ในห้วงความฝันของอันนา
ในความมืดมิดที่โอบล้อมเหมือนหลุมลึกไร้ก้น หญิงสาวร่างเล็กในชุดขาวบางเบาถูกตรึงอยู่กับเตียงเหล็กสนิมเก่า ใต้แสงไฟแสงจ้าเพียงดวงเดียวที่สาดลงมาเหนือศีรษะของเธอ
แสงสลัว… กลิ่นยาฉุน… พร้อมเสียงเครื่องจักรกล… และฝีเท้าที่เดินเข้ามาอย่างเย็นเยียบ
ชายคนหนึ่งในชุดกาวน์สีขาว หน้าตาเย็นชาน่ากลัวราวกับปีศาจ เขาเดินเข้ามาพร้อมเข็มฉีดยาในมือ
“อย่า… อย่าเข้ามา!”
เสียงเธอสะอื้น ดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แต่แขนขากลับไร้แรงราวกับถูกดูดกลืนไปหมด
ชายคนนั้นยิ้มเยาะ มุมปากบิดเบี้ยว
“เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
“นับแต่นี้ไป… เธอคือ ‘ยาปลุกเซ็กส์’ ที่เดินได้ สำหรับผู้ชายทุกคน”
“แม้แต่ไอ้เวย์เดนก็จะห้ามใจไม่ได้…”
เขาแทงเข็มยาลงที่ต้นแขนของเธออย่างแม่นยำ
“ไม่! ไม่! ไม่นะ!”
เสียงกรีดร้องของเธอแหลมสูง ราวกับจะฉีกกลางอากาศในห้องทดลองนั้น
ทันใดนั้นเอง
“เฮือก!”
เสียงกรีดร้องดังลั่น อันนา พิมานดา สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พร้อมกับเหงื่อกาฬที่ไหลซึมทั่วเรือนร่าง ร่างกายสั่นระริก ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
มือเรียวแตะที่หน้าผากตัวเอง เหงื่อไหลซึมเต็มฝ่ามือ
“ฝันบ้าอะไรของฉัน… ฝันเมื่อกี้… มันเหมือนของจริงเกินไป…”
เรียวปากสีสวยพูดเสียงแผ่วเบา ขณะนัยน์ตาสีน้ำผึ้งกวาดมองไปรอบห้องที่มืดสลัว มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ลอดผ้าม่านเข้ามา
เพียงชั่วพริบตาเธอยกมือแตะขมับ ปวดหนึบจนต้องหลับตาแน่น
“ทำไม… ฉันจำอะไรไม่ได้เลย…”
หญิงสาสลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างช้า ๆ หายใจหอบถี่ อีกทั้งร่างกายยังคงร้อนผ่าว แม้ไม่มีไข้
“แม้แต่…ชื่อของตัวเอง…ฉันก็ยังจำไม่ได้”
เธอพึมพำอย่างหมดแรง หยิบกระดาษที่มีชื่อ “อันนา พิมานดา” วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดู
“ถ้าเขาไม่ได้บอก… ฉันก็คงไม่รู้เลยว่านี่คือตัวฉัน…”
น้ำเสียงนุ่มแฝงด้วยความสับสน ดวงตากลมหลับตาลงอีกครั้ง ราวกับหวังให้ฝันนั้นเป็นแค่ภาพลวงตา… แต่ลึกลงไปในจิตใจ กลับรู้สึกได้ว่ามันคือความจริงบางอย่างในอดีต
…และเป็นอดีตที่กำลังจะเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตของเธอ ถ้าเกิดว่าจำมันได้ขึ้นมา
เช้าวันที่สาม
สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 07.00 น.
เครื่องบินได้เข้ามาจอดยังพื้นของกรุงเทพฯ ซึ่งมาร์คัสไม่ได้มาเหยียบพื้นที่ตรงนี้ตั้งแต่วันที่แม่พาเขาไปยังอิตาลี
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมาในสนามบินระดับโลก กลับมีร่างสูงในเสื้อโค้ทยาวสีดำเข้ม ก้าวลงจากช่องผู้โดยสารพิเศษ ชายผู้นั้นสวมหมวกปีกกว้างต่ำบดบังใบหน้า ดวงตาซ่อนอยู่ใต้แว่นกันแดดสีชา ท่าทางนิ่งขรึม เย็นเยียบ จนทำให้ผู้คนรอบข้างเผลอหลบทางให้โดยไม่รู้ตัว
…และชายผู้นั้นคือ มาร์คัส เบลเลโซ่
ฝาแฝดของเวย์เดน มาเฟียหนุ่มผู้มีอำนาจครองเมือง
เมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายเดินมา ด้านลูกน้องของตระกูลที่รอรับ ประกอบไปด้วย เคน มือขวาของเวย์เดน, ราเชล เลขาสาวประจำตระกูล และลูกน้องอีกสองคนต่างพากันโค้งศีรษะทันทีที่เห็นเขาเดินตรงเข้ามา
เคนก้าวขึ้นไปกล่าวอย่างนอบน้อม
“ยินดีต้อนรับกลับประเทศไทยครับ…คุณมาร์คัส”
มาร์คัสหยุดยืนตรงหน้าพวกเขา ริมฝีปากขยับยิ้มจาง ๆ แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบมากกว่าเดิม
“ขับรถไป”
น้ำเสียงต่ำและเรียบเฉียบของเขาดังขึ้นโดยไม่หันไปมองใคร
ราเชลรีบโค้งหัว
“ทางนี้ค่ะ คุณมาร์คัส รถจอดรอไว้แล้วค่ะ”
ลูกน้องต่างคนต่างหลบตา รู้ดีว่าชายตรงหน้านี้…แม้จะมีใบหน้าเหมือนเวย์เดนแทบทุกกระเบียดนิ้ว
แต่… เขากลับให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ถ้าเวย์เดนคือ “พญาเสือที่น่าเกรงขาม”
มาร์คัส…คืออสรพิษที่มองไม่เห็นการโจมตี จนกว่าจะสายเกินไป
ในระหว่างทาง มาร์คัสนั่งเงียบอยู่เบาะหลัง ปลายนิ้วเรียวเคาะเบา ๆ กับที่วางแขนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
เคนหันไปถามเบา ๆ อย่างเกรงใจ
“คุณมาร์คัส…เอ่อ อยากทราบรายละเอียดเบื้องต้นเลยไหมครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
มาร์คัสเอนหลังพิงพนักเบาะ ถอนหายใจช้า ๆ
“พูดมา”
เคนตอบ
“ตอนนี้คุณเวย์เดนยังไม่รู้สึกตัวครับ หมอบอกว่า…อาจใช้เวลาหลายเดือน หรือ…อาจจะไม่มีวันฟื้น”
“และข่าวเรื่องท่านเจ็บหนัก เรายังเก็บไว้ในวงใน… แต่ไม่แน่ใจว่าจะเก็บได้อีกนานแค่ไหน”
“พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้วครับ ทั้งคาสิโน ทั้งอสังหา…มีคนในตระกูลบางคนแอบแปรพักตร์”
มาร์คัสเหลือบตามองผ่านแว่น แล้วพูดเสียงเย็น
“กลิ่นเลือดมันหอมขึ้นสินะ”
คำพูดของเขาทำเอารถทั้งคันเงียบสนิท
ราเชลกลืนน้ำลายเอื้อก ก่อนพูดเบา ๆ
“คุณหญิงย่ารอพบอยู่ที่คฤหาสน์ค่ะ…”
มาร์คัสตอบเพียงสั้น ๆ
“พาฉันไปที่โรงพยาบาลก่อน”
เคนสะดุ้งเล็กน้อย
“คุณมาร์คัสหมายถึง…”
“ใช่ ฉันจะไปดูศพพี่ชายตัวเอง…ในร่างที่ยังหายใจ”
น้ำเสียงเย็นยะเยือก ทำเอาราเชลเผลอกำเริบขนลุก
รถยนต์หรูแล่นออกจากสนามบิน เข้าสู่เส้นทางลับที่ทอดยาวไปยังเมืองหลวง… พร้อมกับเงาแห่งอำนาจที่เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาลเอกชนระดับสูง แผนก ICU ชั้นบนสุด
ภายในห้องกระจกเงียบสนิท มีเพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กับแสงไฟสีฟ้าอ่อนที่สาดส่องทั่วห้อง พาให้ทุกอย่างดูเหมือนฉากในหนังฝรั่งที่ไม่มีตอนจบ
บนเตียงสีขาวสะอาด ร่างของ เวย์เดน เบลเลโซ่ นอนนิ่งไม่ไหวติง สายต่าง ๆ ระโยงระยางเต็มร่าง ใบหน้าที่เคยคมเข้มเฉียบดุดัน บัดนี้ดูซีดเซียวและไร้ซึ่งประกาย
กริ้ก!
ประตูห้องเปิดออกช้า ๆ
มาร์คัส ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ พร้อมกลิ่นอายเย็นเยียบติดตัว
เขาไม่พูด ไม่ร้องเรียก แค่ยืนมองร่างพี่ชายอยู่นานหลายวินาที ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เตียง
สายตาของเขาจ้องลึกลงไปในใบหน้าที่เหมือนเขาทุกอย่าง…
ยกเว้น แววตาที่หลับสนิทนั่น
“…เวย์เดน”
เสียงทุ้มนุ่มต่ำเอ่ยขึ้นเบา ๆ ราวกระซิบ แต่กลับแฝงด้วยความหนักแน่น
“ฉันไม่คิดเลยนะ ว่าครั้งแรกที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง…นายจะนอนนิ่งเหมือนศพแบบนี้”
มือใหญ่ล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนหยิบซองบุหรี่ขึ้นมา
แต่แล้วก็ชะงักไป เพราะจำได้ว่านี่คือ เขตปลอดบุหรี่
“ตลกดี…ตอนเด็ก นายเคยบอกฉันว่า ถ้าใครทำให้นายล้ม…จะไม่มีวันให้อภัย”
รอยยิ้มเย็นเฉียบแต้มขึ้นมุมปาก
“แล้วดูสิ…นายล้ม เพราะ ‘ผู้หญิง’ ที่นายไว้ใจ”
มาร์คัสย่อตัวลงจนสายตาอยู่ระดับเดียวกับพี่ชาย เสียงของเขาแผ่วเบา แต่คมกริบราวมีดกรีดหัวใจ
“อย่าห่วง…กิจการของนาย ฉันจะจัดการให้เรียบร้อย”
“ใครก็ตามที่คิดจะย่ำตระกูลเบลเลโซ่ ฉันจะลากมันลงนรกไปทีละคน”
เขากำมือแน่น…ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสาดแววกร้าวจนแทบเผาเตียงให้ไหม้ได้
“รวมถึงผู้หญิงคนนั้น…อันนา พิมานดา”
ติ้ด ติ้ด!
เสียงเครื่องวัดชีพจรของเวย์เดนกระตุกเล็กน้อย ราวกับร่างที่นอนอยู่รับรู้ถึงความเย็นเยียบที่กำลังปกคลุมห้อง
มาร์คัสโน้มตัวเข้าใกล้ร่างไร้สติ แล้วกระซิบชิดข้างหู
“ถ้านายฟื้นขึ้นมา…ก็ช่วยเตรียมรับมือด้วยล่ะ”
“เพราะฉันไม่ใช่น้องชายคนดีแบบนายอีกต่อไปแล้ว”
เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป โดยทิ้งท้ายเพียงคำเดียว
“ลาก่อน…เวย์เดน”
ประตูห้องปิดลงช้า ๆ เหลือเพียงแสงสีขาวกับเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ยังคงเต้นอยู่ทุกจังหวะ
แต่บรรยากาศในห้องนั้นเปลี่ยนไป…เพราะเรื่องราวทุกอย่างที่คิดว่าจะง่ายมันพึ่งเริ่มต้น