คนพูดอาจไม่รู้ แต่คนฟังอย่างทยุตรู้สึกว่าเสียงของญาติเขาฟังดูหงอยๆ คล้ายคนหมดแรงเต็มที เลยต้องสะกิดต่อมความรู้สึกช้าของมันให้ทำงานสักหน่อย
“มึงไม่รักเขาเลยสักนิดเหรอวะ ถึงยอมปล่อยไปง่ายๆ”
คนถูกถามนิ่งงัน สายตามองตรงไปข้างหน้า แต่แววตายังสับสนเพราะอารมณ์ที่ซ้อนทับจนอึดอัด รู้แค่ว่าเขาไม่ชอบที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ไม่ชอบความรู้สึกหน่วงๆ ระคนใจหายคล้ายขาดบางสิ่งที่สำคัญ ไม่ชอบที่กลับบ้านแล้วไม่พบเธอ ไม่พบเสื้อผ้าที่เธอเคยแขวน เครื่องสำอางที่เคยวางอยู่ ไม่มีกลิ่นกายที่เคยคุ้นโอบล้อมอยู่รอบๆ ตัวเขา ยิ่งไม่ชอบที่ธีริญขอหย่า
สรุปเขาไม่ชอบอะไรเลยสักอย่าง แต่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม มันหงุดหงิดเกินกว่าจะมานั่งใจเย็นคิดพิเคราะห์คำถามของอีกฝ่าย!
“กูไม่รู้” ภิฌานตอบตามจริง เขาไม่มีอะไรต้องปิดบังทยุตเพราะรู้ไส้รู้พุงกันทุกขด คุยกันก็ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องในมุ้งยันเรื่องงาน
ทยุตหมดคำจะพูด...
เมียที่นอนร่วมเตียงกันมาตั้งสามปี ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันก็เถอะ แต่ภิฌานจะไม่รู้ตัวเลยรึไงว่ารักหรือไม่รักเธอ
ซื่อบื้อเกินไปไหม?
“มึงแม่งตายด้านฉิบหาย” ทยุตสบถด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของภิฌาน เรื่องแบบนี้บางทีอยู่ใกล้กันก็เหมือนเส้นผมบังตา ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ถึงเค้นคอมันให้ตายก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี เอาไว้ตอนที่มันรู้ใจตัวเองเมื่อสายจนเสียเมียไปจริงๆ ถึงตอนนั้นเขาค่อยด่ามันแล้วกอดคอพาไปก๊งเหล้าปลอบใจก็แล้วกัน
ภิฌานวางสายแล้วถอนหายใจยืดยาว มองแหวนบนนิ้วแล้วนึกปวดใจ จึงถอดออกใส่กล่องรวมกับแหวนแต่งงานอีกวง เขาโยนมันทิ้งลงไปในถังขยะ แววตานิ่งลึกกลับเป็นคนเดิม ริมฝีปากได้รูปเหยียดเม้ม ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงเรื่องที่จบไปแล้ว
ไม่มีเธอแล้วไง?
เขาก็ยังเป็นคนเดิม ก่อนมีเธอเขาเคยอยู่อย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีใครหรือสิ่งใดมีอิทธิพลเหนือใจของเขาได้
ชีวิตคู่ของธีริญสิ้นสุดลงพร้อมกับหนึ่งชีวิตที่ถือกำเนิดในท้องของเธอ จากที่ไม่เคยใส่ใจสุขภาพ ธีริญดูแลตัวเองอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เธอเลือกทานแต่ของที่มีประโยชน์ต่อลูกน้อยในท้อง
ถึงกระนั้นบางวันดูเหมือนเจ้าตัวแสบก็ยังชอบแกล้งเธอทั้งวัน อาการแพ้ท้องเล่นงานเธอจนหมดแรง เดี๋ยวนี้เธอต้องพกทั้งยาแก้แพ้และยาดมติดตัวตลอด เพราะจมูกไวต่อกลิ่นตั้งแต่ตั้งท้อง แค่ได้กลิ่นคาว เหม็นเขียวหรือกลิ่นฉุนนิดเดียวก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปโก่งคออาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตายทุกครั้ง
และเพราะอย่างนี้แหละ เธอจึงไม่สามารถปกปิดมารดาได้อีกต่อไป
“ริญ หนูท้องเหรอ” สุนันทาสีหน้าเคร่งเครียด แววตาหวั่นวิตกเป็นกังวล
“ค่ะ” ธีริญยอมรับ รู้สึกไม่ดีเลยที่ทำให้ท่านพลอยเป็นห่วงจนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ลูกของภิฌานใช่มั้ย”
หญิงสาวหลุบตาเม้มปากแน่น แค่นั้นมีหรือที่คนเป็นแม่จะไม่รู้คำตอบ
“หนูไม่คิดจะบอกพ่อของลูกบ้างหรือ”
“แกเป็นของขวัญที่พิเศษสำหรับหนูค่ะ หนูจะเลี้ยงดูลูกคนนี้ให้ดีที่สุด” ธีริญยิ้มบอกแม่ด้วยแววตาเข้มแข็ง พลางยกมือลูบหน้าท้องสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์ใจ ลูกเป็นเหมือนขุมพลังให้เธอสู้ทุกปัญหาอย่างไม่ท้อถอย
“หนูคิดดีแล้วเหรอ” สุนันทาอดห่วงไม่ได้ ทุกวันนี้ธีริญทำงานงกๆ หาเงินเลี้ยงครอบครัวอยู่คนเดียวก็เหนื่อยมากแล้ว ยิ่งมีลูกมาเพิ่มนางกลัวว่าภาระจะหนักเกินไปจนสภาพร่างกายของลูกสาวรับไม่ไหวจนล้มไปเสียก่อน ยิ่งท้องไส้อยู่ด้วยเกิดเป็นอันตรายร้ายแรงขึ้นมาจะทำอย่างไร
ธีริญเข้าใจความคิดของแม่เพราะเธอก็กังวลในเรื่องเดียวกัน แต่เธอไม่อยากเอาความหนักใจไปโยนใส่ท่าน เธอกลัวแม่จะคิดมากจนล้มป่วย จึงจับมือท่านแล้วเอ่ยปลอบว่า
“หนูรู้ว่าแม่เครียดเรื่องอะไร แต่หนูไหวค่ะ อย่าลืมสิคะว่าหนูเป็นเซลล์ที่หาเงินเก่งมาก ตกต่อเดือนหนูได้ทั้งเงินเดือนและค่าคอมตั้งหลายหมื่น บางเดือนทำยอดได้เกินเป้าก็ได้เงินเป็นแสน หนูเลี้ยงแม่กับหลานแม่ได้สบายค่ะ”
“แต่บอกพ่อของแก่สักหน่อยก็ไม่น่าเสียหายนี่ลูก ริญไม่จำเป็นต้องรับภาระหนักอยู่คนเดียวนะ การมีลูกสมัยนี้ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายหมด ไหนจะค่าคลอด ค่าเลี้ยงดูยันโต นมเด็กกระป๋องหนึ่งก็แพงมาก นี่ยังไม่นับรวมตอนเข้าอนุบาล โรงเรียน มหาลัยเลยนะ หนูจะเลี้ยงลูกคนเดียวได้ยังไงไหว สู้บอกภิฌานตกลงกันให้ดีๆ ไม่ดีกว่าเหรอ แม่เชื่อว่าภิฌานเต็มใจที่จะส่งเสียเลี้ยงดูลูกของเขา ที่สำคัญแม่อยากให้หนูคิดถึงลูกเยอะๆ เด็กควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากคนเป็นพ่อเป็นแม่นะ”
“หนูรู้ค่ะ” เธอเข้าใจทุกสิ่งที่มารดาสาธยายมา แต่ก็ยังยืนยันความคิดเดิมว่า “แต่หนูไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกแล้ว จบก็คือจบ แม่เข้าใจหนูมั้ยคะ”
สุนันทามองลูกสาวพลางถอนใจ ธีริญเป็นพวกแข็งทั้งนอกแข็งทั้งใน เมื่อตัดสินใจแล้วก็จะตัดขาดอย่างถาวร ต่อให้นางอยากโน้มน้าวก็ไม่อาจทำให้เธอใจอ่อนได้ มีแต่ต้องยอมตามใจและหาทางช่วยแบ่งเบาภาระของลูกสาวเท่านั้น ถึงอย่างไรธีริญก็กำลังท้องกำลังไส้ อย่าเอาเรื่องไร้สาระไปสุมหัวให้หนักเปล่าๆ เลย
“เอาเถอะ...หย่าแล้วก็แล้วกัน ต่อไปนี้แม่จะดูแลลูกกับหลานเอง” นางตบหลังมือของลูกเบาๆ เป็นการยอมรับการตัดสินใจของธีริญ
หญิงสาวฉีกยิ้มโผเข้ากอดเอวท่าน แนบหน้าซบกับอกอุ่นที่ทำให้เธอผ่อนคลายสบายใจ เธอพึมพำบอกท่านน้ำตาซึมว่า
“ขอบคุณนะคะแม่”