วันนี้ใกล้เลิกงานแล้ว ทุกคนกุลีกุจรออกไปสแกนลายนิ้วมือเพื่อเลิกงาน แต่ทว่ามีเพียงคนเดียวที่ยังเอ้อระเหยลอยชายไม่รีบเหมือนเคยเพราะไม่ต้องไปรับลูก แล้วอีกอย่างอยากให้พวกสอดเสือกทั้งหลายกลับไปก่อน
“วราไม่รีบกลับเหรอ” คมสันรีบมากระซิบกระซาบกับเพื่อน เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่ยอมลุกจากโต๊ะสักที
“ไม่ต้องไปรับลูก เดี๋ยวปิดคอมรอให้คนซาแล้วจะออกไป” เธอตอบเพื่อนไป
“งั้นฉันกลับก่อนนะ ผัวรอ” คมสันกระซิบแล้วก็เดินออกไป ทิ้งให้เพื่อนอยู่ในห้องลำพัง
วราภัคถอนหายใจเฮือกลงคอ แล้วก็เห็นสติ๊กเกอร์รอคอยพร้อมประกายตาวิบวับส่งมาตามเธอ
“ผมรอที่หน้าบริษัทนะคุณเสร็จแล้วลงมาได้เลย” เธออ่านแล้วก็ถอนหายใจซ้ำ ชีวิตนี้ไม่เคยมีผู้ชายมาตามตื๊อมาหลายปีแล้ว พอมีก็หนักใจขึ้นมาเสียอีก
‘เอาไงดีวราภัค’ เธอถามตัวเองในใจนั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้
เพราะเขาอาสาไปซื้อของให้ รับลูกให้ แล้วก็มารับเธอไปทานข้าว นี่มันครอบครัวสุขสันต์ชัด ๆ
ขณะที่กำลังคิดทบทวนเรื่องของตัวเองอยู่นั้น เสียงหนึ่งที่ไม่อยากได้ยินก็ดังมาอีกแล้ว
“วันนี้เหนื่อยเหรอทำไมถึงยังไม่รีบกลับ”
น้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใยจอมปลอมนี้ทำให้เธอเผลอกำหมัดทุกครั้ง
ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!
“พอดีว่ามีคนไปรับลูกเลยไม่ต้องรีบค่ะ” จากที่จะรอให้คนซาก่อน กลับต้องรีบเก็บของเพราะเดี๋ยวจะมีคนคิดว่าเธออยู่อ่อยเขาอีก ‘ให้มีเรื่องนินทากับคนอื่นบ้างเถอะ อย่ามีแค่เขาคนเดียวเลย เธอขยะแขยง!’
ทั้งที่ได้รับเลื่อนเป็นผู้บริหารแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเขายังแวะเวียนมาแผนกเก่าอยู่อีกนะ ไม่รู้ติดใจอะไรที่นี่
ภัทรินที่กลับช้าเป็นประจำ เพราะอยู่รอเจอศุภโชค ที่วันนี้ไม่ใช่ผู้จัดการแผนกฝ่ายบุคคลคนเก่าแล้ว กลายเป็นหนึ่งในกรรมการผู้จัดการของบริษัท ที่เธอละเลยไม่ได้เลย แต่ทว่าวันนี้กลับมีก้างชิ้นโต เป็นยายผู้หญิงหน้าไม่อายที่ยังรั้งรออยู่อีกไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง
“เอ่อ...คุณศุภโชคมาพอดีค่ะ รบกวนเซ็นชื่อในเอกสารให้ภัทหน่อยนะคะ” ภัทรินรั้งความสนใจของชายหนุ่มให้หันมาทางเธอ ทำให้ศุภโชคนั้นมีคำถามอยากถามแต่ก็ไม่ทันได้ถามต้องเดินไปที่โต๊ะด้านหลังก่อน
วราภัคไม่ได้สนใจเดินออกจากห้องไปยืนรอต่อคิว
สแกนนิ้วออกจากงาน แต่ต้องตกใจกว่าคือเขาหอบทั้งลูกแล้วก็หนูปานดาวมายืนรอพร้อมกับน้ำส้มเย็น ๆ ที่ลูกชายเธอถือไว้
“แม่ฮะ...น้ำส้มฮะ ป๋มเอาเงินตัวเองซื้อมาเลยนะฮะ” เควินยิ้มรอแม่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามารับแม่ด้วยตัวเอง ปกติรอแต่แม่ไปรับเขาที่โรงเรียน เด็กน้อยจึงมีความสุขมากเป็นพิเศษ และขอให้คุณอาของปานดาวแวะซื้อน้ำส้มมาให้แม่ของตนเอง
“แม่วราขา...ผ้าเย็นค่ะ” หนูน้อยปานดาวก็ไม่น้อยหน้าส่งผ้าเย็นให้เธอ และนี่คุณอากรบอกว่าถ้าทำแบบนี้ แม่วราจะหายเหนื่อย ปานดาวจึงอยากช่วยเควิน
เธอส่งยิ้มแห้งให้ลูกชายและเพื่อนลูกชาย เหมือนมีพ่อมารับแม่กลับบ้านพร้อมกับลูกชายและลูกสาวเลย ความรู้สึกนี้มันไม่คุ้นชิน แล้วนั่นแหละก็เรียกเสียงซุบซิบให้กับคนที่ยังยืนรอรถ รอผัว รอคนที่บ้าน รอแฟน รอกิ๊กมารับ เพราะเป็นเย็นวันศุกร์หรรษาซึ่งคือช่วงเวลาสังสรร
‘ไม่นินทาได้ยังไง ออร่าความหล่อ ความปังยิ้มมาให้เธอขนาดนี้’ เธอมองเขาหัวใจเต้นตุบทุกครั้ง ไม่คิดว่าจากกันไปหลายปีความหล่อเขาไม่ได้ลดลงเลย
“ขอบคุณค่ะปานดาว ขอบคุณครับลูกรัก” เธอก้มลงหอมแก้มขอบคุณให้กับเด็ก ๆ แต่ทว่ามีผู้ใหญ่บางคนหน้าบึ้งตึง ต้องสะกิดหลานสาวคนดีให้ชงเข้ม ๆ
“แม่วราขา...ต้องหอมแก้มอากรด้วยค่ะ ไม่อย่างนั้นอากรจะงอนค่า...!”
ชวกรยิ้มให้กับบาริสต้าตัวน้อย พร้อมขยิบตาเป็นเชิงรับรู้ว่าทำดีมาก ต้องมีรางวัล
“เอ่อ...เขาไม่หอมแก้มผู้ใหญ่กันค่ะ เขาหอมแต่เด็ก ๆ ”
“เอ๋...! ทำไมพ่อกับแม่ปานดาวยังหอมกันเยยค่ะ”
“…”
คำถามของเด็กน้อยทำเอาวราภัคไปไม่เป็น และก็ไม่รู้จะตอบเช่นไรดีจึงรับน้ำส้มจากลูกชาย พร้อมกับเอาผ้าเย็นจากปานดาวมาเช็ดหน้า และตอนนี้รู้สึกร้อนผะผ่าวจนลามไปถึงใบหูหมดแล้ว
“นั่นสิ...ทำไมพ่อกับแม่ปานดาวทำได้น้า...” คนที่ไม่ยอมเอ่ยขึ้น และไม่อยากให้เปลี่ยนเรื่องเร็ว เขาก็อยากได้รับรางวัลแห่งการทำความดีเช่นกัน แม้จะเป็นคนบาปมาตลอดชีวิตก็ตาม
“คุณ...!” วราภัคขึงตาปรามบอกให้รู้ว่าอย่าเล่นพิเรนทร์ เดี๋ยวเด็กจะเข้าใจผิดเอาได้
“เควินทีหลังไม่ต้องเก็บเงินมาให้แม่หรอกลูก แม่ทำงานหาเงินได้ หนูอยากกินอะไรก็ซื้อเลยลูก” แม้จะบอกลูกหลายต่อหลายครั้ง แต่เด็กชายก็ไม่เคยใช้เงินตัวเองเลยสักบาท จนเธออ่อนใจ
“ป๋มสงสารแม่ฮะ...แม่เหนื่อย” คำพูดเศร้าสร้อยของเด็กน้อยเกือบเรียกน้ำตาคนเป็นแม่แล้ว หากไม่เห็นว่าเขาก็ยืนอยู่ด้วย
ชวกรพยายามจับสังเกตแม่ลูก แล้วก็เหมือนมีปัญหาบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองลำบากใจ เขาต้องรู้ให้ได้!
วราภัคก้มลงอุ้มลูกชายขึ้นกับเขาที่อุ้มปานดาวเดินตามไป ความเงียบงันเข้าปกคลุมมีแต่เสียงภายนอกที่รบกวน จนตลอดถึงรถของเขา เมื่อขึ้นรถนั่งประจำที่แล้วคนที่ร้อนใจก็เอ่ยออกมาไม่รั้งรออีกต่อไป
“มีอะไรหรือเปล่าสีหน้าไม่ดีเลย” ชวกรถามด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่เมื่อกี้เธอก็ไม่ยิ้มอีกเลย
“ไม่มีอะไรคะ คุณซื้อของให้ฉันแล้วใช่ไหม เท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายเงินให้” หญิงสาวยกมือถือกำลังจะกดโอนเงิน แต่ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นยอดเงินในบัญชีของเธออย่างไม่ได้ตั้งใจแล้วเขาก็ใจเต้นสะดุด
มนุษย์เงินเดือนสินะ...!
“ผมลืมไปแล้ว ไม่ต้องจ่ายหรอกคุณเก็บไว้เถอะ” เขาไม่เคยรู้สึกอนาถใจเท่านี้มาก่อนเลย ชีวิตเขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงิน เงินเดือนจากหมอไม่เคยได้แตะเก็บไว้จนแทบกองทับท่วมตัวได้ เพราะมีเงินจากที่บ้านจุนเจือใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายไม่ลำบาก
พอเมื่อเห็นเธอต้องใช้เงินกระเบียดกระเสียรเช่นนั้นก็อดสงสารไม่ได้ แล้วสองแม่ลูกอยู่กันยังไง
“ไม่ได้สิ...ถ้าคุณไม่รับฉันก็ไม่เอาของจากคุณนะ” วราภัคไม่ชอบที่เขามาทำดีกับเธอเลย แค่นี้เธอก็ลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว อย่าให้เธอรู้สึกผิดไปกว่านี้เลย
เธอสงสารลูกที่พ่ออยู่ตรงหน้าแล้วยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่กับพ่อ เธอต้องเลวแค่ไหนนะถึงทำร้ายจิตใจเด็กชายคนหนึ่งได้ขนาดนี้
“ไม่ต้องรีบหรอก ทานข้าวเสร็จค่อยคุยกัน”
เขาจะกลับบ้านเมื่อปานดาวมาอยู่ด้วย เพราะที่บ้านวิ่งเล่นได้มากกว่าคอนโด และกลัวว่าเด็กน้อยจะอึดอัด ทั้งคุณขวัญนรีมารดาสุดที่รักก็เอ็นดูปานดาวจนเขาตกกระป๋องไปทุกวัน