้
หรือจะเป็นพี่เด่น? อย่าบอกนะว่าเธอหลงรักคนที่แต่งงานแล้วคนนั้น ถึงได้บอกว่าชาตินี้ไม่มีวันจะได้เคียงคู่
แล้วทำไมเขาจะต้องรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ ด้วยวะ?
“รู้ตัวก็ดีแล้ว คนเราไม่ควรทำเรื่องผิดศีลธรรม คุณรู้จักยับยั้งชั่งใจก็ดี จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ปกตินักแต่เธอคงไม่ทันได้สังเกต
“พูดถึงเรื่องศีลธรรม ไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งหักอกผู้หญิงสองคนพร้อมกันมาเหรอคะ” เธอบอกอย่างประชดประชัน
“นั่นไม่เรียกว่าหักอก เพราะพวกเธอไม่ได้รักผม และผมก็ไม่ได้รักพวกเธอด้วย”
“แล้วมันเรียกว่าอะไรล่ะคะ สิ่งที่คุณทำ”
“เรียกว่า...แยกย้ายกันไปเติบโต” อาทิตย์บอกยิ้มๆ เลยได้เห็นเธอหลุดหัวเราะออกมา
“เอาเถอะค่ะ ดรีมว่าเถียงกันทั้งวันก็คงชนะคุณไม่ได้หรอก”
“ที่คุณไม่ชนะก็เพราะว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดไงล่ะ”
“แต่อย่างน้อยคุณก็ไม่ควรคบผู้หญิงพร้อมกันหลายคนนะคะ ยิ่งไม่ควรทำให้พวกเธอมีความหวังด้วยการทำเหมือนพวกเธอเป็นคนพิเศษ คุณทำแบบนั้นใครๆ ก็ต้องคิดว่าคุณมีใจด้วยกันทั้งนั้นแหละค่ะ ขนาดคนนอกอย่างดรีมยังคิดเลย”
“ผิดแล้ว ผมไม่เคยคบใครสักหน่อย ที่ผ่านมาก็แค่...คนคุย”